การกระทำอันเป็นโจรสลัดนอกชายฝั่งโซมาเลีย เป็นภัยคุกคามต่อการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศนับตั้งแต่ระยะที่สองของ
สงครามกลางเมืองโซมาเลียในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21
[1] นับตั้งแต่ พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา องค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง รวมทั้ง
องค์การทางทะเลระหว่างประเทศและ
โครงการอาหารโลก ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับพฤติการณ์ดังกล่าวที่เฟื่องฟูขึ้น
[2] การกระทำอันเป็น
โจรสลัดดังกล่าวส่งผลให้ค่าขนส่งแพงขึ้นและกีดขวางการขนส่งสินค้าอาหารให้ความช่วยเหลือ กว่าร้อยละเก้าสิบของสินค้าโครงการอาหารโลกขนส่งทางทะเล และเรือที่แล่นเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวปัจจุบันต้องได้รับการคุ้มกันจากทหาร
[3]รายงานของ
สหประชาชาติและแหล่งข่าวหลายแห่งได้เสนอว่าการกระทำอันเป็นโจรสลัดนอกชายฝั่งโซมาเลียบางส่วนเกิดขึ้นจากการประมงผิดกฎหมายและการที่เรือต่างประเทศทิ้งขยะของเสียในน่านน้ำโซมาเลีย ซึ่งตามข้อมูลของชาวประมงโซมาเลีย ได้จำกัดความสามารถของคนท้องถิ่นในการประกอบอาชีพอย่างรุนแรง ซึ่งได้บีบบังคับให้หลายคนต้องผันตนเองไปเป็นโจรสลัดแทน
[4][5] โจรสลัดบางคนเสนอแนะว่า การขาดหน่วยยามฝั่งแห่งชาติที่มีประสิทธิภาพหลังจากสงครามกลางเมืองโซมาเลียปะทุขึ้น และการสลายตัวในเวลาต่อมาของกองทัพ ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นโจรสลัดเพื่อป้องกันน่านน้ำของตน ความเชื่อดังกล่าวยังได้สะท้อนออกมาในชื่อที่ใช้โดยเครือข่ายโจรสลัดบางแห่ง อย่างเช่น อาสาสมัครยามฝั่งแห่งชาติ (NVCG)
[5] กรมเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของ
สหราชอาณาจักร ได้เปิดเผยรายงานใน พ.ศ. 2548 ซึ่งระบุว่า ระหว่าง พ.ศ. 2546-47 โซมาเลียสูญเสียรายได้กว่า 100 ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการประมง
ปลาทูน่าและ
กุ้งผิดกฎหมายใน
เขตเศรษฐกิจจำเพาะของประเทศ โดยเรือลากอวนจับปลาของต่างประเทศ
[4]กองกำลังผสม 150 กองกำลังผสมอันประกอบขึ้นจากความร่วมมือของหลายชาติ เข้ามามีบทบาทในการรับมือกับการกระทำอันเป็นโจรสลัดโดยการสร้างพื้นที่ช่องทางเดินเรือ (MSPA) ใน
อ่าวเอเดน[6] ภัยคุกคามที่เพิ่มมากขึ้นอันเป็นสาเหตุมาจากการกระทำอันเป็นโจรสลัดยังได้ก่อให้เกิดความกังวลแก่อินเดีย เนื่องจากการขนส่งทางเรือส่วนใหญ่จำเป็นต้องผ่านอ่าวเอเดน กองทัพเรืออินเดียจึงตอบสนองต่อความกังวลดังกล่าวด้วยการส่งเรือรบเข้ามาในภูมิภาคเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551
[7][8] ในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน รัสเซียได้ประกาศว่าตนปรารถนาจะเข้าร่วมความพยายามระหว่างประเทศในการต่อสู้กับการกระทำอันเป็นโจรสลัดนี้ด้วย
[9] บางรายงานได้กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่รัฐบาลบางคนในโซมาเลียมีส่วนรู้เห็นกับโจรสลัดด้วย
[10] อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของเลขาธิการสหประชาชาติ
บัน คี มูน ทั้งคณะบริหารในอดีตและปัจจุบันของภูมิภาคปกครองตนเองปุนท์แลนด์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของโซมาเลียกลับมีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่าในการต่อสู้กับการกระทำอันเป็นโจรสลัด
[10] มาตรการของคณะบริหารดังกล่าวรวมไปถึงการโจมตีสถานที่หลบภัยของโจรสลัดบนฝั่ง
[11] และการก่อสร้างฐานทัพเรือใหม่ขึ้นเชื่อมกับซาระเซ็นอินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยที่มีฐานอยู่ในสหราชอาณาจักร
[12] ในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2553 ความพยายามที่จะควบคุมที่เพิ่มมากขึ้นของทางการรัฐบาลโซมาเลียและเรือจากกองทัพเรือนานาประเทศได้ร่วมมือกันทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งสามารถลดจำนวนการโจมตีเรือของโจรสลัดในอ่าวเอเดนลงจาก 86 ลำ ใน พ.ศ. 2552 ลงเหลือ 33 ลำ บีบบังคับให้โจรสลัดต้องหันความสนใจไปยังพื้นที่อื่น อย่างเช่น แอ่งโซมาเลียและ
มหาสมุทรอินเดียที่กว้างใหญ่กว่า
[11][13][14] ตามข้อมูลของอีโคเทอร์รา เมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2553 สมาชิกลูกเรือมากกว่า 500 คน และเรือต่างประเทศอย่างน้อย 31 ลำ ยังคงอยู่ในมือของโจรสลัดโซมาเลีย
[15] จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2554 โจรสลัดจัดการยึดเรือได้เพียงสี่ลำนอกชายฝั่งโซมาเลีย และยึดเรือได้ 18 ลำ น้อยกว่าที่เคยยึดได้ปีละ 26 ลำในช่วงสองปีที่ผ่านมา พวกโจรสลัดยังพยายามโจมตีเรืออื่นไม่สำเร็จอีก 52 ลำ น้อยกว่าปีก่อน 16 ลำ
[16] จนถึงวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555 โจรสลัดกำลังยึดเรือใหญ่อยู่ประมาณ 5 ลำ มีตัวประกันที่ประเมินไว้ 136 คน
[17]