การสุ่ม ของ การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม

ข้อดีของการสุ่มที่ถูกต้องใน RCT รวมทั้ง[33]

  • "กำจัดความเอนเอียงในการจัด (คนไข้)ให้ได้รับการรักษาพยาบาล (treatment assignment)" โดยเฉพาะก็คือกำจัดความเอนเอียงประเภทความเอนเอียงโดยการคัดเลือก (selection bias) และปัจจัยกวน (confounding)
  • "ช่วยอำพรางวิธีการรักษาพยาบาลจากผู้ทำการตรวจสอบ จากผู้ร่วมการทดลอง และจากผู้ประเมินผล"
  • "เปิดโอกาสให้ใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นที่จะแสดงค่าความเป็นไปได้ว่า ความแตกต่างของผลที่ได้ในระหว่างกลุ่มการรักษาเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ (chance)"

มีขั้นตอนสองขั้นในการจัดกลุ่มคนไข้โดยสุ่มขั้นแรกเป็นการเลือกวิธีการสุ่ม (randomization procedure) ที่สร้างลำดับการจัดกลุ่มที่พยากรณ์ไม่ได้นี่อาจจะเป็นการสุ่มแบบง่าย ๆ โดยจัดให้คนไข้อยู่ในกลุ่มต่าง ๆ โดยมีความน่าจะเป็นเท่า ๆ กัน หรืออาจจะเป็นแบบ "restricted" (จำกัด) หรืออาจะเป็นแบบ "adaptive" (ปรับได้)ขั้นที่สองซึ่งเป็นเรื่องของการปฏิบัติโดยตรงก็คือ การปิดบังการจัดสรร (allocation concealment) ซึ่งหมายถึงการป้องกันอย่างเข้มงวดเพื่อจะให้แน่ใจได้ว่า การจัดกลุ่มคนไข้จะไม่มีการเปิดเผยก่อนขั้นตอนที่จะจัดคนไข้ให้เข้ากลุ่มจริง ๆ (เช่นหลังจากที่คนไข้ได้ยินยอมตกลงเข้าร่วมการทดลองแล้ว)ยกตัวอย่างเช่น วิธีการจัดกลุ่มอย่างเป็นระบบที่ไม่ใช่เป็นการสุ่ม เช่นการสลับให้คนไข้หนึ่งอยู่ในกลุ่มหนึ่ง และคนไข้ต่อไปอยู่ในอีกกลุ่มหนึ่ง อาจทำให้เกิด "โอกาสเกิดความมัวหมองโดยหาประมาณไม่ได้" และเป็นการทำลายการปิดบังการจัดสรร[33]

การเลือกการสุ่ม

การสุ่มที่สมบูรณ์จะทำให้สำเร็จจุดมุ่งหมายดังต่อไปนี้คือ[34]

  • เพิ่มกำลังทางสถิติ (statistical power) ให้สูงสุด โดยเฉพาะเมื่อมีการวิเคราะห์หารูปแบบในกลุ่มย่อย (Subgroup analysis) คือ โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว การมีกลุ่มเท่า ๆ กันจะทำให้มีกำลังทางสถิติในระดับสูงสุด แต่ว่า ในการวิเคราะห์บางชนิด การมีกลุ่มไม่เท่ากันอาจจะมีอานุภาพยิ่งกว่า (เช่น การใช้ Dunnett’s procedure เพื่อเปรียบเทียบการใช้ยาหลอกเทียบกับการใช้ยาทดลองหลาย ๆ ขนาด[35]) และอาจจะจำเป็นเพื่อเหตุผลที่ไม่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ (เช่น คนไข้อาจจะสนใจที่จะเข้าร่วมการทดลองมากกว่า ถ้ามีโอกาสสูงกว่าที่จะได้รับการรักษาพยาบาลที่เป็นประเด็น หรือเช่น องค์กรที่มีหน้าที่ควบคุมทางกฎหมายอาจจะมีกฎบังคับให้มีคนไข้อย่างน้อยที่สุดในกลุ่มทดลองที่เป็นประเด็นการศึกษา)[36]
  • ลดระดับความเอนเอียงโดยการคัดเลือก (selection bias) ให้ต่ำที่สุด คือ ความเอนเอียงอาจจะเกิดขึ้นถ้าผู้ทำการทดลองเลือกคนไข้เข้ากลุ่มโดยมีความเอนเอียง โดยจะตั้งใจก็ดีหรือโดยเกิดขึ้นใต้จิตสำนึกก็ดี กระบวนการสุ่มที่ดีจะพยากรณ์ไม่ได้ ดังนั้น ผู้ทำการทดลองจะไม่สามารถเดาว่าคนไข้จะจัดเข้ากลุ่มไหนโดยอาศัยการจัดกลุ่มที่เกิดขึ้นครั้งสุดท้าย ความเสี่ยงต่อ selection bias จะมีระดับสูงสุดถ้าผู้ทำการทดลองรู้การจัดการรักษาพยาบาลครั้งสุดท้ายของคนไข้ (เช่นการทดลองที่ไม่ได้อำพราง) หรือสามารถเดาได้ (อาจจะเป็นเพราะยามีผลข้างเคียงที่ไม่เหมือนใคร)
  • ลดระดับ allocation bias ให้ต่ำที่สุด (หรือ confounding) คือ ความเอนเอียงนี้อาจเกิดขึ้นได้เมื่อ covariate (ตัวแปรปรวนร่วมเกี่ยว) ที่มีอิทธิพลต่อผล ไม่มีการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ดังนั้นผลของการรักษาพยาบาล จึงเกิดความสับสนกับผลของตัวแปรปรวนร่วมเกี่ยว (คือเกิด accidental bias[33][37]) ถ้าการสุ่มทำให้เกิดความไม่สมดุลของตัวแปรปรวนร่วมเกี่ยว ที่มีความสัมพันธ์กับผลที่ได้ในระหว่างกลุ่มการทดลอง ค่าประเมินของผลที่ได้อาจจะมีความเอนเอียงถ้าไม่ได้ปรับผลที่ได้จากตัวแปรปรวนร่วมเกี่ยว (ซึ่งอาจจะเป็นค่าที่ไม่ได้วัดและดังนั้นจึงปรับไม่ได้)

อย่างไรก็ดี ไม่มีวิธีการสุ่มอย่างใดอย่างหนึ่งที่สามารถให้ถึงจุดมุ่งหมายเหล่านี้ได้ในทุก ๆ สถานการณ์ ดังนั้น นักวิจัยจะต้องเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งสำหรับงานศึกษา อาศัยการเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของวิธีการสุ่ม

การสุ่มแบบง่าย ๆ

การสุ่มแบบง่าย ๆ (simple randomization) นี้เป็นวิธีที่ใช้โดยสามัญที่สุดและเข้าใจได้ง่ายที่สุด คล้ายกับ การโยนเหรียญที่สมดุลซ้ำ ๆ[33] โดยมีชื่ออื่นว่า การสุ่มสมบูรณ์ (complete randomization) หรือ การสุ่มไม่จำกัด (unrestricted randomization) เป็นการสุ่มที่ทนทานต่อทั้งความเอนเอียงโดยการคัดเลือก (selection bias) และทั้ง accidental biasแต่ว่า จุดอ่อนของวิธีนี้ก็คืออาจจะทำให้กลุ่มต่าง ๆ มีขนาดไม่เท่ากันใน RCT ที่มีขนาดตัวอย่างน้อยดังนั้น จึงมีการแนะนำให้ใช้สำหรับ RCT ที่มีผู้ร่วมการทดลองมากกว่า 200 คนเท่านั้น[38]

การสุ่มแบบจำกัด

เพื่อให้ขนาดกลุ่มต่าง ๆ เท่ากันใน RCT ที่มีตัวอย่างน้อย จึงมีการแนะนำการใช้การสุ่มแบบจำกัด (restricted randomization) วิธีใดวิธีหนึ่ง[38] การสุ่มแบบจำกัดประเภทหลัก ๆ ที่ใช้ใน RCT รวมทั้ง

  • Randomized block design หรือ blocked randomization (การสุ่มแบบบล็อก) ที่มีการกำหนด "block size" (ขนาดบล็อก) และ "allocation ratio" (อัตราส่วนการจัดกลุ่ม) โดยที่ผู้ร่วมการทดลองของแต่ละบล็อกจะมีการจัดกลุ่มโดยสุ่ม[33] ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีขนาดบล็อกเท่ากับ 6 และอัตราส่วนการจัดกลุ่มเป็น 2:1 ก็จะมีการจัดกลุ่มโดยสุ่มเป็นคน 4 คนในกลุ่มหนึ่ง และ 2 คนในอีกกลุ่มหนึ่ง การสุ่มประเภทนี้สามารถผสมกับ "stratified randomization" (การสุ่มแบบแบ่งชั้น) เช่นในการทดลองแบบหลายศูนย์ (multicenter trial) แต่ละศูนย์จะมีการสุ่มในกลุ่มของตนเอง "เพื่อจะให้มีความสมดุลของลักษณะผู้ร่วมการทดลองต่าง ๆ ในแต่ละกลุ่ม"[4] กรณีพิเศษของการสุ่มแบบบล็อกก็คือ (random allocation) ที่ตัวอย่างทั้งหมดจะรวมอยู่ในบล็อกเดียว[33] ข้อเสียสำคัญอย่างหนึ่งของการสุ่มโดยวิธีนี้ก็คือ แม้ว่าขนาดของบล็อกจะใหญ่และคนในบล็อกจะมีความต่าง ๆ กันโดยสุ่ม การใช้วิธีนี้ก็ยังอาจจะนำไปสู่ความเอนเอียงโดยการคัดเลือก (selection bias)[34] ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือ การวิเคราะห์ที่สมบูรณ์จะต้องมีการแบ่งส่วนวิเคราะห์โดยบล็อก[38]
  • Adaptive biased-coin randomization (การสุ่มแบบมีเหรียญเอนเอียงและปรับได้ โดยมี urn randomization เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด) โดยวิธีการสุ่มที่ไม่ค่อยสามัญเช่นนี้ ความน่าจะเป็นที่จะจัดเข้าในกลุ่มหนึ่งจะลดลงถ้ากลุ่มนั้นมีคนมากเกินไป และจะเพิ่มขึ้นถ้ากลุ่มนั้นมีคนน้อยเกินไป[33] วิธีการเช่นนี้เชื่อกันว่า เสี่ยงต่อ ความเอนเอียงโดยการคัดเลือก (selection bias) น้อยกว่าการสุ่มแบบบล็อก[38]

การสุ่มแบบปรับได้

มีวิธีการสุ่มแบบปรับได้ (adaptive randomization) สองอย่างที่ใช้ใน RCT แต่ใช้ไม่บ่อยเท่าการสุ่มแบบง่าย ๆ หรือการสุ่มแบบจำกัด คือ

  • Covariate-adaptive randomization (การสุ่มแบบปรับตามตัวแปรปรวนร่วมเกี่ยว) ซึ่งวิธีหนึ่งที่ใช้ก็คือ minimization คือความน่าจะเป็นในการจัดเข้ากลุ่มจะมีค่าต่าง ๆ กันเพื่อลดความไม่สมดุลของตัวแปรปรวนร่วมเกี่ยว (covariate) ให้น้อยที่สุด[38] เป็นวิธีที่มีทั้งผู้สนับสนุนและผู้ไม่เห็นด้วย[33] เพราะว่า การจัดกลุ่มของบุคคลแรกในกลุ่มเท่านั้นที่เป็นการสุ่มจริง ๆ ดังนั้น วิธีนี้อาจจะไม่สามารถกำจัดความเอนเอียงขององค์ประกอบ (หรือตัวแปรปรวนร่วมเกี่ยว) ที่ซ่อนเร้นต่าง ๆ[4]
  • Response-adaptive randomization (การสุ่มแบบปรับตามผลที่ได้) หรือรู้จักกันว่า outcome-adaptive randomization คือ ความน่าจะเป็นในการจัดเข้ากลุ่มหนึ่ง ๆ จะสูงขึ้น ถ้าคนไข้ก่อน ๆ ในกลุ่มมีการตอบสนองที่เป็นผลบวก[38] แม้ว่าจะมีการอ้างว่า วิธีนี้ถูกจริยธรรมดีกว่าการสุ่มแบบอื่น ๆ ถ้าความน่าจะเป็นของประสิทธิผล ของการรักษาพยาบาลหนึ่ง ๆ มีค่าเพิ่มขึ้นในช่วงการทดลอง แต่ว่า ถึงโดยปี ค.ศ. 1993 นักวิชาการด้านจริยธรรมก็ยังไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์วิธีนี้โดยละเอียด[39]

การปิดบังการจัดสรร

"Allocation concealment" (การปิดบังการจัดสรร) มีนิยามว่า "วิธีการที่ป้องกันรักษากระบวนการสุ่มเพื่อไม่ให้รู้การรักษาพยาบาลที่จะจัดให้ ก่อนที่คนไข้จะเข้าสู่กระบวนการศึกษา" เป็นเรื่องที่สำคัญใน RCT[40] คือโดยทางปฏิบัติแล้ว เพราะเหตุผลต่าง ๆ เป็นต้นว่าอาจจะมีความเห็นส่วนตัวที่เป็นไปทางใดทางหนึ่งเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่เป็นประเด็นการศึกษา นักวิจัยทางคลินิกใน RCT อาจจะไม่สามารถรักษาความเป็นกลาง มีเรื่องที่เปิดเผยแบบนิรนามว่า มีนักวิจัยส่องไฟดูซองจดหมายที่ปิดผนึกไว้ หรือว่าเข้าค้นห้องสำนักงานเป็นต้น เพื่อที่จะหาข้อมูลการจัดกลุ่ม เพื่อจะได้มีโอกาสกำหนดการจัดกลุ่มของคนไข้คนต่อไปของตน[41] การกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดความเอนเอียงโดยการคัดเลือก (selection bias) และปัจจัยกวน (confounders) ซึ่งจะมีน้อยที่สุดถ้ามีวิธีการปิดบังการจัดสรรที่ได้ผล เป็นการกระทำที่ในที่สุดจะบิดเบือนผลของงานศึกษา[33] วิธีการปิดบังการจัดสรรควรจะซ่อนการจัดกลุ่มจากทั้งคนไข้และทั้งนักวิจัย ไม่ให้สามารถรู้ได้จนกระทั่งถึงเวลาจัดคนไข้เข้ากลุ่มทดลองจริง ๆ เช่นหลังจากคนไข้ได้รับสมัคร และให้คำยินยอมเพื่อการรักษาที่ตนก็ยังไม่รู้คือยอมรับว่าตนอาจจะได้การรักษาของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็ได้[33]

ระเบียบวิธีมาตรฐานเพื่อให้มั่นใจว่ามีการปิดบังการจัดสรรที่ได้ผล รวมทั้งการใช้ซองเอกสารที่มีเลขตามลำดับที่ปิดทึบ (SNOSE), การใช้กล่องบรรจุยาที่มีเลขตามลำดับมีขนาดมีน้ำหนักมีป้ายและลักษณะอื่นคล้าย ๆ กัน, มีการจัดสรรที่ควบคุมโดยเภสัช, และมีการจัดสรรที่ทำโดยส่วนกลาง[33] มีการแนะนำว่า วิธีการปิดบังการจัดสรรควรจะรวมอยู่ในเกณฑ์วิธีการทดลองทางคลินิก (clinical trial protocol) และควรจะมีการรายงานอย่างละเอียดในสิ่งตีพิมพ์ที่แสดงผลของ RCTแต่ว่า งานศึกษาในปี ค.ศ. 2005 พบว่า RCT ส่วนมากมีเกณฑ์วิธีที่มีการปิดบังการจัดสรรที่ไม่ชัดเจน หรือไม่กล่าวถึงอย่างชัดเจนในงานที่ตีพิมพ์ หรือทั้งสองอย่าง[42] อย่างไรก็ดี ก็ยังมีงานศึกษาในปี ค.ศ. 2008 ของงาน meta-analysis 146 งานซึ่งสรุปว่าRCT ที่มีการปิดบังการจัดสรร (allocation concealment) ไม่เพียงพอหรือไม่ชัดเจนมักจะมีความเอนเอียงไปทางผลบวกต่อเมื่อผลของ RCT เป็นการวัดผลที่เป็นอัตวิสัย (subjective) แต่จะไม่มีเมื่อเป็นการวัดผลที่เป็นปรวิสัย[43]

ให้สังเกตว่า ในประเด็นการปกปิดการจัดสรร (allocation concealment) มักมีความสับสนในเรื่องหลัก ๆ คือ

  • การปกปิดการจัดสรรไม่เหมือนกับการอำพรางการรักษา เพราะการปกปิดการจัดสรรเป็นการปิดไม่ให้รู้กลุ่มหรือการรักษาที่จะสุ่มจัดให้คนไข้ก่อนจะจัดจริง ๆ เท่านั้น เพื่อกันความเอนเอียงโดยการคัดเลือก (selection bias) และปัจจัยกวน (confounders) อื่น ๆ[33]:614 ส่วนการทดลองแบบอำพรางจะปิดการรักษาแม้ในช่วงการทดลองเพื่อกันความเอนเอียงอื่น ๆ[40]
  • การปกปิดการจัดสรรอาจจะหมายถึงการปกปิดการจัดกลุ่มรักษา หรือการปกปิดการรักษาที่ทำไปตามลำดับ
  • การสร้างลำดับสุ่มและการปกปิดการจัดสรรเป็นคนละขั้นตอนกัน การสุ่มจัดการรักษาให้คนไข้จะต้องมีทั้งการสร้างลำดับสุ่มที่พยากรณ์ไม่ได้ และทั้งระเบียบวิธีการปกปิดการจัดสรรที่สามารถกันไม่ให้รู้การจัดกลุ่มหรือการจัดการรักษา (treatment assignment)[33]

ขนาดตัวอย่าง

จำนวนของผู้ที่รับการรักษาพยาบาล (จะนับโดยจำนวนคนหรือจำนวนกลุ่มก็ดี) ในกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองจะมีผลต่อความแม่นยำของ RCTถ้าผลการรักษาพยาบาลนั้นเล็กน้อย จำนวนผู้ที่รับการรักษาในกลุ่มทั้งสองอาจจะไม่เพียงพอที่จะปฏิเสธผลว่าง (null hypothesis) เมื่อทำการตรวจสอบโดยสถิติและความล้มเหลวในการปฏิเสธผลว่างก็จะหมายความว่า การรักษาพยาบาลนั้นไม่มีผลที่มีนัยสำคัญทางสถิติ "ในการทดลองนั้น ๆ"แต่ว่าถ้ามีขนาดตัวอย่างที่เพิ่มขึ้น RCT เช่นเดียวกันอาจจะสามารถแสดงผลของการรักษาพยาบาลที่มีนัยสำคัญทางสถิติ แม้ว่าจะมีผลเพียงเล็กน้อย[44]

ใกล้เคียง

การทด การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม การทดลองแบบอำพราง การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ การทดลองทางความคิด การทดแทนคุณลักษณะ (จิตวิทยา) การทดลองของมิลแกรม การทดสอบซอฟต์แวร์ การทดลองรีคัฟเวอรี การทดลองโรเซนแฮน

แหล่งที่มา

WikiPedia: การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม http://www.mja.com.au/public/issues/182_02_170105/... http://www.nhmrc.gov.au/_files_nhmrc/file/publicat... http://psychclassics.yorku.ca/Peirce/small-diffs.h... http://jme.bmj.com/content/24/6/401 http://www.bmj.com/cgi/content/full/310/6991/1360 http://www.bmj.com/cgi/content/full/316/7131/606 http://www.bmj.com/cgi/content/full/317/7167/1209 http://www.bmj.com/cgi/content/full/319/7211/670 http://www.bmj.com/cgi/content/full/330/7499/1049 http://www.bmj.com/cgi/content/full/336/7644/601