การผูกมิตรเมื่อเครียด ของ การดูแลและหาเพื่อน

การใช้ชีวิตเป็นกลุ่มมีประโยชน์มากมาย รวมทั้งการป้องกันสัตว์ร้าย และการร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน เพื่อเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติหญิงสร้าง ธำรง และใช้เครือข่ายสังคม โดยเฉพาะมิตรภาพกับหญิงอื่น ในการจัดการบริหารสถานการณ์ที่สร้างความเครียด[1]ในสถานการณ์ที่มีภัย สมาชิกกลุ่มจะเป็นแหล่งให้ความสนับสนุนและความป้องกันสำหรับหญิงและลูก ๆ ของตนงานวิจัยแสดงว่าหญิงมีโอกาสหาคนช่วยเมื่อเกิดความทุกข์สูงกว่า เมื่อเทียบกับชาย[12]

ทั้งหญิงและหญิงวัยรุ่นรายงานว่ามีแหล่งสนับสนุนทางสังคมมากกว่า และมีโอกาสหันหาเพื่อนเพศเดียวกันเพื่อขอความช่วยเหลือมากกว่าชายหรือเด็กชายโดยเป็นเรื่องที่ข้ามวัฒนธรรมต่าง ๆ หญิงและเด็กหญิงมักจะให้ความช่วยเหลือแก่กันบ่อยครั้งกว่าและดีกว่าชาย และมีโอกาสหาความช่วยเหลือและการสนับสนุนจากเพื่อนหญิงหรือญาติหญิงอื่น ๆ มากกว่า[13]

หญิงมักจะผูกพันกับหญิงอื่นในสถานการณ์ที่เครียดแต่ว่า ถ้าต้องเลือกระหว่างรอคนเดียวหรือผูกมิตรกับชายแปลกหน้าก่อนแก้ปัญหาในแล็บที่ทำให้เครียด หญิงจะเลือกรอคนเดียว[1]

เครือข่ายสังคมหญิงสามารถให้ความช่วยเหลือเรื่องการดูแลเด็ก การแลกเปลี่ยนทรัพยากร และการป้องกันจากสัตว์ร้าย อันตรายอื่น ๆ และจากคนกลุ่มอื่น ๆมีนักวิชาการสองพวก (ปี 2535 และ 2543) ทีอ้างว่า กลุ่มสังคมหญิงสามารถให้การป้องกันจากความก้าวร้าวรุกรานจากชาย[1][14]

มูลฐานทางประสาทร่วมต่อไร้ท่อ

งานศึกษาในมนุษย์และสัตว์ (ทบทวนในปี 2543[1]) แสดงว่า ออกซิโทซินเป็นกลไกทางประสาทร่วมต่อมไร้ท่อ (neuroendocrine) ของการตอบสนองต่อความเครียดแบบ "ผูกมิตร" ของหญิงการให้ออกซิโทซินกับหนูและสัตว์วงศ์หนูทุ่ง (Microtus ochrogaster) เพิ่มการมาหาสู่กันทางสังคมและการดูแลกันและกัน ลดความเครียด และลดความก้าวร้าวในมนุษย์ ออกซิโทซินโปรโหมตความรักระหว่างแม่ลูก ระหว่างคู่ และระหว่างเพื่อนการคุยติดต่อกับผู้อื่นหรือได้รับความช่วยเหลือในเวลาที่เครียด ทำให้ระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาทต่อมไร้ท่อตอบสนองต่อความเครียดลดลงแม้ว่า การช่วยเหลือทางสังคมจะช่วยลดการตอบสนองทางสรีรภาพเช่นนี้ทั้งในหญิงชาย แต่ว่า หญิงมีโอกาสสูงกว่าที่จะหาคนช่วยเมื่อเครียดนอกจากนั้นแล้ว การได้รับความช่วยเหลือจากหญิงอีกคนยังช่วยลดความเครียดได้ดีกว่า[15]

ประโยชน์ของความผูกพันภายใต้ความเครียด

ตามนักเขียนท่านหนึ่ง พฤติกรรมผูกพันและการดูแลช่วยลดการตอบสนองต่อความเครียดทางชีวภาพทั้งในพ่อแม่และลูก และดังนั้น ช่วยลดภัยต่อสุขภาพเกี่ยวกับความเครียด[16]ส่วนการผูกมิตร อาจมีประโยชน์มากทั้งทางใจและทางสุขภาพในเวลาเครียดการแยกตัวออกทางสังคมสัมพันธ์กับความเสี่ยงตายที่สูงขึ้นอย่างสำคัญ เทียบกับการสนับสนุนทางสังคมที่สัมพันธ์กับการมีสุขภาพดี รวมทั้งความเสี่ยงป่วยและความตายที่ลดลง[17]

หญิงมีการคาดหมายคงชีพนับแต่เกิดมากกว่าชายในประเทศโดยมากที่สามารถเข้าถึงหมอพยาบาลได้เท่าเทียมกัน[18]ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาความแตกต่างระหว่างหญิงชายเกือบถึง 6 ปีสมมติฐานหนึ่งก็คือว่า การตอบสนองต่อความเครียดของชาย (รวมทั้งความก้าวร้าว การถอนตัวจากสังคม และการใช้สารเสพติด) ทำให้เสี่ยงต่อผลทางสุขภาพที่ไม่พึงประสงค์[19]และโดยเปรียบเทียบกัน การตอบสนองต่อความเครียดของหญิง ซึ่งรวมการหันหาการสนับสนุนช่วยเหลือทางสังคม อาจช่วยป้องกันสุขภาพ

การแข่งขันเพื่อทรัพยากร

การอยู่เป็นกลุ่มและการผูกพันกับผู้ที่ไม่ใช่เป็นญาติกันและเป็นเพศเดียวกัน (ที่ไม่มีเป้าหมายความสนใจทางพันธุกรรมที่เหมือนกัน) ก็ก่อปัญหาการแข่งขันเพื่อให้ได้ทรัพยากรที่จำกัด เช่น สถานะทางสังคม อาหาร และคู่ ด้วยความเครียดทางความสัมพันธ์เป็นปัญหาที่สามัญและก่อความเครียดมากที่สุดสำหรับหญิง[20]

แม้ว่า การตอบสนองต่อความเครียดโดยการผูกมิตรอาจจะทำงานเป็นพิเศษในหญิงภายใต้สถานการณ์ที่ขาดอาหาร[1]แต่การขาดทรัพยากรก็ยังสร้างการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นเพื่อได้ทรัพยากรเหล่านั้นในสถานการณ์ที่มีหญิงมากกว่าชาย ในที่ที่ชายกลายเป็นทรัพยากรที่จำกัดกว่า การแข่งขันระหว่างหญิงจะหนักขึ้น บางครั้งจนถึงความรุนแรง[21]

แม้ว่าอัตราอาชญากรรมของชายจะมากกว่าหญิง การถูกจับเพราะทำร้ายร่างกายในหญิงมีการกระจายตัวตามอายุเหมือนกับชาย โดยถึงจุดยอดสุดในหญิงปลายวัยรุ่นจนถึงประมาณอายุ 25 ปีซึ่งเป็นช่วงอายุที่หญิงมีศักยภาพสูงสุดในการสืบพันธุ์ และจะประสบกับการแข่งขันเพื่อคู่มากที่สุด

ดังนั้น ประโยชน์ของความผูกพันจะต้องมีค่ามากกว่าราคาเพื่อที่พฤติกรรมเยี่ยงนี้จะเกิดวิวัฒนาการได้

ความแข่งขันและความก้าวร้าว

อัตราความก้าวร้าวระหว่างมนุษย์ชายและหญิงอาจจะไม่ต่างกัน แต่ว่า รูปแบบความก้าวร้าวระหว่างเพศก็ต่างกันโดยทั่วไป แม้ว่าหญิงจะแสดงความก้าวร้าวทางกายน้อยกว่า แต่ก็มักจะแสดงโดยทางอ้อมเท่ากันหรือมากกว่า เช่น การกีดกันจากสังคม การนินทา การปล่อยข่าวลือ และการว่าร้าย[22]เมื่อจัดให้มีแรงจูงใจในเรื่องคู่หรือการแข่งขันทางสถานะในการทดลองภายในสถานการณ์ที่สร้างความก้าวร้าว ชายมักจะเลือกแสดงความก้าวร้าวโดยตรงกับชายอีกคนหนึ่ง เทียบกับหญิงที่แสดงโดยอ้อมกับหญิงอีกคนหนึ่ง[23]

แต่ว่า การจัดให้แข่งขันเพื่อทรัพยากรจะเพิ่มความก้าวร้าวโดยตรงทั้งในหญิงชายและเข้ากับผลที่พบนี้ อัตราความรุนแรงและอาชญากรรมจะสูงกว่าทั้งในหญิงชายเมื่อทรัพยากรขาดแคลน[24]

โดยเปรียบเทียบกัน การแข่งขันเพื่อทรัพยากรจะไม่เพิ่มความก้าวร้าวโดยตรงทั้งในหญิงชาย ถ้าให้จินตนาการว่าตนแต่งงานและมีลูกเล็กคนหนึ่งเพราะว่า การได้รับความบาดเจ็บทางกายต่อพ่อหรือแม่จะเป็นราคาสำหรับครอบครัว

ความแปรปรวน (variance) ที่ต่ำกว่าในความสำเร็จของการสืบพันธุ์ และราคาที่สูงกว่าเมื่อใช้ความก้าวร้าวทางกาย อาจอธิบายอัตราความก้าวร้าวทางกายในระหว่างหญิงเทียบกับชาย[24]คือ หญิงโดยทั่วไปมีโอกาสมีลูกในชีวิตมากกว่าชายดังนั้น การต่อสู้แล้วเสี่ยงบาดเจ็บหรือตายจะเป็นราคาความเหมาะสมที่สูงสำหรับหญิงนอกจากนั้นแล้ว การรอดชีวิตของเด็กเล็ก ๆ ยังพึ่งแม่มากกว่าพ่อ ซึ่งเน้นให้เห็นความสำคัญของความปลอดภัย การรอดชีวิต และการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงของแม่[24]ทารกโดยหลักจะติดแม่ และการตายของแม่เพิ่มโอกาสความตายในวัยเด็กในสังคมนักล่า-เก็บของป่า 5 เท่าตัว เทียบกับ 3 เท่าตัวถ้าพ่อตาย[24]ดังนั้น หญิงจึงตอบสนองต่อภัยโดยดูแลและผูกมิตร และความก้าวร้าวของหญิงบ่อยครั้งเป็นแบบอ้อมหรือแบบแอบแฝงโดยธรรมชาติก็เพื่อเลี่ยงการแก้เผ็ดหรือการบาดเจ็บทางกาย

การสู้กันด้วยปาก

หญิงผูกมิตรกับคนอื่นไม่ใช่เพื่อความปลอดภัยอย่างเดียว แต่เพื่อสร้างพันธมิตรเพื่อแข่งขันกับสมาชิกของกลุ่มอื่นเพื่อทรัพยากร เช่น อาหาร คู่ และทรัพยากรทางสังคมและวัฒนธรรม (เช่น สถานะ ตำแหน่งทางสังคม สิทธิและหน้าที่รับผิดชอบ)การสู้กันด้วยปากเป็นกลยุทธ์การแข่งขันในรูปแบบของความก้าวร้าวทางวาจาโดยอ้อมต่อคู่แข่ง[25]การนินทา (gossip) เป็นกลยุทธ์หนึ่ง ซึ่งกระจายข่าวที่ทำชื่อเสียงของคู่แข่งให้เสียหายมีทฤษฎีหลายอย่างเกี่ยวกับการนินทา รวมทั้งเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์กันทางสังคม และเป็นการรวมกลุ่ม

แต่ว่า เข้ากับทฤษฎีทางสงครามข้อมูล (informational warfare) เนื้อความของสิ่งที่นินทาจะต้องเข้าประเด็นกับสถานการณ์ยกตัวอย่างเช่น ถ้ากำลังแข่งขันเพื่อตำแหน่งในที่ทำงาน คนมักจะกระจายข่าวไม่ดีเกี่ยวกับงานของคู่แข่งให้เพื่อนร่วมงาน[25]

การนินทาว่าร้ายยังเพิ่มขึ้นตามความขาดแคลนทางทรัพยากรหรือตามค่าของทรัพยากรด้วยนอกจากนั้นแล้ว คนมักจะกระจายข่าวร้ายเกี่ยวกับคู่แข่งแต่มักจะกระจ่ายข่าวดีเกี่ยวกับสมาชิกครอบครัวและเพื่อนและดังที่ได้กล่าวแล้ว การผูกมิตรจะช่วยป้องกันหญิงจากอันตราย รวมทั้งความมุ่งร้ายจากผู้อื่น ๆซึ่งไม่จำกัดเพียงแค่การทำร้ายทางกายแต่รวมการเสียชื่อเสียงทางสังคมด้วยดังนั้น หญิงผูกมิตรและสร้างพันธมิตรส่วนหนึ่งก็เพื่อแข่งขันเพื่อได้ทรัพยากรที่จำกัด และส่วนหนึ่งก็เพื่อป้องกันตัวเองจากอันตรายต่อความสัมพันธ์หรือชื่อเสียง

การมีเพื่อนหรือพันธมิตรช่วยขัดขวางการนินทาว่าร้าย เพราะพันธมิตรมีสมรรถภาพที่จะเอาคืนสูงกว่าสมรรถภาพของบุคคลคนเดียวงานวิจัยปี 2552 พบว่า การอยู่ด้วยของเพื่อนคู่แข่งลดความโน้มเอียงที่จะนินทาคู่แข่ง[25]และผลนี้จะแรงกว่าถ้าเพื่อนมาจากสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกัน (เช่น ในที่ทำงานเดียวกัน) เทียบกับเพื่อนที่มาจากกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องกันเพื่อนช่วยเพิ่มความรู้สึกว่าหญิงนั้นมีสมรรถภาพในการทำลายชื่อเสียงของคู่แข่งและในการป้องกันการก้าวร้าวโดยอ้อมอื่น ๆ

แหล่งที่มา

WikiPedia: การดูแลและหาเพื่อน http://www.naturalhistorymag.com http://psychologytoday.com/articles/pto-20000901-0... //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10941275 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11129359 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/11301523 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/3901065 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/3905939 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/8713972 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/9167498 http://apps.who.int/gho/data/node.main.688?lang=en