ข้อดี ของ การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม

มีการพิจารณาโดยมากว่า RCT เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในลำดับชั้นหลักฐาน (hierarchy of evidence) ที่มีอิทธิพลต่อนโยบายและวิธีการรักษาพยาบาล เพราะว่า RCT สามารถลดการแสดงเหตุผลที่ไม่เป็นจริงและความเอนเอียงต่าง ๆผลของ RCT หลายงานอาจจะมีการรวบรวมในงานปริทัศน์เป็นระบบ (systematic review) ที่มีการใช้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเป็นแนวทางในเวชปฏิบัติอิงหลักฐาน (evidence-based medicine)

ตัวอย่างองค์กรวิทยาศาสตร์ที่พิจารณา RCT หรืองานปริทัศน์เป็นระบบของ RCT ว่าเป็นหลักฐานที่มีคุณภาพสูงสุดรวมทั้ง

  • โดยปี ค.ศ. 1998 องค์กรอิสระ คณะกรรมการงานวิจัยสุขภาพและการแพทย์แห่งชาติ (National Health and Medical Research Council) ของประเทศออสเตรเลียกำหนดระดับ "Level I" สำหรับหลักฐานที่ "ได้มาจากงานปริทัศน์เป็นระบบของ RCT ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นศึกษาทั้งหมด" และระดับ "Level II" สำหรับหลักฐานที่ "ได้มาจาก RCT ที่มีการออกแบบที่เหมาะสมอย่างน้อยหนึ่งงาน"[56]
  • เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ในการทำคำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติทางคลินิก คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อการบริการป้องกัน (ทางสุขภาพ) ประเทศสหรัฐอเมริกา (United States Preventive Services Task Force) พิจารณาทั้งการออกแบบและทั้งความสมเหตุสมผล (internal validity) ว่าเป็นตัวบ่งชี้คุณภาพของงานศึกษา[57] และยอมรับว่า "หลักฐานที่ได้มาจากการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม" ที่มีความสมเหตุสมผล (เช่นอย่างน้อยในระดับ "I-good") ว่าเป็นหลักฐานที่มีคุณภาพดีที่สุดที่หาได้[57]
  • กลุ่ม GRADE Working Group สรุปในปี ค.ศ. 2008 ว่า "การทดลองแบบสุ่มที่ไม่มีข้อจำกัดที่สำคัญ เป็นหลักฐานที่มีคุณภาพสูง"[58]
  • ในประเด็นเกี่ยวกับ "การรักษาบำบัด/การป้องกัน และสมุฏฐานของโรค/ผลเสีย" ศูนย์เวชปฏิบัติอิงหลักฐานออกซฟอร์ด (Oxford Centre for Evidence-based Medicine) โดยปี ค.ศ. 2001 กำหนดหลักฐานระดับ "Level 1a" ว่าเป็นงานปริทัศน์เป็นระบบของ RCT ที่มีผลคล้องจองกัน และกำหนดหลักฐานระดับ "Level 1b" ว่าเป็น "RCT งานหนึ่ง ๆ ที่มีช่วงความเชื่อมั่น (Confidence Interval) ที่แคบ"[59]

ตัวอย่างสำคัญของ RCT ที่มีผลไม่คาดฝัน แล้วช่วยเปลี่ยนวิธีปฏิบัติทางคลินิกรวมทั้ง

  • หลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา ยาป้องกันหัวใจเสียจังหวะ (antiarrhythmic agents) รวมทั้ง flecainide และ encainide ก็เกิดวางตลาดขายในปี ค.ศ. 1986 และ 1987 ตามลำดับ[60] งานศึกษาที่ไม่มีการสุ่มเกี่ยวกับยาเหล่านั้นแสดงผลบวกอย่างน่าพึงใจ[61] และยอดขายของยาก็เพิ่มขึ้นรวมกันนับเป็นใบสั่งยาถึง 165,000 ชุดต่อเดือนในต้นปี ค.ศ. 1989[60] แต่ว่า ในปีนั้นเอง มีรายงานเบื้องต้นของ RCT ที่สรุปว่า ยาทั้งสองเพิ่มอัตราการตายของคนไข้[62] และหลังจากนั้น ยอดขายของยาทั้งสองจึงได้ลดลง[60]
  • ก่อนปี ค.ศ. 2002 โดยอาศัยงานศึกษาแบบสังเกต (observational studies) แพทย์โดยปกติจะเริ่มการบำบัดด้วยการทดแทนฮอร์โมน (hormone replacement therapy) สำหรับหญิงที่หมดระดูแล้ว เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด (myocardial infarction)[61] แต่ว่าในปี ค.ศ. 2002 และ 2004 มีการตีพิมพ์ผลงาน RCT จาก Women's Health Initiative (โครงการริเริ่มสุขภาพหญิง) ที่อ้างว่า หญิงที่รับการบำบัดด้วยการทดแทนฮอร์โมนเอสโทรเจนกับฮอร์โมน progestin มีอัตรากล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือดสูงกว่าหญิงที่ได้ยาหลอก และหญิงที่รับการบำบัดด้วยการทดแทนฮอร์โมนเอสโทรเจนเพียงอย่างเดียวมีอุบัติการณ์ของโรคหัวใจที่ไม่ได้ลดลง[53][63] คำอธิบายความแตกต่างระหว่างผลของงานศึกษาแบบสังเกตและ RCT รวมทั้งความแตกต่างระหว่างระเบียบวิธีที่ใช้ การใช้ฮอร์โมน และกลุ่มประชากรที่ศึกษา[64][65] หลังจากการตีพิมพ์ RCT เหล่านี้ การบำบัดด้วยการทดแทนฮอร์โมนจึงได้ลดลง[66]

ใกล้เคียง

การทด การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม การทดลองแบบอำพราง การทดลองทางความคิด การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ การทดแทนคุณลักษณะ (จิตวิทยา) การทดสอบซอฟต์แวร์ การทดลองของมิลแกรม การทดลองรีคัฟเวอรี การทดลองโรเซนแฮน

แหล่งที่มา

WikiPedia: การทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม http://www.mja.com.au/public/issues/182_02_170105/... http://www.nhmrc.gov.au/_files_nhmrc/file/publicat... http://psychclassics.yorku.ca/Peirce/small-diffs.h... http://jme.bmj.com/content/24/6/401 http://www.bmj.com/cgi/content/full/310/6991/1360 http://www.bmj.com/cgi/content/full/316/7131/606 http://www.bmj.com/cgi/content/full/317/7167/1209 http://www.bmj.com/cgi/content/full/319/7211/670 http://www.bmj.com/cgi/content/full/330/7499/1049 http://www.bmj.com/cgi/content/full/336/7644/601