กลเม็ดพอนซี หรือ
ธุรกิจพอนซี หรือ
การฉ้อฉลแบบพอนซี (
อังกฤษ: Ponzi scheme) เป็นปฏิบัติการลงทุนแบบฉ้อฉลที่ผู้ดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือเป็นองค์กร จ่ายผลกำไรให้แก่นักลงทุนโดยใช้เงินลงทุนใหม่จากนักลงทุนใหม่ แทนที่จะใช้ผลกำไรที่ผู้ดำเนินการลงทุนหาได้ผู้ดำเนินการวิธีนี้มักจะโน้มน้าวชักชวนผู้ลงทุนใหม่ โดยให้ผลกำไรที่สูงกว่าการลงทุนประเภทอื่น ๆ ในรูปแบบที่ได้ผลเร็ว ไม่ว่าจะเป็นผลตอบแทนที่สูงหรืออย่างสม่ำเสมอโดยไม่น่าเชื่อธุรกิจพอนซีบางครั้งจะเริ่มตั้งตัวเป็นธุรกิจที่สมควรตามเหตุผล จนกระทั่งประสบความล้มเหลวที่จะได้ผลตอบแทนตามที่คาดหวังแล้วธุรกิจก็จะกลายเป็นการฉ้อฉลแบบพอนซีถ้ายังดำเนินการต่อไปโดยแสดงผลตอบแทนที่ทำไม่ได้จริง ๆไม่ว่าสถานการณ์ตอนแรกจะเป็นอย่างไร การแสดงผลตอบแทนระดับสูงบังคับให้ต้องมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากนักลงทุนใหม่ ๆ เพื่อจะดำรงธุรกิจ
[1]การฉ้อฉลเป็นแบบธุรกิจที่มีชื่อตามนายชาลส์ พอนซี่
[2]ที่กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงอื้อฉาวหลังจากที่ได้ใช้เทคนิคนี้ในปี พ.ศ. 2463
[3]แต่ความจริง ไอเดียนี้มีอยู่ในหนังสือนิยายมาตั้งนานแล้ว เช่น ในนิยายของ
ชาลส์ ดิกคินส์ในปี 2387 (Martin Chuzzlewit) และในปี 2400 (Little Dorrit)
[4]แต่นายพอนซี่ได้นำกลเม็ดนี้มาใช้จริง ๆ และได้เงินมามากจนเป็นผู้ที่รู้จักกันดีทั่ว
สหรัฐอเมริกาธุรกิจเริ่มต้นของนายพอนซี่เป็นการซื้อและขายในต่างตลาดเวลาเดียวกัน (arbitrage) ซึ่ง
วิมัยบัตร (IRC) ที่สามารถใช้แลก
แสตมป์ได้แต่ไม่นานเท่าไรเขาก็ต้องเปลี่ยนไปใช้กลเม็ดพอนซี่โดยการเอาเงินทุนของนักลงทุนใหม่ไปจ่ายนักลงทุนเก่าและตัวเขาเอง
[1]นายพอนซี่ได้โฆษณาว่า เขาสามารถให้ผลตอบแทนเป็นเท่าตัวภายใน 90 วัน จนเขาได้เงินรวมกัน 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 440 ล้านบาทคิดเทียบค่าเงินปัจจุบัน) จากผู้ลงทุน 30,000 คนภายใน 7 เดือนก่อนที่ธุรกิจจะล้มเหลว แล้วต่อมาจึงถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 5 ปีในฐานะฉ้อฉลผ่านไปรษณีย์ใน
ประเทศไทย แชร์แม่ชม้อยเป็นรูปแบบหนึ่งของกลเม็ดพอนซี่
[5]โดยทำเป็นสัญญากู้ยืมเพื่อลงทุนในแชร์น้ำมันส่วนการฉ้อฉลแบบพอนซี่ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์โลกคือ "
คดีอื้อฉาวการลงทุนแมดอฟฟ์"
[6][7]ใน
ประเทศสหรัฐอเมริกาที่อดีตประธาน
ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ นายเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ ทำธุรกิจฉ้อฉลกับลูกค้า 4,800 รายโดยเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินคดีประเมินขนาดการฉ้อฉลว่าประมาณ 64,800 ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,317,215 ล้านบาทต้นปี 2559)
[6]แต่ที่อดีตประธานขององค์กรตรวจสอบและควบคุมของรัฐผู้หนึ่งประเมินว่า การฉ้อฉลจริง ๆ อยู่ที่ระหว่าง 10,000-17,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 359,846 - 611,739 ล้านบาท) โดยไม่รวมเอารายได้ที่ไม่มีจริง ๆ ที่บันทึกใส่บัญชีของลูกค้า
[8]