การข่มขืนกระทำชำเรา (
อังกฤษ: rape) เป็น
การทำร้ายร่างกายทางเพศซึ่งปกติเกี่ยวข้องกับ
เพศสัมพันธ์หรือการใช้
การล่วงล้ำทางเพศแบบอื่นต่อบุคคลโดยปราศจาก
ความยินยอมของบุคคลเหล่านั้น การกระทำดังกล่าวอาจโดยใช้กำลังทางกาย
การบีบบังคับ การละเมิดอำนาจหรือต่อบุคคลที่ไม่สามารถให้ความยินยอมสมบูรณ์ได้ เช่น ผู้ที่หมดสติ
ไร้ความสามารถหรืออายุต่ำกว่า
อายุที่ยอมให้มีการร่วมประเวณีได้ตามกฎหมาย[1][2][3][4] คำว่า "ข่มขืนกระทำชำเรา" บางครั้งใช้แทนคำว่า "การทำร้ายร่างกายทางเพศ" ได้
[5]อุบัติการณ์การข่มขืนกระทำชำเราที่ตำรวจบันทึกทั่วโลกในปี 2553 แปรผันระหว่าง 0.2 ต่อ 100,000 คนใน
ประเทศอาเซอร์ไบจาน ถึง 92.9 ต่อ 100,000 คนใน
ประเทศบอตสวานา โดยมีค่า 6.3 ต่อ 100,000 คนใน
ประเทศลิทัวเนียเป็น
มัธยฐาน[6] ตามข้อมูลของสมาคมแพทย์อเมริกา (2538) ความรุนแรงทางเพศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการข่มขืนกระทำชำเรา ถูกพิจารณาว่าเป็นอาชญากรรมรุนแรงที่มีรายงานต่ำกว่าจริงมากที่สุด
[7][8] อัตราการรายงาน ดำเนินคดีและการพิพากษาลงโทษสำหรับการข่มขืนกระทำชำเราต่างกันมากตามเขตอำนาจ สถิติกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา (2542) ประมาณว่า 91% ของเหยื่อการข่มขืนกระทำชำเราในสหรัฐอเมริกาเป็นหญิง และ 9% เป็นชาย
[9] การข่มขืนกระทำชำเราโดยคนแปลกหน้าปกติพบน้อยกว่าการข่มขืนกระทำชำเราโดยบุคคลที่ผู้เสียหายรู้จัก
[10][11][12][13][14] และการศึกษาหลายครั้งแย้งว่าการข่มขืนกระทำชำเราในเรือนจำระหว่างชายต่อชายและหญิงต่อหญิงค่อนข้างพบบ่อยและอาจเป็นการข่มขืนกระทำชำเราแบบที่รายงานน้อยที่สุด
[15][16][17]ผู้ถูกข่มขืนกระทำชำเราอาจได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงและอาจประสบ
ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ[18] นอกเหนือไปจากความเสียหายทางจิตวิทยาอันเกิดจากการกระทำดังกล่าวแล้ว การกระทำชำเรายังอาจก่อการบาดเจ็บทางกาย หรือมีผลอย่างอื่นต่อผู้เสียหาย เช่น ได้รับ
การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์หรือ
ตั้งครรภ์ ยิ่งไปกว่านั้น หลังการข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายยังอาจเผชิญความรุนแรงหรือการข่มขู่จากผู้ข่มขืน และในบางวัฒนธรรม จากครอบครัวและญาติของผู้เสียหายเอง
[19][20][21]