ลิโอเนล อันเดรส เมสซิ กูซิตินิ (
สเปน: Lionel Andrés Messi Cuccittini,
[3] เสียงอ่าน: [ljoˈnel anˈdɾes ˈmesi]; เกิด 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987) เป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา ปัจจุบันเล่นในตำแหน่ง
กองหน้าให้กับ
บาร์เซโลนา และ
ทีมชาติอาร์เจนตินา เขายังถือสัญชาติสเปนอีกด้วย ซึ่งทำให้เขาถือว่าเป็นนักฟุตบอลยุโรป เขาเป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในรุ่นของเขาเอง
[4][5][6] และมักถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้เล่นร่วมสมัยที่ดีที่สุดในโลก
[7]เมสซิได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีเมื่อเขาอายุ 21 ปี และได้รับรางวัลในปี ค.ศ. 2009 (นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี ค.ศ. 2009)
[7][8][9][10] และได้รับรางวัล
นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 2010
[11] ,2011 และ 2012 สไตล์การเล่นของเขาและความสามารถ มักถูกเปรียบเทียบเสมอ
ดิเอโก มาราโดนา ซึ่งพูดถึงเมสซิว่าเป็นผู้สืบทอดจากเขา
[12][13]เมสซิเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อยและบาร์เซโลนาก็ค้นพบแนวโน้มที่ดีของเขาอย่างรวดเร็ว เขาออกจากทีมเยาวชน
สโมสรกีฬานิวเวลส์โอลด์บอยส์ เมือง
โรซาริโอ เมื่อปี ค.ศ. 2000 และย้ายพร้อมครอบครัวไปอยู่
ยุโรป โดยบาร์เซโลนาเสนอในการรักษา
ภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตให้กับเมสซิ เขาเปิดตัวครั้งแรกในฤดูกาล 2004–05 โดยทำลายสถิติทีม โดยเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในลีก เกียรติประวัติในฤดูกาลแรกของเขาคือชนะการแข่งขันใน
ลาลิกา และชนะครั้งที่ 2 ในลีก รวมถึงใน
แชมเปียนส์ลีก ในปี ค.ศ. 2006 ฤดูกาลแจ้งเกิดของเขาคือฤดูกาล 2006–07 เขาเป็นผู้เล่นในทีมชุดใหญ่เต็มตัว โดยทำ
แฮตทริกใน
เอลกลาซิโก จบฤดูกาลยิงประตู 14 ประตู ใน 26 เกมในลีก จากนั้นเมสซิก็ประสบความสำเร็จที่สุดในอาชีพของเขาในฤดูกาล 2008–09 ยิงประตู 38 ประตู เป็นส่วนสำคัญของทีมในการชนะ 3 รายการในฤดูกาลเดียว แต่แล้วสถิตินี้ก็ถูกบดบังไปในฤดูกาลถัดมา ฤดูกาล 2009–10 ที่เมสซิยิงประตูไป 47 ประตูในทุกการแข่งขัน เทียบเท่าสถิติของ
โรนัลโดที่เคยทำให้กับบาร์เซโลนา แต่เขาก็ทำลายสถิตินี้ในฤดูกาล 2010–11 กับประตู 53 ประตูในทุกการแข่งขัน แต่สถิติการยิงประตูสูงสุดของเมสซิเกิดขึ้นในฤดูกาลถัดมา คือฤดูกาล 2011-12 ซึ่งเขายิงประตูรวมในทุกการแข่งขันได้ถึง 82 ประตู
[14] และในปี 2012 นี้ เมสซิยังสามารถทำลายสถิติยิงมากที่สุดใน 1 ปีปฏิทินของ
เกิร์ด มึลเลอร์ ซึ่งทำไว้ที่ 85 ประตูใน 1 ปีตั้งแต่ปี 1972 โดยเมสซิได้ทำสถิติใหม่ไว้สูงถึง 91 ประตู ใน 1 ปี ปฏิทินเลยทีเดียว
[15]เมสซิเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ชนะเลิศใน
ลาลิกา 8 ครั้ง
แชมเปียนส์ลีก 4 ครั้ง โดยยิงประตูได้ 2 ประตูในนัดตัดสิน ในนัดชิงแชมเปียนส์ลีกกับ
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งในปี ค.ศ. 2009 และ 2011 โดยเป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดในปี 2011 ด้วย อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญกับทุกประตูในนัดชิงชนะเลิศปี 2015 กับ
ยูเวนตุส เขาไม่ได้ลงสนามในนัดที่บาร์เซโลนาชนะ
อาร์เซนอลในปี ค.ศ. 2006 เนื่องจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ได้รับเหรียญทองในฐานะผู้ชนะในการแข่งขัน หลังจากยิง 12 ประตูในแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2010–11 ทำให้เมสซิเป็นนักฟุตบอลที่ยิงประตูได้สูงสุดใน 1 ฤดูกาลเทียบเท่า
รืด ฟัน นิสเติลโรย และยิงประตูรวมสูงสุดในแชมเปี้ยส์ลีกอันดับ 3 รองจาก
เกิร์ด มึลเลอร์และ
ฌ็อง-ปีแยร์ ปาแป็ง เมสซิทำลายสถิติยิงสูงสุดใน 1 ฤดูกาลขึ้นครองสถิติคนเดียวในฤดูกาลถัดมา คือ 2011-12 ด้วยจำนวนประตู 14 ประตูใน 1 ฤดูกาล และนั่นทำให้เมสซิเป็นคนแรกที่ได้รับรางวัลผู้ทำประตูสูงสุดในแชมเปียนส์ลีก 4 ปีติดต่อกัน หลังจากที่แชมเปียนส์ลีกเปลี่ยนระบบการแข่งขันในปี ค.ศ. 1992
[16] ในฤดูกาล 2014-15 เมสซิสามารถทำลายสถิติยิงประตูสูงสุดในแชมเปียนส์ลีกของ
ราอุล กอนซาเลซ ที่ทำไว้ 71 ประตูลงได้ และครองตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของแชมเปี้ยส์ลีกร่วมกับคริสเตียโน โรนัลโดหลังจบฤดูกาล 2014-15 ที่ 77 ประตู
[17]ปัจจุบัน เมสซิ เป็นผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลให้กับทีมชาติอาร์เจนตินา เขาเล่นให้กับทีมชาติครั้งแรกใน
รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ยังอยู่ในชุดชนะเลิศถ้วย
ฟุตบอลโลกเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี.ในปี
2005 โดยเป็นผู้ทำประตูสูงสุดถึง 6 ประตู รวมถึง 2 ประตูใน
นัดชิงชนะเลิศ และได้รับรางวัลโกลเดนบอลหรือผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำรายการแข่งขัน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของ
ทีมชาติอาร์เจนตินา ชุดใหญ่ และในปี ค.ศ. 2006 เขาเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินาที่อายุน้อยที่สุดที่เล่นใน
ฟุตบอลโลก ในปีถัดมาเขายังพาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
โกปาอาเมริกา เขาได้รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมอีกด้วย และในปี ค.ศ. 2008 เขาได้รับเหรียญทองในกีฬา
โอลิมปิกฤดูร้อน ที่
ปักกิ่ง, ในปี 2014 เมสซินำทีมชาติอาร์เจนตินาเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกกับทีมชาติเยอรมัน แต่แพ้ไป 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ เมสซิได้รับรางวัลโกลเดนบอลและผู้เล่นทรงคุณค่าของรายการแข่งขันด้วย, และในช่วงเวลาต่อมาเข้ายังพาทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศ
โกปาอาเมริกาถึง 2 ครั้งในปี
2015 และ
2016 ซึ่งแพ้ให้กับ
ชิลี ทั้ง 2 ครั้ง