อาเธอร์ในวรรณกรรมยุคกลาง ของ กษัตริย์อาเธอร์

ผู้สร้างตัวละคร อาเธอร์ ในวรรณกรรมซึ่งเราคุ้นเคยกันอยู่ทุกวันนี้ คือ เจฟฟรีย์แห่งมอนมัท ในงานเขียนประวัติศาสตร์จำลอง ชื่อ Historia Regum Britanniae (ประวัติกษัตริย์แห่งบริเตน) ซึ่งเขียนขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1130 ข้อมูลและงานเขียนต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอาเธอร์จะแบ่งออกเป็น 2 พวก พวกหนึ่งเขียนขึ้นก่อน Historia ของเจฟฟรีย์ เรียกว่า พรีกัลฟริเดียน (pre-Galfridian; มาจากชื่อภาษาละตินของเจฟฟรีย์คือ Galfridus) ส่วนอีกพวกหนึ่งคืองานที่เขียนขึ้นหลังงานของเจฟฟรีย์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากงานของเจฟฟรีย์มาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรียกว่า กัลฟริเดียน หรือ โพสต์กัลฟริเดียน (post-Galfridian)

ขนบในวรรณกรรมพรีกัลฟริเดียน

หน้าสำเนาของ Y Gododdin หนึ่งในงานเขียนเวลส์ดั้งเดิมที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เอ่ยถึงชื่อของ อาเธอร์ (ค.ศ. 1275)

วรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่มีการเอ่ยถึง อาเธอร์ มาจากแหล่งข้อมูลในเวลส์และไบรตัน โดยมักเป็นการเอ่ยถึงอาเธอร์ในวรรณกรรมแบบ พรีกัลฟริเดียน แบบกว้าง ๆ ไม่ได้เอ่ยถึงอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นเรื่องราวเอกเทศ มีการสำรวจทางวิชาการเมื่อไม่นานมานี้โดย โทมัส กรีน เพื่อแยกแยะรูปแบบการเอ่ยถึงอาเธอร์ในวรรณกรรมเหล่านั้นออกมาได้เป็น 3 รูปแบบ[9] รูปแบบที่หนึ่งคือ อาเธอร์เป็นนักรบอิสระ ทำหน้าที่ต่อสู้ป้องกันบริเตนจากศัตรูทั้งภายในและภายนอก ศัตรูเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์ เช่นพวกแซกซัน ที่เขาได้สู้รบด้วยดังมีระบุอยู่ใน Historia Brittonum แต่ส่วนมากแล้วศัตรูที่เขาต้องต่อสู้ด้วยจะเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น ปีศาจแมวยักษ์ หมูป่าจอมเวทย์ มังกร ปีศาจหัวสุนัข ยักษ์ และแม่มด[9] รูปแบบที่สองคือ อาเธอร์เป็นวีรบุรุษในนิทานพื้นบ้านและเทพนิยายมหัศจรรย์ของท้องถิ่น เขาเป็นผู้นำของกลุ่มวีรบุรุษผู้มีอำนาจวิเศษที่อาศัยอยู่ในป่า[7] ส่วนรูปแบบที่สามเป็นตำนานเก่าแก่ของเวลส์ อาเธอร์ในตำนานนั้นมีความเกี่ยวข้องกับโลกหลังความตายในความเชื่อของชาวเวลส์ คือ Annwn ทางหนึ่งเขาเข้าโจมตีป้อมปราการในโลกแห่งนั้นเพื่อค้นหาทรัพย์สมบัติและช่วยเหลือเหล่านักโทษ ส่วนอีกทางหนึ่งมาจากวรรณกรรมที่เก่าแก่ที่สุด เหล่านักรบของเขา รวมถึงเหล่าเทพเจ้าในลัทธิเพแกนดั้งเดิม ภรรยาของอาเธอร์และอาณาจักรของเขา ล้วนมีกำเนิดมาจากโลกหลังความตายทั้งสิ้น[9]

หนึ่งในงานกวีนิพนธ์เวลส์ที่อ้างอิงถึงอาเธอร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด มาจากงานกวีนิพนธ์เกี่ยวกับความตายของวีรบุรุษ ชื่อ Y Gododdin แต่งขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 6 โดยกวีชื่อ Aneirin โคลงบทหนึ่งกล่าวยกย่องสดุดีนักรบผู้กล้าหาญที่สังหารศัตรูไปถึง 300 คน แม้จะมีหมายเหตุต่อท้ายว่า "เขามิใช่อาเธอร์" แต่ก็กล่าวว่าวีรกรรมของเขาในคราวนี้ยังไม่อาจเทียบกับขวัญกล้าของอาเธอร์ได้เลย[27] Y Gododdin เริ่มเป็นที่รู้จักนับจากต้นฉบับงานเขียนในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ดังนั้นจึงไม่อาจตรวจสอบได้ว่าข้อความดังกล่าวนี้อยู่ในต้นฉบับดั้งเดิมหรืออยู่ในฉบับคัดลอกเรียบเรียงใหม่ แต่ในความเห็นของ จอห์น ค็อก เห็นว่าข้อความที่ระบุเวลาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 7 ขึ้นไปไม่อาจพิสูจน์ยืนยันได้[9][24][28] มีบทกวีหลายบทของ Taliesin กวีที่เชื่อว่ามีชีวิตอยู่ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 เอ่ยอ้างถึงอาเธอร์ไว้เช่นกัน แม้ว่าต้นฉบับบทกวีเหล่านั้นมีอายุอยู่ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 8-12[24] ในจำนวนนี้รวมถึง "Kadeir Teyrnon" (เก้าอี้ของเจ้าชาย) [29] ซึ่งกล่าวอ้างถึง "อาเธอร์ผู้ได้รับพร", "Preiddeu Annwn" (ผู้ทำลาย Annwn) [30] ซึ่งช่วยสนับสนุนข้อมูลส่วนที่อาเธอร์มีความเกี่ยวข้องกับโลกหลังความตาย และ "Marwnat vthyr pen[dragon]" (บทอาลัยแห่งยูเทอร์ เพน (ดรากอน)) [31] ซึ่งอ้างถึงความกล้าหาญของอาเธอร์ และกล่าวเป็นนัยถึงความสัมพันธ์พ่อ-ลูกระหว่างอาเธอร์กับยูเทอร์ อันเกิดขึ้นก่อนงานเขียนของเจฟฟรีย์แห่งมอนมัท

งานเขียนของชาวเวลส์ยุคต้นที่กล่าวอ้างถึงอาเธอร์ ยังรวมไปถึงบทกวีบทหนึ่งที่พบในหนังสือปกดำแห่งคาร์มาร์เธน ชื่อ "Pa gur yv y porthaur?" ("บุรุษใดคือผู้พิทักษ์ประตู?") [4][5] ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่างอาเธอร์กับผู้พิทักษ์ประตูป้อมปราการที่เขาต้องการเดินทางเข้าไป อาเธอร์ยังเอ่ยถึงชื่อคนและภารกิจของเขา ผู้ติดตามของเขาที่สำคัญคือ Cei (เคย์) และ Bedwyr (เบดิเวียร์) นิทานร้อยแก้วของเวลส์เรื่องหนึ่งชื่อ Culhwch and Olwen (ราวคริสต์ทศวรรษ 1100) ซึ่งรวมอยู่ในชุดเอกสาร Mabinogion ได้มีเนื้อหาระบุถึงรายชื่อผู้ติดตามของอาเธอร์เป็นจำนวนมากกว่า 200 คน ซึ่งมีชื่อของ Cei และ Bedwyr เป็นบุคคลสำคัญ เรื่องราวโดยรวมเล่าถึงการที่อาเธอร์ได้ช่วยเหลือ Culhwch ญาติของเขาให้ชนะใจ Olwen บุตรีของ Ysbaddaden ซึ่งเป็นหัวหน้าของยักษ์ เขาสามารถกระทำภารกิจอันเป็นไปไม่ได้จนสำเร็จ ในจำนวนนี้รวมถึงการล่าหมูป่าผู้ยิ่งใหญ่ชื่อ Twrch Trwyth บันทึกในคริสต์ศตวรรษที่ 9 Historia Brittonum ก็ได้อ้างถึงนิทานเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ในบันทึกนี้หมูป่ามีชื่อว่า Troy (n) t[32] นอกจากนี้ชื่อของอาเธอร์ยังถูกเอ่ยอ้างถึงอีกหลายต่อหลายครั้งใน Welsh Triads ซึ่งเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นว่าด้วยวัฒนธรรมและตำนานต่าง ๆ ของชาวเวลส์ ทว่าต้นฉบับของ Triads ในยุคหลัง ๆ ส่วนหนึ่งดัดแปลงมาจากงานของเจฟฟรีย์แห่งมอนมัทและจากวัฒนธรรมอื่น ๆ ของแผ่นดินใหญ่ อย่างไรก็ดีในต้นฉบับที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมิได้รับอิทธิพลภายนอกอื่นใด และดูเหมือนจะแสดงถึงรากเหง้าวัฒนธรรมดั้งเดิมของเวลส์จริง ๆ ก็ได้มีปรากฏชื่อของอาเธอร์อยู่แล้ว มีการกล่าวถึง "ตำหนักของอาเธอร์" (Arthur's Court) ในตำนานของบริเตน บางครั้งก็เรียกตำหนักนี้ว่า "เกาะแห่งบริเตน" เช่นในประโยคที่ว่า "Three XXX of the Island of Britain"[1][33] แม้ใน Historia Brittonum และ Annales Cambriae จะไม่ได้ระบุว่าอาเธอร์เป็นกษัตริย์ แต่ในเวลาที่เขียนเรื่อง Culhwch and Olwen และ Triads อาเธอร์ถูกเรียกขานว่าเป็น "Penteyrnedd yr Ynys hon" หรือ "ผู้นำแห่งลอร์ดทั้งหลายบนเกาะนี้" นั่นคือเป็นเจ้าเหนือหัวของเวลส์ คอร์นวอลล์ และดินแดนทางเหนือ[34]

นอกเหนือไปจากบทกวีและนิทานเวลส์ในยุคพรีกัลฟริเดียนดังกล่าวข้างต้น อาเธอร์ยังปรากฏในเอกสารภาษาละตินที่มีอายุเก่าแก่กว่า Historia Brittonum และ Annales Cambriae อีก มีชื่อของอาเธอร์ปรากฏอยู่หลายแห่งในชีวประวัตินักบุญยุคหลังอาณาจักรโรมัน แต่ในปัจจุบันไม่มีที่ใดรับรองความน่าเชื่อถือทางประวัติศาสตร์ของแหล่งข้อมูลเหล่านั้น (ฉบับเก่าแก่ที่สุดระบุวันที่อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11) [34] จากบันทึกเรื่อง Life of Saint Gildas ที่เขียนในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 โดย คาราด็อค แห่ง ลานคาร์ฟาน ได้ระบุไว้ว่า อาเธอร์เป็นผู้สังหารน้องชายของกิลแดส คือ Hueil และได้ช่วยภรรยาของเขานามว่า Gwenhwyfar จากกลาสเตินเบอรี่[35] ในบันทึกเรื่อง Life of Saint Cadoc ของ ไลฟริส แห่ง ลานคาร์ฟาน ซึ่งเขียนในราวคริสต์ทศวรรษ 1100 หรือก่อนนั้นเล็กน้อย ระบุว่าท่านนักบุญได้ให้ความคุ้มครองแก่บุรุษผู้หนึ่งซึ่งสังหารทหารของอาเธอร์ไป 3 คน และอาเธอร์เรียกร้องวัวฝูงหนึ่งเป็นการทดแทน นักบุญคาดอคยินดีส่งฝูงวัวตามคำขอ แต่เมื่ออาเธอร์ได้รับสัตว์เหล่านั้น ปรากฏว่ามันกลายเป็นผักกำหนึ่ง[36] เรื่องราวคล้ายคลึงกันนี้ยังปรากฏในบันทึกชีวประวัติของ Carannog, Padarn และ Eufflam ซึ่งคาดว่าเขียนขึ้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ 12 มีตำนานเกี่ยวกับกษัตริย์อาเธอร์ที่ไม่ชัดเจนนักปรากฏอยู่ใน Legenda Sancti Goeznovii ซึ่งอ้างว่าเขียนขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 11 ทั้ง ๆ ที่ต้นฉบับเท่าที่พบเก่าที่สุดมีอายุในราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 เท่านั้น[37] ยังมีการอ้างอิงถึงอาเธอร์ที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง อยู่ใน De Gestis Regum Anglorum ของวิลเลียม มาล์มส์เบอรี่ และ De Miraculis Sanctae Mariae Laudensis ของเฮอร์มันน์ ทั้งสองเรื่องให้ข้อมูลหลักฐานแรกเกี่ยวกับความเชื่อที่ว่า อาเธอร์ยังไม่ตาย และจะหวนกลับมาในวันใดวันหนึ่ง โครงเรื่องนี้ปรากฏซ้ำอีกหลายครั้งในนิทานพื้นบ้านยุคโพสต์กัลฟริเดียน[7][9]

เจฟฟรีย์แห่งมอนมัท

มอร์เดร็ด ศัตรูคนสุดท้ายของอาเธอร์ ตามงานเขียนของเจฟฟรีย์แห่งมอนมัท ภาพวาดโดย H. J. Ford สำหรับนิยายเรื่อง King Arthur: The Tales of the Round Table ของแอนดรูว์ แลง ค.ศ. 1902

งานเขียนเชิงพรรณนาว่าด้วยชีวิตของอาเธอร์ฉบับแรกเท่าที่ค้นพบ คืองานเขียนภาษาละตินเรื่อง Historia Regum Britanniae (ประวัติกษัตริย์แห่งบริเตน) ของเจฟฟรีย์แห่งมอนมัท[38][39] ซึ่งเขียนเสร็จในปี ค.ศ. 1138 เป็นงานเขียนบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับกษัตริย์แห่งบริเตนที่เต็มไปด้วยจินตนาการและเรื่องเหนือจริง นับแต่ตำนานของบรูตัสชาวเมืองทรอยผู้ลี้ภัย มาจนถึง Cadwallader กษัตริย์เวลส์ในคริสต์ศตวรรษที่ 7 เจฟฟรีย์บันทึกยุคของอาเธอร์อยู่ในยุคหลังโรมันเช่นเดียวกันกับ Historia Brittonum และ Annales Cambriae เขายังเขียนถึงบิดาของอาเธอร์ คือ ยูเทอร์ เพนแดรกอน กับที่ปรึกษาผู้วิเศษของเขาคือ เมอร์ลิน เขาเขียนเล่าถึงกำเนิดของอาเธอร์ว่า ยูเทอร์ปลอมตัวเข้าไปในทัพของกอร์ลัวส์ฝ่ายศัตรูด้วยมนตร์วิเศษของเมอร์ลิน แล้วลักลอบได้เสียกับนางอิเกอร์นา ภริยาของกอร์ลัวส์ ที่ทินแทเจล เมื่อยูเทอร์เสียชีวิต อาเธอร์ผู้บุตรเวลานั้นอายุ 15 ปี ได้สืบต่อตำแหน่งกษัตริย์แห่งบริเตนและได้เข้าร่วมในการศึกหลายครั้งหลายครา คล้ายคลึงกับที่ปรากฏใน Historia Brittonum เขาทำศึกชนะพวกพิกต์และพวกสก๊อต จากนั้นได้ก่อตั้งอาณาจักรอาเธอร์ขึ้นหลังจากเอาชนะไอร์แลนด์ ไอซ์แลนด์ และหมู่เกาะออร์คนีย์ หลังจากสิบสองปีอันสันติผ่านพ้นไป อาเธอร์เริ่มต้นการแผ่ขยายอาณาจักรอีกครั้ง โดยเข้ายึดครองนอร์เวย์ เดนมาร์ก และกอล ในเวลาที่เขาพิชิตกอล ดินแดนนั้นยังอยู่ในอารักขาของอาณาจักรโรมัน การรุกรานของเขาคราวนั้นจึงนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างอาณาจักรของเขากับอาณาจักรโรมัน อาเธอร์กับเหล่านักรบของเรา ซึ่งรวมถึง Kaius (เคย์) , Beduerus (เบดิเวียร์) และ Gualguanus (กาเวน) สามารถเอาชนะจักรพรรดิโรมัน ลูเชียส ทิเบเรียส ได้ที่กอล แต่เมื่อเขาเตรียมจะกรีธาทัพต่อไปยังโรม อาเธอร์ก็ได้ข่าวว่า Modredus (มอร์เดร็ด) หลานชายของเขาผู้ที่อาเธอร์ละไว้ให้ดูแลอารักขาบริเตน ได้แต่งงานกับภรรยาของอาเธอร์ คือ Guenhuuara (กวินิเวียร์) และยึดบัลลังก์มาเป็นของตน อาเธอร์จึงหวนกลับบริเตนและสังหารมอร์เดร็ดที่ริมฝั่งแม่น้ำแคมแบลมในคอร์นวอลล์ แต่ตัวอาเธอร์เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก เขามอบตำแหน่งต่อให้กับญาติของเขาชื่อ คอนสแตนติน แล้วจึงเดินทางจากไปยังดินแดนแอวาลอนเพื่อรักษาบาดแผลของตน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเขาอีกเลย[40]

ประเด็นที่ว่า งานเขียนชิ้นนี้เป็นผลงานประพันธ์ที่เจฟฟรีย์คิดขึ้นใหม่สักเท่าใด ยังคงเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันทั่วไป ส่วนที่ค่อนข้างชัดเจนคือ เจฟฟรีย์น่าจะนำการศึกต่อต้านการรุกรานของพวกแซกซัน 12 ครั้งของอาเธอร์มาจาก Historia Brittonum การรบที่คัมลานน์น่าจะมาจาก Annales Cambriae รวมถึงแนวคิดที่ว่าอาเธอร์ยังคงมีชีวิตอยู่[7][41] สถานะของตัวอาเธอร์ในฐานะกษัตริย์แห่งบริเตนทั้งมวลก็น่าจะยืมมาจากวรรณกรรมพรีกัลฟริเดียน ดังเช่นที่พบใน Culhwch and Olwen, Triads และ Saints' Lives[9] เจฟฟรีย์ยังนำชื่อของสิ่งของและบุคคลใกล้ชิดของอาเธอร์หลายชื่อมาจากวรรณกรรมพรีกัลฟริเดียนด้วย เช่น เคย์, เบดิเวียร์, กวินิเวียร์ และยูเทอร์ เป็นต้น รวมถึงชื่อของ Caliburnus (Caledfwlch) ซึ่งในวรรณกรรมยุคหลังเรียกกันว่า ดาบเอกซ์แคลิเบอร์[41] อย่างไรก็ดี แม้เขาจะยืมเอาชื่อต่าง ๆ เหตุการณ์สำคัญ ๆ รวมถึงตำแหน่งของอาเธอร์มาจากวรรณกรรมเก่า แต่ บรินลีย์ โรเบิร์ต แย้งว่า "เรื่องราวเกี่ยวกับอาเธอร์ในงานสร้างสรรค์ของเจฟฟรีย์ไม่ได้นำมาจากเรื่องเล่าอื่นใดก่อนหน้านั้นเลย"[41] ตัวอย่างเช่น ชื่อ Medraut ในตำนานเวลส์ ได้กลายมาเป็นทรราช Modredus ในตำนานของเจฟฟรีย์ แต่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปรากฏต้นตอใดเกี่ยวกับตัวละครชั่วร้ายนี้ในตำนานเวลส์จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16[42] ในยุคหลังมีความพยายามที่จะสืบเสาะเพื่อพิสูจน์ว่า Historia Regum Britanniae เป็นงานต้นฉบับที่สร้างโดยเจฟฟรีย์เองอย่างแท้จริง ความเห็นเชิงวิชาการส่วนใหญ่ตอบรับต่อแนวคิดของวิลเลียมแห่งนิวเบอร์ก ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 เขากล่าวว่า เจฟฟรีย์ "แต่ง" เรื่องราวทั้งหมดขึ้นมาเอง อันเนื่องมาจาก "นิสัยชอบโป้ปดอย่างร้ายกาจ"[43] แต่ เจฟฟรีย์ แอช ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาเชื่อว่างานเขียนของเจฟฟรีย์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแหล่งข้อมูลอื่นที่สูญหายไป ซึ่งเล่าเรื่องราววีรกรรมของกษัตริย์อังกฤษในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 นาม ริโอทามุส (Riotamus) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอาเธอร์ แต่นักประวัติศาสตร์และนักวิชาการเคลติกยังไม่มั่นใจที่จะเชื่อถือตามข้อสรุปของแอช[2][44][45]

แต่ไม่ว่าเขาจะมีแหล่งข้อมูลมาจากที่ใด ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า Historia Regum Britanniae ของเจฟฟรีย์ส่งอิทธิพลต่อวรรณกรรมยุคหลังเป็นอย่างมาก มีงานเขียนฉบับคัดลอกจากต้นฉบับภาษาละตินของเจฟฟรีย์หลงเหลือมาถึงปัจจุบันมากกว่า 200 ฉบับ ทั้งนี้ยังไม่รวมฉบับที่แปลออกไปเป็นภาษาอื่น ๆ อีก[46] เช่นมีต้นฉบับของ Historia ในภาษาเวลส์มากกว่า 60 ฉบับ ฉบับที่เก่าแก่ที่สุดพบว่าเขียนขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ผลจากความนิยมอย่างสูงนี้ Historia Regum Britanniae ของเจฟฟรีย์จึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อวิวัฒนาการของตำนานอาเธอร์ในยุคกลางตอนปลาย ซึ่งไม่เพียงจะเป็นแรงผลักดันในจินตนาการเกี่ยวกับวีรกรรมของอาเธอร์เท่านั้น แต่ทุกเสี้ยวส่วนในตำนานล้วนถูกหยิบยืมไปพัฒนาแตกหน่อขยายเรื่องราวออกไป (ตัวอย่างเช่น เรื่องของพ่อมดเมอร์ลิน และชะตากรรมสุดท้ายของอาเธอร์) และได้สร้างกรอบทางประวัติศาสตร์ขึ้นให้กับเหล่าผู้นิยมนิทานโรแมนซ์ เรื่องราวของเวทมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนการผจญภัยอันน่ามหัศจรรย์[47]

ขนบแบบโรแมนซ์

ภาพอาเธอร์บนม่านปัก "Christian Heroes Tapestry" ค.ศ. 1385 ในฐานะหนึ่งในเก้าผู้ยิ่งใหญ่ทรัสทันและไอโซลดี ตัวละครจากตำนานอาเธอร์ที่มีบทบาทมากขึ้นจนบดบังตัวอาเธอร์เสียเอง ภาพวาดโดย จอห์น วิลเลียม วอเตอร์เฮาส์ ค.ศ. 1916

ผลจากความนิยมใน Historia ของเจฟฟรีย์ และงานดัดแปลงอื่น ๆ (เช่น Roman de Brut ของเวส) เป็นปัจจัยสำคัญต่อปรากฏการณ์งานประพันธ์เกี่ยวกับอาเธอร์จำนวนมากที่เกิดขึ้นในยุโรป ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12-13 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝรั่งเศส[6] แม้ว่าในการกำเนิดเรื่องราว "ตำนานแห่งบริเตน" จะมีที่มาจากแหล่งอื่น ๆ นอกเหนือจากตำนานกษัตริย์อาเธอร์ก็ตาม ชื่อของอาเธอร์และเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับอาเธอร์ได้ปรากฏอยู่บนแผ่นดินใหญ่มานานแล้วก่อนที่งานของเจฟฟรีย์จะเป็นที่แพร่หลาย[48] เช่นกันกับการใช้ชื่อและเรื่องราวอื่น ๆ ในวัฒนธรรมเคลติกซึ่งไม่มีอยู่ใน Historia ของเจฟฟรีย์[49] บางทีสิ่งสำคัญที่สุดที่ส่งอิทธิพลต่อความนิยมในเรื่องราวของอาเธอร์อย่างมากก็คือบทบาทในการเป็นกษัตริย์ของอาเธอร์จากมุมมองของเขานั่นเอง วรรณกรรมเกี่ยวกับอาเธอร์ทั้งในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และหลังจากนั้นมุ่งความสนใจไปที่ตัวละครอื่น ๆ มากกว่า เช่น เรื่องของลานซล็อตกับกวินิเวียร์ เพอร์ซิวาล กาลาฮัด กาเวน และทรัสทันกับไอโซลดี ขณะที่วรรณกรรมแบบพรีกัลฟริเดียนและงานเขียนของเจฟฟรีย์มุ่งความสำคัญอยู่ที่ตัวอาเธอร์ แต่วรรณกรรมโรแมนซ์ในยุคหลัง อาเธอร์กลับหลุดออกไปอย่างรวดเร็ว[50] บทบาทของตัวละครอาเธอร์เองก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ในวรรณกรรมดั้งเดิมรวมถึงงานของเจฟฟรีย์ อาเธอร์เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่และเก่งฉกาจ ผู้หัวเราะลั่นยามสังหารแม่มดและยักษ์ และเป็นผู้นำในปฏิบัติการทางทหารทุกครั้ง[51] ขณะที่ในวรรณกรรมโรแมนซ์บนแผ่นดินใหญ่ เขากลับกลายเป็น roi fainéant หรือ "กษัตริย์ผู้ไม่ต้องทำอะไรเลย" ผู้ซึ่ง "ถือว่าการอยู่นิ่งเฉยเป็นหัวใจสำคัญของสังคมในอุดมคติ"[52] บทบาทของอาเธอร์ในวรรณกรรมเหล่านี้มักจะเป็นผู้ทรงปัญญา สง่าผึ่งผาย ใจเย็น และสุภาพ บางครั้งยังดูเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอไปเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น เขาจึงเศร้าซึมและไม่พูดจาอะไรเลยเมื่อได้รู้ว่า ลานซล็อตลอบรักกันกับกวินิเวียร์ ขณะที่ในเรื่อง Yvain, the Knight of the Lion ของ เครเตียง เดอ ทรัว อาเธอร์ไม่สามารถฝืนลืมตาอยู่ได้หลังจากงานเลี้ยงฉลองจนต้องขอตัวแอบหลบไปงีบ[50] อย่างไรก็ดี นอร์ริส เจ. เลซี ได้ตั้งข้อสังเกตว่า แม้เขาจะทำความผิดพลาดและดูอ่อนแอเพียงใดในวรรณกรรมยุคหลัง แต่ "เกียรติศักดิ์ของเขาไม่เคยด้อยลงจากบุคลิกอันอ่อนแอเลย ... ทั้งอำนาจและศักดิ์ศรีของเขายังดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์"[53]

อาเธอร์ และข้าราชบริพารของเขายังปรากฏอยู่ในงานเขียนบางส่วนใน Lais ของ มารี เดอ ฟรังซ์[54] แต่งานที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคือกวีนิพนธ์ของกวีชาวฝรั่งเศส เครเตียง เดอ ทรัว (Chrétien de Troyes) ซึ่งส่งผลให้ตัวละคร "อาเธอร์" และตำนานของพระองค์วิวัฒนาการไปอย่างมาก[55] เครเตียงเขียนวรรณกรรมโรแมนซ์เกี่ยวกับตำนานอาเธอร์ 5 เรื่องระหว่างปี ค.ศ. 1170 ถึง 1190 Erec and Enide และ Cligès เป็นนิทานเกี่ยวกับความรักในวังหลวงโดยมีราชสำนักของอาเธอร์เป็นฉากหลังของเรื่อง แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องราวเชิงวีรบุรุษของเวลส์และวรรณกรรมแบบกัลฟริเดียน ขณะที่ Yvain, the Knight of the Lion เป็นเรื่องของ ยไวน์ กับ กาเวน ในการผจญภัยเหนือจินตนาการ ส่วนอาเธอร์เป็นแค่ตัวประกอบ ทว่าการพัฒนาการของตำนานอาเธอร์ส่วนที่มีนัยสำคัญมากที่สุดคือเรื่อง Lancelot, the Knight of the Cart ที่เป็นนิยายแนะนำตัวลานเซลอตและเบิกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกวินิเวียร์ ราชินีของอาเธอร์ เป็นการขยายแต่งเติมเพิ่มประเด็นความรักที่ผิดหวังของอาเธอร์ Perceval, the Story of the Grail เป็นตัวนำเรื่องของจอกศักดิ์สิทธิ์และกษัตริย์ตกปลา (Fisher King) ให้โด่งดัง และเช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ คือบทบาทของอาเธอร์ถูกตัดทอนลงเหลือเพียงน้อยนิด[56] เครเตียงได้ทำให้ "แต่งแต้มตำนานของอาเธอร์ให้มีชีวิตชีวา และสร้างความสับสนให้กับตำนานมากยิ่งขึ้น"[55] เรื่องราวโดยมากที่เกิดขึ้นหลังจากยุคของเขาได้สร้างภาพพจน์ของอาเธอร์ขึ้นจากพื้นฐานที่เขาสร้างเอาไว้ เรื่องของเพอร์ซิวาลที่แม้จะยังไม่จบ ก็ได้รับความนิยมอย่างมาก มีการประพันธ์บทกวีเกี่ยวกับเขาอย่างต่อเนื่องไปกว่าครึ่งศตวรรษ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับจอกศักดิ์สิทธิ์และภารกิจการค้นหา ซึ่งต่อมานักเขียนคนอื่น ๆ ก็นำไปประพันธ์ต่อเติมอีก เช่น โรเบิร์ต เดอ โบรอน นับว่าเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ลดบทบาทของอาเธอร์ลงไปในวรรณกรรมโรแมนซ์บนแผ่นดินใหญ่[57] ในทำนองเดียวกัน เรื่องของลานเซลอตกับการที่เขาหักหลังอาเธอร์ก็กลายเป็นหนึ่งในโครงเรื่องคลาสสิกเกี่ยวกับตำนานกษัตริย์อาเธอร์ แม้ว่าบทบาทของลานเซลอตในงานเขียนยุคต่อมา เช่น Lancelot (ค.ศ. 1225) จะประสมประสานกันระหว่างลานเซลอตในงานของเครเตียง กับ Lanzelet ของ Ulrich von Zatzikhoven ก็ตาม[58] ผลงานของเครเตียงยังส่งอิทธิพลกลับไปยังวรรณกรรมเกี่ยวกับอาเธอร์ในเวลส์ด้วย เมื่อบทบาทเชิงโรแมนซ์ของอาเธอร์เริ่มเข้ามาแทนที่วีรบุรุษอันห้าวหาญในขนบดั้งเดิมของวรรณกรรมเวลส์[52] ผลงานอันโดดเด่นที่สะท้อนถึงวิวัฒนาการนี้ คือนิยายโรแมนซ์ของเวลส์ 3 เรื่องที่มีความคล้ายคลึงกับตำนานของเครเตียงมาก เพียงแตกต่างในรายละเอียดเล็กน้อย ได้แก่ Owain, or the Lady of the Fountain คล้ายกับเรื่องของ ยไวน์ ในงานของเครเตียง, Geraint and Enid คล้ายคลึงกับ Erec and Enide, และ Peredur son of Efrawg คล้ายคลึงกับเรื่องของเพอร์ซิวาล[59]

อัศวินโต๊ะกลมกับจอกศักดิ์สิทธิ์ ภาพจากต้นฉบับงานเขียนในคริสต์ศตวรรษที่ 15

ตราบถึงคริสต์ทศวรรษ 1210 การเล่าเรื่องราวตำนานกษัตริย์อาเธอร์บนภาคพื้นทวีปยุโรปจะดำเนินผ่านบทกวี หลังจากนั้นจึงเริ่มมีการเล่าเป็นนิทานแบบร้อยแก้ว ตัวอย่างงานร้อยแก้วที่สำคัญที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 13 คือ Vulgate Cycle (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Lancelot-Grail Cycle) เป็นงานร้อยแก้วภาษาฝรั่งเศสยุคกลาง 5 เรื่องต่อเนื่องกัน เขียนขึ้นในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษนั้น[60] งานเขียนทั้ง 5 เรื่องได้แก่ Estoire del Saint Grail, Estoire de Merlin, Lancelot propre, Queste del Saint Graal และ Mort Artu เมื่อรวมกันเข้าจะได้เป็นเรื่องเล่าเกือบครึ่งหนึ่งของตำนานกษัตริย์อาเธอร์ทั้งหมด ตำนานเหล่านี้ทำให้แนวโน้มบทบาทของอาเธอร์ในตำนานของตัวเองลดน้อยลงเรื่อย ๆ ทั้งจากการเพิ่มบทบาทของกาลาฮัด และบทบาทที่เสริมเติมแต่งไปอย่างมากของเมอร์ลิน ทั้งยังสร้างให้มอร์เดร็ดกลายเป็นลูกนอกสมรสของอาเธอร์กับน้องสาวของตัวเอง บทบาทของคาเมล็อตก็เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกในเรื่อง Lancelot ของเครเตียง ในฐานะราชสำนักดั้งเดิมของอาเธอร์[61] เรื่องราวเหล่านี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องใน Post-Vulgate Cycle (ค.ศ. 1230–40) โดยมีเรื่อง Suite du Merlin เป็นเรื่องเอก ลดบทบาทความสำคัญของเรื่องราวระหว่างลานเซลอตกับกวินิเวียร์ลง หันไปเอาใจใส่กับภารกิจการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น[60] แต่บทบาทของอาเธอร์ก็ยังน้อยนิดเหมือนเดิม อาเธอร์ยังคงเป็นตัวละครประกอบในนิยายโรแมนซ์ของฝรั่งเศส สำหรับในชุดตำนาน Vulgate นั้น เขาได้ปรากฏตัวเพียงในตอน Estoire de Merlin และ Mort Artu เท่านั้น

การพัฒนาของวรรณกรรมอาเธอร์ในยุคกลางตลอดจนบุคลิกของตัวละครอาเธอร์ในแบบโรแมนซ์ นำไปสู่ผลงาน Le Morte d'Arthur ของโทมัส มาโลรี ที่นำเรื่องเล่าตำนานทั้งหมดมาเล่าใหม่เป็นเรื่องเดียวกันในฉบับภาษาอังกฤษ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 งานเขียนของมาโลรีเรื่องนี้เดิมใช้ชื่อว่า The Whole Book of King Arthur and of His Noble Knights of the Round Table โดยอ้างอิงเนื้อหาจากวรรณกรรมโรแมนซ์เรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก Vulgate Cycle ถือเป็นผลงานที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับอาเธอร์เอาไว้ได้อย่างครบถ้วนที่สุด[62] ด้วยเหตุนี้ และด้วยเหตุที่ Le Morte D'Arthur เป็นวรรณกรรมฉบับพิมพ์เล่มแรก ๆ ในอังกฤษ (ตีพิมพ์โดย วิลเลียม แคกซ์ตัน ในปี ค.ศ. 1485) จึงทำให้งานเขียนอื่น ๆ เกี่ยวกับอาเธอร์ในยุคหลัง ล้วนพัฒนาต่อมาจากผลงานของมาโลรีทั้งสิ้น[63]

ใกล้เคียง

กษัตริย์-จักรพรรดิ กษัตริย์ (วรรณะ) กษัตริยา กษัตริย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ กษัตริย์แห่งโรม กษัตริย์แห่งเวสเซกซ์ กษัตริย์ไทย กษัตริย์อังกฤษ กษัตริย์แห่งนอร์เวย์ กษัตริย์อาเธอร์

แหล่งที่มา

WikiPedia: กษัตริย์อาเธอร์ http://www.mun.ca/mst/heroicage/issues/1/hati.htm http://www.britannia.com/history/arthur/kageneral.... http://search.ebscohost.com/login.aspx?direct=true... http://books.google.com/books?id=H1msWqD0SA4C http://www.imdb.com/title/tt0349683/ http://www.imdb.com/title/tt0462396/ http://www.lib.rochester.edu/CAMELOT/KOKA.htm http://www.lib.rochester.edu/camelot/acpbibs/harty... http://www.lib.rochester.edu/camelot/cphome.stm http://www.lib.rochester.edu/camelot/egypt.htm