กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกา (
อังกฤษ: Native Americans in the United States) เป็นวลีที่หมายถึง
ชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาจาก
ทวีปอเมริกาเหนือที่รวมแผ่นดินใหญ่ของ
สหรัฐอเมริกาและบางส่วนของ
อะแลสกาและ
ฮาวาย ที่ประกอบด้วยกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันหลายกลุ่มที่เป็น
ชนเผ่าอินเดียน (Indian tribe) แต่เป็นคำที่ถือว่าไม่สุภาพต่อคนหลายคนที่รวมทั้ง
รัสเซลล์ มีนส์นักปฏิกิริยาของ
ขบวนการอเมริกันอินเดียน (American Indian Movement)
[3] ตามความเห็นของมีนส์ “ในการสัมนานานาชาติของอินเดียนจากทวีปอเมริกาที่กรุงเจนีวาในสวิตเซอร์แลนด์ที่
สหประชาชาติ ใน ค.ศ. 1977 เราเห็นพ้องกันว่าเราจะใช้คำว่า “อเมริกันอินเดียน” ผู้อื่นที่สนับสนุนการใช้คำว่า “Native American” (ชนพื้นเมืองอเมริกัน) ไม่เห็นความสำคัญของการใช้คำและอ้างว่า “การตกลงเป็นเอกฉันท์มิได้เกิดขึ้นระหว่างสมาชิกที่เป็นชนพื้นเมืองเกี่ยวกับชื่อที่ต้องการที่จะใช้” “ชนพื้นเมืองอเมริกัน” บางครั้งก็เรียกว่า “อินเดียน” “อเมริกันอินเดียน” “แอบบอริจินัลอเมริกัน” “อเมรินเดียน” “อเมรินด์” “ชนผิวสี” (Colored)
[4][5] “อเมริกันแรก” “ชนพื้นเมือง” “อเมริกันดั้งเดิม” “อินเดียนแดง” และ “คนผิวแดง”การยึดอเมริกาเป็นอาณานิคมของชาวยุโรปนำมาซึ่งความขัดแย้งและการปรับความสัมพันธ์ระหว่างสังคมของ
โลกเก่า และ
โลกใหม่เป็นเวลาหลายร้อยปี บันทึกตามลายลักษณ์อักษรทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับชนพื้นเมืองเขียนโดยชาวยุโรปหลังจากที่ได้พบกันเป็นครั้งแรก สังคมของชาวพื้นเมืองอเมริกันดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์และเกษตรกรรมแบบยังชีพ (subsistence) ซึ่งเป็นคุณค่าที่แตกต่างจากระบบคุณค่าของชาวยุโรปที่เข้ามาจับจองดินแดน ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของชนสองกลุ่มและการสับเปลี่ยนความเป็นพันธมิตรระหว่างกันต่อกันภายในแต่ละกลุ่มนำไปสู่ความเข้าใจผิดต่าง ๆ และความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นประมาณกันประชากรพรี-โคลัมเบียของที่ที่ปัจจุบันคือสหรัฐอเมริกามีระหว่าง 1 ถึง 18 ล้านคน
[6][7]หลังจากอาณานิคมก่อการปฏิวัติต่อ
เกรตบริเตนได้สำเร็จและก่อตัวขึ้นเป็น
สหรัฐอเมริกาแล้วปรัชญา
เทพลิขิต (Manifest destiny) ก็กลายเป็นส่วนสำคัญของขบวนการชาตินิยมอเมริกัน ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18
จอร์จ วอชิงตัน และ
เฮนรี น็อกซ์เกิดความคิดที่จะสร้าง “ความมีวัฒนธรรม” ให้แก่ชาวพื้นเมืองอเมริกันโดยการเตรียมการมอบสิทธิการเป็นพลเมืองอเมริกันให้
[8][9][10][11][12] การกลืนชาติ (Assimilation) (ไม่ว่าจะด้วยความเต็มใจเช่นในกรณีของเผ่า
ชอคทอว์,
[13][14] or forced) กลายมาเป็นนโยบายหลักของคณะผู้บริหารสหรัฐอเมริกาต่อมา เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวพื้นเมืองอเมริกันทางตอนใต้สุดของสหรัฐอเมริกาถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานออกจากที่ตั้งถิ่นฐานเดิมเพื่อปล่อยที่ดินให้กับการขยายตัวของสหรัฐอเมริกา เมื่อมาถึง
สงครามกลางเมืองอเมริกา ชาติชนพื้นเมืองอเมริกันหลายชาติก็ถูกอพยพไปอยู่ทางตะวันตกของ
แม่น้ำมิสซิสซิปปี การโยกย้ายก็มิได้เป็นไปอย่างสงบเสมอไปการต่อต้านที่เกิดขึ้นที่เรียกว่าสงครามอินเดียนดำเนินต่อมาจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1890ชาวพื้นเมืองอเมริกันในปัจจุบันมีความสัมพันธ์ที่เป็นเอกลักษณ์กับสหรัฐอเมริกา ชาวพื้นเมืองอเมริกันอาจจะเป็นสมาชิกของชาติ เผ่า หรือกลุ่มชาวพื้นเมืองอเมริกันผู้มีฐานะเป็นรัฐที่เป็นอิสระจากรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา สังคมและวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองอเมริกันยังคงมีความรุ่งเรืองอยู่ท่ามกลางประชาชนอเมริกันที่มีเชื้อสายอื่น ๆ เช่น
ชาวแอฟริกัน ชาวเอเชีย ชาวตะวันออกกลาง และ
ชาวยุโรป ชาวพื้นเมืองอเมริกันที่ยังไม่มีสัญชาติอเมริกันก็มาได้รับสัญชาติตาม
รัฐบัญญัติว่าด้วยสัญชาติอเมริกันสำหรับชาวอินเดียน ค.ศ. 1924 (Indian Citizenship Act of 1924) ที่ได้รับการอนุมัติโดย
รัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกา