เมนูนำทาง
การตั้งครรภ์ สรีรวิทยาเหตุการณ์ที่ใช้กำหนดการเริ่มตั้งครรภ์ที่ใช้มากที่สุดคือวันแรกของระยะมีประจำเดือนปกติครั้งสุดท้ายของหญิงนั้น และอายุทารกในครรภ์ที่เรียก อายุครรภ์ ทางเลือกนี้เป็นผลจากไม่มีวิธีที่สะดวกในการรับรู้เวลาที่ไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัวในผนังมดลูก ในกรณีการปฏิสนธินอกกาย อายุครรภ์คำนวณได้จากวันที่ดึงเซลล์ไข่ออกมา + 14 วัน[12]
ร่างกายหญิงยังผ่านการเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมการปฏิสนธิที่กำลังเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มระยะมีประจำเดือนก่อนแล้ว รวมถึงการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนกระตุ้นถุงน้อย (follicle stimulating hormone) ซึ่งกระตุ้นการสร้างถุงน้อย และการสร้างเซลล์ไข่ตามลำดับ เพื่อให้ได้เซลล์ไข่ที่เจริญเต็มที่ หรือคือเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง การปฏิสนธิคือเหตุการณ์ที่เซลล์ไข่รวมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย คือ ตัวอสุจิ หลังจุดปฏิสนธิ ผลิตภัณฑ์ของเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงและชายที่รวมกันเรียก ไซโกตหรือไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว การรวมเซลล์สืบพันธุ์เพศชายและหญิงปกติเกิดขึ้นหลังการร่วมเพศ ซึ่งเป็นผลให้เกิดการตั้งครรภ์เกิดเอง แต่ยังเกิดได้จากเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ เช่น การใส่เชื้ออสุจิเทียมและการปฏิสนธินอกกาย ซึ่งอาจทำโดยเป็นทางเลือกสมัครใจหรือเนื่องจากเป็นหมัน
บ้างใช้เหตุการณ์ปฏิสนธิเป็นเครื่องหมายเริ่มต้นการตั้งครรภ์ ซึ่งอายุที่ได้เรียก อายุการปฏิสนธิ (fertilization age) และเป็นทางเลือกของอายุครรภ์ ปกติการปฏิสนธิเกิดราวสองสัปดาห์ก่อนระยะมีประจำเดือนที่คาดหมายครั้งถัดไปของหญิงนั้น หรือหากไม่ทราบวันในกรณีปัจเจก ที่ใช้บ่อยคือบวก 14 วันเข้ากับอายุการปฏิสนธิเพื่อหาอายุครรภ์ และกลับกัน
เมื่ออสุจิและเซลล์ไข่ถูกเข้ามามาในรังไข่ ข้างใดข้างหนึ่งของผู้หญิงแล้ว เมื่อรวมกันแล้วในท่อรังไข่ ไข่ที่เรารู้จักกันจะอยู่ในรูปของ zygote จะเดินทางเคลื่อนตัวไปยังมดลูก เป็นการเดินทางที่ใช้เวลานานกว่าหนึ่งสัปดาห์กว่าจะสมบูรณ์ เซลล์จะเริ่มแบ่งตัวภายใน 24 ถึง 36 ชั่วโมงหลังจากที่อสุจิและไข่มารวมกัน. เซลล์แบ่งตัวอย่างต่อเนื่องในอัตราที่รวดเร็วและเซลล์ที่พัฒนาที่เรารู้กันในรูปตัวอ่อน(blastocyst). ตัวอ่อนนี้จะมาถึงมดลูกและฝังตัวยึดติดกับผนังมดลูก ขั้นตอนนี้เราเรียกว่า การฝังตัว(implantation)
การพัฒนาของเซลล์ที่จะกลายมาเป็นทารกเรียกว่า embryogenesis ในช่วงแรกจะอยู่ใน10 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ในช่วงเวลานี้, เซลล์จะเริ่มแยกระบบต่างๆ ของร่างกาย มีการสร้างพื้นฐานของอวัยวะ, ร่างกายและระบบประสาท. ในช่วงท้ายของตัวอ่อนนั้นจะเริ่มมีมือ,ตา,ปากและหูเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ในช่วงเวลานี้ มีการพัฒนาโครงสร้างที่สำคัญที่จะใช้ดูแลตัวเอ็มบริโอ, รวมทั้ง รก(placenta)และ สายสะดือ(umbilical cord) รกนั้นจะเชื่อมกับผนังมดลูกเพื่อให้ตัวเอ็มบริโอได้ดูดซึมอาหาร รวมถึงการกำจัดของเสีย และแลกเปลี่ยนก๊าซผ่านทางเลือดของแม่ สายสะดือ คือสายเชื่อมต่อระหว่างรกกับตัวเอ็มบริโอหรือทารกในครรภ์
หลังจากอายุครรรภ์ 10 สัปดาห์, เอ็มบริโอได้กลายเป็นทารกแทนแล้วนั้น นี่คือจุดเริ่มต้นทารกในครรภ์, ความเสี่ยงในการแท้งหรือการคลอดก่อนกำหนดจะลดลงอย่างรวดเร็ว,[13] เมื่อเติบโตจากเอ็มบริโอเป็นทารกจะมีขนาดความยาวประมาณ 30 มิลลิเมตร(1.2 นิ้ว) , เรามองเห็นหัวใจทารกจากการอัลตราซาวนด์ ดูความเคลื่อนไหว และพัฒนาการต่างๆในระหว่างการตั้งครรภ์ของทารก, รวมไปถึงระบบของร่างกายและโครงสร้างในช่วงต้นที่ตัวอ่อนพัฒนาเป็นทารก. อวัยวะเพศจะเริ่มปรากฏขึ้นในเดือนที่ 3 ของของการตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์ยังคงเติบโตทั้งน้ำหนักและขนาดตัว, แม้ว่าการเติบโตทางกายนั้นหลักๆจะอยู่ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์
การทำงานของสมอง มีการตรวจพบได้ในระหว่างช่วงสัปดาห์ที่ 5 และ สัปดาห์ที่ 6 ของการตั้งครรภ์, แม้ว่านี่จะเป็นการพิจารณาแบบดั่งเดิมเกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาทเป็นจุดกำเนิดของระบบความคิด เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนามากต่อไปของการตั้งครรภ์ ระบบประสาทเริ่มต้นที่สัปดาห์ที่ 17 , และไปสัปดาห์ที่ 28 ระบบประสาทจะเริ่มพัฒนาทวีคูณไปจนถึง 3-4 เดือนหลังจากทารกเกิด[14]
ในระหว่างตั้งครรภ์ผู้หญิงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยา(physiological) มากมาย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ รวมไปถึงหัวใจและหลอดเลือด(cardiovascular) , โลหิตวิทยา(hematologic), ระบบการเผาผลาญ(metabolic), ไต(renal) และระบบทางเดินหายใจ(respiratory) การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้สำคัญอย่างมากในกรณีที่มีภาวะโรคแทรกซ้อน ร่างกายจะต้องเปลี่ยนทั้งสรีระวิทยาและร่างกายจะต้องรักษาความสมดุลกลไกของร่างกายไว้ให้คงที่เพื่อเตรียมไว้ให้ทารกระหว่างตั้งครรภ์ การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด, การหายใจและระดับการเต้นของหัวใจ ระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดการตั้งครรภ์ มีการระงับการทำงานของแกนการประสานงานระบบประสาท(hypothalamic axis) และการมาของรอบประจำเดือน
ทารกเมื่อยู่ในครรภ์ของหญิงตั้งครรภ์แล้วจะดูเหมือนเป็นการปลูกถ่ายสิ่งมีชีวิต(allograft) ได้เสร็จสมบูรณ์แต่ก็ดูเหมือนเป็นสิ่งผิดปกติของหญิงตั้งครรภ์,เพราะมีความแตกต่างทางพันธุ์กรรมจากผู้หญิง.[19] เหตุผลหลักๆ ก็คือ เมื่อการตั้งครรภ์สำเร็จแล้วระบบภูมิคุ้มกันของแม่จะมีความทนทานมากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ระบบภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นมากในการตั้งครรภ์นี้อาจจะทำให้ร่างกายอ่อนแอและเกิดความรุนแรงของโรคติดเชื่อ(infectious diseases)บางชนิด
การตั้งครรภ์จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง หรือ 3 ไตรมาส, ในแต่ละไตรมาสเวลาประมาณ 3 เดือน .[20][21] สูตินรีแพทย์กำหนดแต่ละไตรมาสเป็นเวลา 14 สัปดาห์,รวมทั้งหมด 42 สัปดาห์,แม้ว่าเฉลี่ยเวลาตั้งครรภ์จริงจะอยู่ที่ 40 สัปดาห์ก็ตาม[22] ไม่มีกฏที่เคร่งครัดอะไรกับอาการที่แตกต่างออกไปจากนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการอธิบายในโอกาสต่อไป
Minute ventilation จะเพิ่มขึ้น 40% ในไตรมาสแรก.[23] ครรภ์จะโตขึ้นเท่าลูกมะนาวในช่วง 8 สัปดาห์ อาการและลำบากของการตั้งครรภ์หลายๆ อย่างจะปรากฏขึ้นในไตรมาสแรก(symptoms and discomforts of pregnancy) ซึ่งจะอธิบายในส่วนต่อมา[24]
สัปดาห์ที่ 13 ถึง 28 ของการตั้งครรภ์จะเรียกว่าไตรมาส 2 ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเริ่มชีวิตชีวาในช่วงนี้, อาการวิงเวียนในตอนเช้าและอาการเจ็บป่วยจะค่อยๆ จางหายไป เมื่อมีทารกแล้วมดลูกสามารถโตได้ถึง 20 เท่าจากขนาดปกติในระหว่างตั้งครรภ์
แม้ว่าทารกเริ่มจะมีการเคลื่อนไหวและใช้เวลากับการสร้างอวัยวะต่างๆของร่างกายในช่วงไตรมาสแรก ในไตรมาสที่สองทารกจะเริ่มมีเคลื่อนไหวที่เรียกได้ว่า "รวดเร็วขึ้น", จนรู้สึกได้ ซึ่งมักจะเริ่มรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในเดือนที่สี่, และรู้สึกมากขึ้นเป็นพิเศษในช่วงสัปดาห์ที่ 20 ถึง 21หรือหญิงที่เคยตั้งครรภ์มาก่อนจะรู้สึกได้ในสัปดาห์ที่ 19 แต่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่หญิงตั้งครรภ์บางคนจะไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกจนกระทั่งเวลาผ่านมา ในช่วงไตรมาสที่ 2, หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะเริ่มสวมชุดคลุมท้อง
น้ำหนักที่จะขึ้นในไตรมาสสุดท้ายนี้ ซึ่งเป็นน้ำหนักที่ขึ้นมากที่สุดในตลอดการตั้งครรภ์. ท้องของหญิงตั้งครรภ์เริ่มลดเนื่องมาจากทารกเริ่มเคลื่อนต่ำลงตำแหน่งที่พร้อมสำหรับการเกิด ในช่วงไตรมาสที่สอง, ช่องท้องของหญิงตั้งครรภ์จะอยู่ในสภาพที่ตั้งออกมามาก แต่ในช่วงไตรมาสที่สามจะเคลื่อนตัวลงมาค่อนข้างต่ำ และท้องผู้หญิงสามารถสามารถยกขึ้นและลงได้ ทารกในครรภ์สามารถเคลื่อนไหวย้ายไปมาได้จนแม่รู้สึกได้ การเคลื่อนไหวของทารกที่แข็งแรงรวดเร็วจนทำให้เกิดความเจ็บปวดกับหญิงตั้งครรภ์ได้ สะดือ(navel)ของหญิงตั้งครรภ์อาจจะนูนขึ้นได้เนื่องจากการขยายช่องท้อง(abdomen)ของเธอ
ส่วนที่กว้างที่สุดของศีรษะ(Head engagement) ของทารกในครรภ์นำศีรษะลง(cephalic presentation), การหายใจจะช่วยบรรเทาความดันของช่องท้องส่วนบนได้ นอกจากนี้ยังบรรเทาความรุนแรงของกระเพาะปัสสวะที่มีขนาดเล็กลง และเพิ่มความดันในอุ้งเชิงกรานและทวารหนัก
ในช่วงไตรมาสที่สาม กิจกรรมและตำแหน่งการนอนของมารดาอาจมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์อันเนื่องมาจากระบบการหมุนเวียนของเลือดมีพื้นที่จำกัด ตัวอย่างเช่น มดลูกในครรภ์ที่มีการขยายตัวขึ้นมีผลการไหลเวียนของโลหิตโดยมีการบีบการทำงานของหลอดเลือดดำ(vena cava)ลดต่ำลง, โดยการนอนตะแคงตำแหน่งด้านซ้ายปรากฏว่าสามารถให้ออกซิเจนสู่ทารกได้ดีกว่า.[25]
ระยะห่างของช่วงเวลาที่สำคัญของการตั้งครรภ์ขึ้นอยู่กับวันเริ่มต้น
การวัดจะอ้างจากกลุ่ม(reference group)ของหญิงตั้งครรภ์ที่มีรอบของประจำเดือน(menstrual cycle) 28 วัน และเป็นวันเริ่มทางธรรมชาติในการคลอดบุตร ความหมายคือ ช่วงระยะเวลาของการตั้งครรภ์จะอยู่ช่วงประมาณ 283.4 วันของอายุครรภ์(gestational age) โดยเริ่มการนับคือวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย(last menstrual period) ที่จะต้องจดจำได้โดยแม่, และ 280.6 วันโดยการประมาณการอายุครรภ์จากการวัดเวลาอัลตราซาวนด์การคลอดบุตร(obstetric ultrasound)ของเส้นผ่าศูนย์กลางความยาวของกะโหลกศีรษะของทารกในครรภ์ (fetal biparietal diameter ย่อว่า BPD) ในไตรมาสที่สอง[26] ส่วนขั้นตอนวิธีการอื่นนั้นต้องคำนึงถึงตัวแปรที่มีความหลากหลายอื่นๆ เช่น เป็นลูกคนแรกหรือเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ (เช่น หญิงตั้งครรภ์ที่เป็น ผู้ที่คลอดบุตร/ตั้งครรภ์ครั้งแรก(primipara) หรือผู้ที่คลอดบุตรมาแล้วหลายครั้ง/ตั้งครรภ์มาแล้วหลายครั้ง(multipara) เชื้อชาติของ, อายุ, ระยะของรอบเดือนและความสม่ำเสมอของมารดา) แต่ข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่ค่อยได้ใช้ในสำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อให้มีสิ่งอ้างอิงถึงมาตรฐาน ระยะเวลาของการตั้งครรภ์โดยปกติทั่วไปคือ 280 วัน (หรือ 40 สัปดาห์) ของอายุครรภ์
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(standard deviation) คือ 8-9 วันเป็นวันที่ครบรอบการคำนวณเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุด ความหมายก็คือ น้อยกว่าร้อยละ 5 ของการเกิด เกิดในวันที่ครบ 40 สัปดาห์ของอายุครรภ์ มีร้อยละ 50 เกิดภายในสัปดาห์ของช่วงระยะเวลานี้ และประมาณร้อยละ 80 ภายใน 2 สัปดาห์[26] เป็นการประมาณของวันที่ครบกำหนดคลอด,แอปพลิเคชันที่อยู่บนมือถือ(mobile apps) มีความสอดคล้องกับการประมาณการแบบอื่นๆ และมีความถูกต้องกับปีอธิกสุรทิน(leap year คือวันที่เดือนกุมภาพันธ์มี 29 วัน) ในขณะที่วงล้อตั้งครรภ์ที่ทำจากกระดาษสามารถแตกต่างจากกันโดย 7 วันและมักจะไม่ถูกต้องนักสำหรับปีอธิกสุรทิน [27]
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจะใช้กฏ Naegele's rule กันมาก(กฏนี้มักจะใช้กับผู้ที่มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอและไม่ได้คุมกำเนิด) ซึ่งได้รับการพัฒนาในช่วงศตวรรษที่ 19. การคำนวณวันครบกำหนดคาดมาจากวันแรกของรอบระยะเวลาที่ผ่านมาปกติประจำเดือน (LMP ย่อมากจาก Last menstrual period[ช่วงที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้าย] หรือ LNMP ย่อมาจาก Last normal menstrual period[ช่วงที่มีประจำเดือนครั้งสุดท้ายปกติ]) โดยไม่คำนึงถึงปัจจัยที่รู้กันโดยอาจจะคลาดเคลื่อน เช่น ความสั้นยาวของรอบของประจำเดือน การตั้งครรภ์ปกติโดยมากจะอยู่ที่ 40 สัปดาห์ ตามวิธีการ LNMP-based method เช่น สมมติว่าผู้หญิงมีความยาวรอบประจำเดือนตามที่คาดการณ์ไว้ 28 วันและการรตั้งครรภ์จะอยู่ในวันที่ 14 ของรอบนั้น
การวัดจากการนับวันที่ไข่ตกนั้น(ovulation) การเกิดโดยเฉลี่ยจะประเมินให้เป็น 268 วัน (38 สัปดาห์กับอีก 2 วัน), มีค่าสัมประสิทธิ์(coefficient of variation)ของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 3.7%.[28]
ความแม่นยำของวันที่ในการตั้งครรภ์นั้นมีความสำคัญมาก, เพราะมันจะถูกนำมาใช้ในการคำนวณผลของการทดสอบการคลอดต่างๆ (prenatal tests), (ตัวอย่างคือผล triple test ซึ่งเป็นการตรวจเลือดสตรีตั้งครรภ์เพื่อตรวจกรองภาวะทารกผิดปกติ) ซึ่งมีผล(induce)กับการที่ต้องตัดสินใจในกระบวนการคลอด ถ้าทารกเลยกำหนดเวลาตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ถ้าเปรียบเทียบประจำเดือนครั้งสุดท้ายและการอัลตร้าซาวด์ผลของการครบกำหนดช้าเร็วของอายุครรภ์ต่างกัน นั่นอาจหมายความว่าการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ช้าผิดปกติจึงต้องมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
ขั้นตอนข้อกำหนดทางกฎหมายของการตั้งครรภ์กำหนดได้ว่าหากมีการเริ่มต้นตั้งแต่ทารกเจริญเติบโตในครรภ์(fetal viability) ซึ่งมีความแตกต่างกันทั่วโลก บางครั้งก็รวมไปถึงน้ำหนักและทั้งอายุครรภ์.[29] นอร์เวย์เริ่มที่ครรภ์ 16 สัปดาห์,อเมริกาและออสเตรเลียเริ่มที่ 20 สัปดาห์,อังกฤษเริ่มที่ครรภ์ 24 สัปดาห์และอิตาลีกับสเปนเริ่มที่ 26 สัปดาห์.[29][30][31]
การตั้งครรภ์ที่ถือว่า "ครบกำหนด" หมายถึงอายุครรภ์ 37 สัปดาห์จึงจะถือว่าสมบูรณ์ (ซึ่งจะถือว่าอยู่ในช่วงจากสัปดาห์ที่ 37 ไปสัปดาห์ที่ 38 ของการตั้งครรภ์), แต่น้อยกว่า 42 สัปดาห์ของอายุครรภ์ (การเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่ 42 ไปยังสัปดาห์ที่ 43 ของการตั้งครรภ์ หรือระหว่าง 259 ถึง 294 วันนับจากประจำเดือนครั้งสุดท้าย) วิทยาลัยสูตินารีแพทย์ในสหรัฐอเมริกา(American College of Obstetricians and Gynecologists)ได้แนะนำช่วงระยะของการตั้งครรภ์แบ่งออกเป็น[32]
เหตุการณ์ที่จะพิจารณาให้คลอดก่อนกำหนด(preterm) ที่อายุครรภ์จะครบ 37 สัปดาห์(359 วัน) และเหตุการณ์ที่จะพิจารณาให้คลอดเมื่ออายุครรภ์เกินกำหนด(postterm)ก็คือ เมื่ออายุครรภ์เกินจาก 42 สัปดาห์(294 วัน)[32][33] เมื่อการมีตั้งครรภ์เกินกว่า 42 สัปดาห์ (294 วัน) มีความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์และทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น.[34][35] ดังนั้นการตั้งครรภ์ที่ไม่ซับซ้อน, สูตินารีแพทย์มักจะกำหนดเวลาให้คลอด(induce labour) ในช่วงสัปดาห์ที่ 41 ถึง 42[36][37]
การคลอดก่อน 39 สัปดาห์โดยการผ่าตัดนั้น(Caesarean section), แม้จะพิจารณาแล้วถือว่า "ครบกำหนด" ผลของมันก็คือการเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและการเสียชีวิตของทารกก่อนที่ทารกจะเจริญเติบโตเต็มที่ เมื่อไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์จริงๆ.[38] เพราะว่านี่จะเป็นปัจจัยที่รวมไปถึงจะทำให้ปอดของทารกทำงานไม่เต็มที่, มีการติดเชื้อเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันทารกยังไม่แข็งแรง, ปัญหาในการให้อาหารเนื่องจากสมองทารกพัฒนาการช้า, และโรคดีซ่าน(jaundice) ที่ทำให้เด็กตัวเหลือง ตาเหลืองเนื่องจากตับยังไม่สามารถพัฒนาหรือทำงานได้อย่างเต็มที่ บางโรงพยาบาลในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยหนัก(neonatal intensive care unit)ที่เป็นทารกแรกเกิดอย่างมีนัยสำคัญ หญิงตั้งครรภ์เมื่อถึงเวลาที่ครบกำหนดคลอดแล้วเพื่อความสะดวกและที่จะลดขั้นตอนเหตุผลต่างๆที่ไม่ได้มาจากแพทย์.[39] ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดมาจากการผ่าคลอดซึ่งจะพบได้บ่อยในอัตราการเกิด
เมื่อไม่นานมานี้วงการการแพทย์มีงานวิจัยที่ให้ความสำคัญกับคำศัพท์เฉพาะในการคลอดก่อนกำหนด(preterm) และ การคลอดอายุครรภ์เกิดกำหนด(postterm) ทารกยังโตไม่เต็มที่(premature) และ ทารกคลอดเกินกำหนด(postmature). การคลอดก่อนกำหนดและการคลอดเมื่ออายุครรภ์เกิดกำหนดมีความชัดเจนดังที่กล่าวไว้ด้านบน, ในภาวะที่ทารกยังโตไม่เต็มที่และทารกที่คลอดก่อนกำหนดแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ความสัมพันธ์อย่างมากกับขนาดทารกและขั้นตอนการเจริญเติบโตในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์[40][41]
การคลอดบุตรคือ กระบวนการที่ทารกกำลังจะถือกำเนิดขึ้น
ผู้หญิงเมื่อพิจารณาว่าจะคลอดเมื่อเธอรู้สึกได้ว่ามดลูกได้บีบตัว ซึ่งอาการนี้จะมาพร้อมกับปากมดลูกมีการเปลี่ยนแปลง(ปากมดลูกเปิด) – แรกเริ่มปากมดลูกบางลงและเปิดขยายออก ขณะที่คลอดบุตรถือเป็นประสบการณ์อย่างที่รู้กันดีว่าเป็นความเจ็บปวด แต่หญิงตั้งครรภ์บางคนก็มีรายงานว่าไม่เจ็บปวด ในขณะที่บางคนก็พยายามจะช่วยหาทาเร่งเพื่อจะได้คลอดเร็วขึ้นและลดความรู้สึกตื่นเต้น การเกิดส่วนใหญ่จะเกิดจากการคลอดธรรมชาติที่ทารกออกมาจากปากมดลูก แต่บางครั้งในกรณีที่เกิดภาวะแทรกซ้อนและหญิงตั้งครรภ์เกิดความทรมานจนทำให้เกิดการผ่าตัดคลอด(cesarean section)
ในช่วงเวลาทันทีหลังจากคลอด, ทั้งแม่ละลูกฮอร์โมนมีความเกี่ยวพันกัน แม่หลั่งสารฮอร์โมน(oxytocin เป็นฮอร์โมนออกฤทธิ์ที่มดลูกซึ่งช่วยให้มดลูกหดตัวและกระตุ้นการเกิดน้ำนม), ฮอร์โมนนี้ก็ยังจะถูกสร้างอยู่เรื่อยๆ เมื่ออยู่ในระหว่างให้นมบุตร(breastfeeding) จากผลการศึกษาว่าการสัมผัสกันทางผิวหนังระหว่างแม่และลูกน้อยแรกเกิดของเธอทันทีนั้นจะเกิดประโยชน์กับทั้งแม่และลูกน้อย การตรวจสอบจากองค์การอนามัยโลก(World Health Organization) การกอดหรือการสัมผัสจากมารดาหลังคลอดจะช่วยลดอาการที่ทารกแรกเกิดร้องไห้ได้, จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างแม่และทารกให้ดีขึ้น และช่วยแม่ให้นมลูกได้สำเร็จ พวกเค้าแนะนำเกี่ยวกับเด็กแรกเกิด(neonates) ว่าควรจะอนุญาตให้แม่อยู่กับลูกครั้งแรกสองชั่วโมงหลังจากคลอดเพื่อให้เกิดความผูกพัน ในช่วงเวลานี้ทั้งแม่และทารกน้อยมีแนวโน้มที่จะช่วยเพิ่มความพร้อมในช่วงเวลาต่อจากนี้ไปของทารก[42]
ช่วงเวลาหลังคลอดเกิดขึ้นทันทีหลังจากทารกคลอดออกมาจากครรภ์มารดาและขยายเวลาต่ออีกประมาณหกสัปดาห์ ช่วงเวลานี้ร่างกายของแม่จะเริ่มกลับไปเหมือนกับช่วงก่อนคลอดรวมไปถึงฮอร์โมนและการเปลี่ยนแปลงขนาดของมดลูกอีกด้วย
เมนูนำทาง
การตั้งครรภ์ สรีรวิทยาใกล้เคียง
การตั้งชื่อทวินาม การตั้งครรภ์ การตั้งชื่อพายุหมุนเขตร้อน การตั้งชื่อระบบไบเออร์ การตัดหลอดนำอสุจิ การตั้งชื่อดาวฤกษ์ การตัดมดลูก การตั้งครรภ์นอกมดลูก การตัดศีรษะ การตักบาตรแหล่งที่มา
WikiPedia: การตั้งครรภ์ http://www.aihw.gov.au/WorkArea/DownloadAsset.aspx... http://books.google.ca/books?id=-3ufSTqeb6cC&pg=PA... http://books.google.ca/books?id=4Sg5sXyiBvkC&pg=PR... http://books.google.ca/books?id=m7USFu5Z0lQC&pg=PA... http://www.preventioninstitute.sk.ca/home/Program_... http://www.3dpregnancy.com/pictures/pregnancy-week... http://www.3dpregnancy.com/pictures/pregnancy-week... http://www.3dpregnancy.com/pictures/pregnancy-week... http://www.3dpregnancy.com/pictures/pregnancy-week... http://www.3dpregnancy.com/rotatable/10-weeks-preg...