การปฏิวัติยุคหินใหม่ หรือ
การปฏิวัติเกษตรกรรมครั้งที่หนึ่ง เป็นการเปลี่ยนผ่านอย่างกว้างขวางของ
วัฒนธรรมมนุษย์ใน
ยุคหินใหม่จากสังคม
คนเก็บของป่าล่าสัตว์ (สังคมแบบยังชีพ) สู่สังคม
เกษตรกรรม และสังคมเมือง ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร
[4] การเปลี่ยนผ่านดังกล่าวทำให้มนุษย์มีโอกาสสังเกตและทดลองพันธุ์พืช นำไปสู่ความรู้ใน
การปรับปรุงไม้ป่าเป็นไม้เลี้ยง[5] แนวคิดการปฏิวัติยุคหินใหม่นี้คิดค้นโดย
วี. กอร์ดอน ไชลด์ นักโบราณคดีชาวออสเตรเลียในหนังสือ Man Makes Himself
[6]การปฏิวัติยุคหินใหม่ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงทางเกษตรกรรมที่ได้รับการยืนยันครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ใช่แค่เพิ่มองค์ความรู้ในการผลิตอาหาร แต่เป็นการเปลี่ยนจากการใช้ชีวิตร่อนเร่ไปสู่การตั้งถิ่นฐานเป็นหมู่บ้านและเมือง มีการ
ชลประทานและ
ถางป่าเพื่อทำการเพาะปลูก รวมไปถึงการเลี้ยงสัตว์ การทำ
เครื่องปั้นดินเผา การปรับปรุงเครื่องมือหิน และการสร้างบ้านทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนำไปสู่ปรากฏการณ์ของการเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็วที่เรียกว่า
การเปลี่ยนผ่านทางประชากรยุคหินใหม่หลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์เกิดขึ้นแยกกันในหลายแห่งทั่วโลก เริ่มใน
สมัยโฮโลซีนเมื่อ 11,700 ปีก่อน
[7] ช่วงเวลาที่เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค
[8] เริ่มจากบริเวณ
พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ราว 10,000–8,000 ปีก่อนคริสตกาล
[9] ตามด้วยลุ่ม
แม่น้ำแยงซีและ
แม่น้ำหวงราว 7,000 ปีก่อนคริสตกาล
[10] และ
ที่สูงนิวกินีราว 7,000–3,000 ปีก่อนคริสตกาล
[11] มีหลายทฤษฎีที่พยายามอธิบายถึงสาเหตุของการเปลี่ยนมาทำการเกษตร เช่น พื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์
[12] การใช้เกษตรกรรมเป็นเครื่องมือแสดงอำนาจ
[13] ปัจจัยด้านประชากร
[14][15] การปรับตัวของมนุษย์และพืช
[16] สภาพอากาศคงที่หลัง
ยุคน้ำแข็ง[17] และการสูญพันธุ์ของสัตว์ใหญ่ (megafauna)
[18] มีหลักฐานการเพาะปลูกธัญพืช 8 ชนิดเป็นครั้งแรกใน
ลิแวนต์ช่วงราว 9,500 ปีก่อนคริสตกาล
[19] ขณะที่การเลี้ยงสัตว์เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นโดยสัตว์กลุ่มแรก ๆ ที่มนุษย์นำมาเลี้ยงได้แก่
สุนัข (13,000 ปีก่อนคริสตกาล
[20])
แพะ (10,000 ปีก่อนคริสตกาล
[21])
สุกร (9,000 ปีก่อนคริสตกาล
[22])
แกะ (9,000–8,500 ปีก่อนคริสตกาล
[23]) และ
วัว (8,000 ปีก่อนคริสตกาล
[24])มุมมองดั้งเดิมของการปฏิวัติยุคหินใหม่คือการเกษตรมีส่วนสนับสนุนประชากรที่มากขึ้น ทำให้ชุมชนยิ่งแผ่ขยาย ขณะเดียวกันก็เกิดแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป ทำให้ผู้คนมีหน้าที่ต่าง ๆ ในสังคม และเมื่อสังคมซับซ้อนขึ้นก็เกิดชนชั้นนำผู้ทำหน้าที่ปกครองชุมชน
[25] พัฒนาการดังกล่าวหรือบางครั้งเรียกว่า การรวมกลุ่มยุคหินใหม่ (Neolithic package) เอื้อให้เกิดรากฐานโครงสร้างทางการเมือง การปกครองแบบรวมอำนาจ อุดมการณ์แบบลำดับชั้น การกระจายงาน และการค้าที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงการพัฒนา
การเขียน ศิลปะ และ
สถาปัตยกรรม นำไปสู่อารยธรรมแรกสุดอย่าง
ซูเมอร์ทางตอนใต้ของ
เมโสโปเตเมีย (ราว 6500
BP) อันเป็นจุดเริ่มต้นของ
ยุคสัมฤทธิ์[26]ถึงแม้ว่าการปฏิวัติยุคหินใหม่จะนำพาความก้าวหน้าต่าง ๆ แต่งานศึกษาทางชาติพันธุ์วิทยาและโบราณคดีหลายชิ้นพบว่าการที่มนุษย์เปลี่ยนมากินอาหารจากธัญพืชมากขึ้นทำให้
การคาดหมายคงชีพลดลง การเสียชีวิตใน
ทารกเพิ่มขึ้น และการเพิ่มขึ้นของ
โรคติดเชื้อและ
โรคเสื่อม การเพาะปลูกกลับเป็นการจำกัดความหลากหลายของอาหาร ทำให้มนุษย์ขาดวิตามินและแร่ธาตุ
[27] นอกจากนี้
จาเรด ไดมอนด์ นักประวัติศาสตร์และนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันยังเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดการแบ่งแยกทางสังคมและความเหลื่อมล้ำทางเพศสภาพ
[28]