เนื้อหา ของ การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2565

ในวันที่ 19 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันอภิปรายวันแรก อนุทิน ชาญวีรกูล และ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูก สุทิน คลังแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย กล่าวหาว่า "ได้ร่วมกันกำหนดและจัดให้มีนโยบายกัญชาเสรีด้วยความไม่มีความสุจริตใจ นำมาซึ่งการละเมิดกติกาโลก และการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ" และ "เป็นการละเมิดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ละเมิดมติของรัฐสภาไทย ซึ่งการละเมิดดังกล่าวยังเป็นการละเลยและละเว้นไม่ควบคุมกัญชาให้เป็นสิ่งที่ควรจะมีและจะเป็น"[8] นายอนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านว่า "คำที่แถลงไว้ต่อสภาเมื่อ 25 กรกฎาคม 2562 ว่า ให้นำกัญชากัญชงไปศึกษาวิจัยให้ก่อประโยชน์เศรษฐกิจ โดยเน้นไปทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์สุขภาพ ไม่มีคำว่านันทนาการ หรือสันทนาการแม้แต่นิดเดียว" และ "การนำกัญชากัญชงไปใช้ในทางที่ผิด ไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้"[9]

ในวันที่ 20 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันอภิปรายวันที่สอง ศรัณย์ ทิมสุวรรณ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเลย พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ในเรื่องที่ "ไม่สามารถแก้ไขปัญหาแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จนประชาชนได้รับความเดือดร้อน แต่กลับปกป้องความมั่นคงของรัฐบาลมากกว่า" และได้ตั้งคำถามไปยังการใช้สปายแวร์เพกาซัสนั้น ชัยวุฒิ ได้ยอมรับว่ามีการใช้สปายแวร์ดังกล่าวจริงในคดีด้านความมั่นคง-ยาเสพติด แต่ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม[10]

ในวันที่ 21 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันอภิปรายวันที่สาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลได้ยกประเด็นกล่าวหา ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเรื่องของปมรื้อถอนสัญลักษณ์ทางประชาธิปไตยหลายประการ ซึ่งถือเป็นความพยายามลบประวัติศาสตร์ อาทิ การเปลี่ยนแปลงหน้าบันที่ว่าการอำเภอเวียงป่าเป้าหลังเก่า, หมุดคณะราษฎรที่ลานพระบรมรูปทรงม้า, อนุสาวรีย์ปราบกบฏ, อนุสาวรีย์พระยาพหลพลพยุหเสนาและอนุสาวรีย์จอมพล ป.พิบูลสงคราม และ อนุสาวรีย์จอมพล ป.พิบูลสงคราม หน้าสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ

ต่อมาในวันเดียวกัน พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายเกี่ยวกับการใช้อาวุธไซเบอร์กับประชาชนที่เห็นต่างทางการเมือง โดยใช้ทรัพยากรและภาษีประชาชน โดยยกตัวอย่างการใช้สปายแวร์เพกาซัสล้วงข้อมูลและสอดแนมกลุ่มผู้เห็นต่างทางการเมือง 30 รายชื่อ แม้ทางรัฐบาลอิสราเอลได้ถอนรายชื่อประเทศไทยจากประเทศที่อนุญาตให้ใช้ตั้งแต่ปี 2564 แล้วก็ตาม ต่อมามีการเปิดเผยรายชื่อนักการเมือง 5 รายที่ถูกสอดแนมด้วย ทางเดอะซิตีเซนแล็บได้รายงานอีกว่า พบหน่วยงานราชการไทย 3 หน่วยงาน ที่มีการใช้สปายแวร์ Circles คือ หน่วยข่าวกรองกองทัพบก (ตั้งแต่ปี 2562), กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (ตั้งแต่ปี 2557) และ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ตั้งแต่ปี 2559) โดยทาง ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงต่อสภาว่า "ในส่วนของรัฐบาลขอยืนยันว่าไม่ได้มีนโยบายที่จะใช้สปายแวร์ ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ยืนยันว่าไม่มีนโยบาย ไม่เคยกำหนดที่จะใช้สปายแวร์หรือการข่าวที่จะไปกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป"[11]

ในวันที่ 22 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันอภิปรายวันสุดท้าย เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า "มีการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่สุจริต เที่ยงธรรม ฉ้อฉล กู้เงินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจ จัดงบประมาณโดยไม่เข้าใจปัญหาของประเทศและประชาชน ปรนเปรอกองทัพเพื่อใช้เป็นฐานค้ำจุนอำนาจของตน โดยตั้งงบประมาณกระทรวงกลาโหมสูงก่อนกระทรวงอื่น ปฏิบัติหน้าที่โดยใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ไม่สนใจชีวิตความเป็นอยู่และความทุกข์ยากของประชาชน" และยังกล่าวอีกว่า หากพ้นวันที่ 24 สิงหาคม จะไม่สามารถต่ออายุเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 158 และมาตรา 264 โดยให้คำตีความไว้ว่า "การดำรงตำแหน่งของ พล.อ. ประยุทธ์ตั้งแต่ครั้งแรกต้องรวมกับการดำรงตำแหน่งครั้งหลังเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ติดต่อกันมาโดยตลอด" พร้อมระบุว่าตั้งแต่ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา "ได้กู้เงินมาแล้ว 6,000 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่าจำนวนหนี้ของรัฐบาลก่อนหน้ารวมกัน 10 ล้านล้านบาท" และ "เงินที่กู้มานั้นก็เอาไปผลาญ ไปแจกเงินให้กับประชาชนเพื่อหวังสืบทอดอำนาจ โดยนำเงินไปแจกหลายโครงการ ยกตัวอย่าง ชิม ช้อป ใช้ แจกคนละ 1,000 บาท, โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่รัฐช่วยออกส่วนลดค่าที่พัก, โครงการเที่ยวปันสุข รัฐออกค่าเดินทางให้ 40%, โครงการช้อปดีมีคืน สามารถนำใบเสร็จมาลดหย่อนภาษีวงเงินไม่เกิน 30,000 บาท, โครงการคนละครึ่ง รัฐจ่ายให้ครึ่งหนึ่งวันละไม่เกิน 150 บาท ซึ่งมองว่าไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องใช้โครงการของรัฐบาลทั้งที่ยังเป็นหนี้อยู่"[12]

ต่อมาในวันเดียวกัน เบญจา แสงจันทร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อ้างอิงถึงรายงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบว่า "ภายใต้รัฐบาล คสช. มีพลเรือนถูกดำเนินคดีในศาลทหารอย่างน้อย 2,408 คน และมีผู้ถูกดำเนินคดีจากประกาศ-คำสั่ง คสช. อย่างน้อย 428 คน 67 คดี, มีผู้ถูกดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ อย่างน้อย 197 คน 115 คดี, มีผู้ถูกดำเนินคดีจากมาตรา 116 อย่างน้อย 124 คน 50 คดี และมีผู้ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 อย่างน้อย 169 คน" และได้กล่วอีกว่า "ปัจจุบันมีผู้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมืองโดยไม่ได้รับการประกันตัวอย่างน้อย 30 คน จากวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ถึง 30 มิถุนายน 2565 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากสถานการณ์ชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไปแล้วอย่างน้อย 1,832 คน โดยเป็นเยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี จำนวน 282 ราย มีผู้ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 กว่า 200 คน"[13]

รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจ ในเรื่องของ "ตั๋วช้างภาค 2" ที่ว่า "พล.ต.ต. ‘ก’ ขณะดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองบินตำรวจ (บ.ตร.) ได้ดำเนินโครงการซ่อมบำรุงอากาศยานกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดำเนินการซ่อมและจัดหาอะไหล่ ตามงบประมาณปี 2563 จำนวนกว่า 950 ล้านบาท แต่ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน 2564 การบินไทยได้ยื่นหนังสือทวงหนี้มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) จึงทำให้พบว่ากองบินตำรวจ โดย พล.ต.ต. ‘ก’ และพวก ได้สั่งจ้างสั่งซื้อเพิ่มเติมเกินกว่างบประมาณที่วางไว้ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการเป็นจำนวนถึง 2,774 ล้านบาท และกว่า 784 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซ่อมเครื่องบินเลย เช่น ซื้อถังน้ำดับไฟป่า 8 ล้านบาท หรือซื้อตะขอเกี่ยวสินค้า 6.3 ล้านบาท เป็นต้น" และมีอีกกรณีหนึ่งที่ พล.ต.ต. ‘ก’ ได้ดำเนินการทำสัญญาแลกเปลี่ยนอะไหล่อากาศยานด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง โดยรวบรวมเอาอะไหล่เก่าที่เสื่อมสภาพแล้วไปแลกกับชุดใบพัดหางเฮลิคอปเตอร์จำนวน 2 ชุด ซึ่งเมื่อประเมิณราคาดูแล้วสูงถึง 1,157 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าอำนาจอนุมัติวงเงินของผู้การกองบินที่ 5 ล้านบาทไว้มาก เขายังได้กล่าวอีกว่า "ต่อมาในช่วงที่ พล.ต.ต. ‘ก’ จะต้องย้ายเพื่อเปลี่ยนตำแหน่ง ได้มีการทำหนังสือกราบบังคมทูลว่า "ตนกำลังจะถูกย้ายไปอยู่หน่วยอื่น ถ้ามีพระประสงค์จะให้ปฏิบัติงานต่อ จักได้ดำเนินการต่อไป" ต่อมามีหนังสือตอบกลับจากสำนักพระราชวัง ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2563 ซึ่งตอนนั้น พล.ต.ต. ‘ก’ ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการอยู่ที่สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว" ทำให้รังสิมันต์ตั้งคำถามไปว่า "กรณีนี้จึงเหมือนเป็นการเอาหนังสือจากสำนักพระราชวังมาอ้าง โดยบอกว่าเพื่อวางแผนถวายความปลอดภัย แบบนี้จึงเท่ากับเป็น ‘ตั๋วช้าง’ อีกประเภทหนึ่งใช่หรือไม่"[14]

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้สรุปการอภิปรายว่า "8 ปีนับตั้งแต่รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจมาถึงวันนี้ ทำคนไทยมืด 8 ด้าน ไม่มีความหวัง ไม่มีความฝัน ไม่มีอนาคต ... ตอนนี้เงินเฟ้อทั้งปีจะสูงที่สุดในรอบ 24 ปี เงินบาทอ่อนที่สุดในรอบ 16 ปี หนี้สาธารณะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ปุ๋ยแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ราคาอาหารสูงที่สุดในประวัติศาสตร์" พิธายังได้ยกในเรื่องของดัชนี Death of Despair หรือความตายจากการสิ้นหวัง พบว่า "ในช่วง 5 ปีของรัฐบาลประยุทธ์ตั้งแต่ก่อนโควิด คนตายจากความสิ้นหวังเพิ่มขึ้น 34% จากปีละ 14,000 คน เป็นปีละเกือบ 20,000 คน และถ้านำมาดูในช่วงโควิด มีคนไทยตายใน 2 ปีกว่าที่ผ่านมาพบว่ามากกว่า 40,000 คน นี่คือโรคระบาดแห่งความสิ้นหวังที่มีคนตายมากกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเสียอีก"[15]

ใกล้เคียง

แหล่งที่มา

WikiPedia: การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีไทย พ.ศ. 2565 https://thestandard.co/censure-motion-19072022-7/ https://thestandard.co/censure-motion-22072022-15/ https://thestandard.co/censure-motion-22072022-16/ https://thestandard.co/censure-motion-22072022-8/ https://thestandard.co/censure-motion-22072022-9/ https://thestandard.co/distrust-discussion-19-22-j... https://www.bbc.com/thai/thailand-62176164 https://www.bbc.com/thai/thailand-62225618 https://www.bbc.com/thai/thailand-62248613 https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_58...