สรีรวิทยา ของ ขี้หู

ขี้หูในช่องหูขี้หูมนุษย์แบบเปียกบนไม้สำลี

ช่องหูแบ่งเป็นสองส่วน ส่วน 1/3 ภายนอกเป็นกระดูกอ่อน ส่วน 2/3 ภายในเป็นกระดูก ส่วนที่เป็นกระดูกอ่อนเป็นส่วนที่ผลิตขี้หูซึ่งเป็นน้ำเหนียวที่ต่อมไขมันหลั่ง และน้ำเหนียวยิ่งกว่านั้นที่ต่อมซึ่งวิวัฒนาการมาจากต่อมเหงื่อ (modified apocrine sweat glands) คือต่อมขี้หูหลั่ง[3]องค์ประกอบหลักก็คือผิวหนังที่ลอกหลุดออก โดยเฉลี่ย 60% จะเป็นเคราติน (keratin), 12-20% เป็นกรดไขมันลูกโซ่ยาวทั้งแบบอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว, แอลกอฮอล์, squalene และ 6-9% คอเลสเตอรอล[4]

มีขี้หูสองแบบโดยกรรมพันธุ์ คือ แบบเปียกซึ่งเป็นยีนเด่น (dominant) และแบบแห้งซึ่งเป็นยีนด้อย (recessive)[5]จนกระทั่งว่า นักมานุษยวิทยาสามารถใช้รูปแบบขี้หูเพื่อติดตามการย้ายถิ่นของมนุษย์ เช่น ของคนเอสกิโม[6]คนเอเชียตะวันออกและกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐมักมีขี้หูแบบแห้ง (สีเทา เป็นแผ่น ๆ) คนแอฟริกาและคนเชื้อสายยุโรปมักมีแบบเปียก (สีน้ำผึ้งจนถึงสีน้ำตาลเข้ม เปียก และเหนียว ๆ)[5]ในญี่ปุ่น คนไอนู (Ainu) มักจะมีแบบเปียก เทียบกับคนยะมะโตะ (Yamato) โดยมากของประเทศที่มีแบบแห้ง[7]ขี้หูแบบเปียกต่างจากแบบแห้งโดยมีเม็ดเล็ก ๆ (granule) ที่เป็นลิพิดและสารสีมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น แบบเปียกมีลิพิด 50% แต่แบบแห้งมีแค่ 20%[4]

ยีนโดยเฉพาะที่ทำให้ต่างกันก็ได้ระบุแล้ว[8]คือเป็นคู่เบสคู่เดี่ยวที่เปลี่ยนไป (คือเป็นภาวะพหุสัณฐาน) ในยีนที่เรียกว่า ATP-binding cassette C11 gene (ABCC11)[9]แบบแห้งจะมี adenine แบบฮอโมไซกัส ในขณะที่แบบเปียก จะมี guanine อย่างน้อยข้างหนึ่งเพราะขี้หูแบบเปียกสัมพันธ์กับกลิ่นรักแร้ซึ่งแรงขึ้นเมื่อเหงื่อออกนักวิจัยจึงคาดว่า ยีนช่วยลดกลิ่นตัวหรือเหงื่อซึ่งเป็นประโยชน์แก่คนเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือผู้อยู่อาศัยในเขตอากาศหนาว[10]

การทำความสะอาด

การทำความสะอาดช่องหูอาศัยการย้ายที่ของเนื้อเยื่อบุผิวคล้ายกับเป็นสายพานส่งวัสดุซึ่งการเคลื่อนขากรรไกรก็จะช่วยสนับสนุนด้วย[11]คือ เซลล์ซึ่งเกิดตรงกลางแก้วหูจะย้ายที่ไปจากหลุมแก้วหู (umbo) ในอัตราใกล้กับที่เล็บมืองอก ไปยังผนังของช่องหู และก็ย้ายต่อไปยังปากช่องหูขี้หูในช่องหูพร้อมกับผงละอองที่ติดอยู่ก็จะเคลื่อนตามออกไปด้วย การขยับกรามจะทำให้เศษที่ติดอยู่กับผนังช่องหูหลุดออก ทำให้หลุดออกจากหูได้ง่ายขึ้น

การหล่อลื่น

ขี้หูช่วยหล่อลื่นผิวหนังของช่องหูป้องกันไม่ให้แห้งสนิทคือต่อมไขมันจะหลั่งไขซึ่งมีลิพิดมากเป็นตัวหล่อลื่นในขี้หูแบบเปียกเป็นอย่างน้อย ลิพิดเช่นนี้มีคอเลสเตอรอล, squalene, กรดไขมันลูกโซ่ยาวหลายอย่าง และแอลกอฮอล์[12][13]

ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย

แม้งานศึกษาที่ทำจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1960 จะไม่พบหลักฐานสนับสนุนว่าขี้หูมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย[14]แต่งานศึกษาต่อ ๆ มาก็พบฤทธิ์ต้านแบคทีเรียบางสายพันธุ์รวมทั้ง Haemophilus influenzae (เป็นเหตุการติดเชื้อหลายชนิด), Staphylococcus aureus (เป็นเหตุการติดเชื้อผิวหนัง ทางเดินลมหายใจ และอาหารเป็นพิษ) และ Escherichia coli บางสายพันธุ์ (โดยบางอย่างเป็นเหตุอาหารเป็นพิษ) บางครั้งช่วยฆ่าเชื้อถึง 99%[15][16]

ขี้หูมนุษย์สามารถยับยั้งการติดเชื้อราในหูสองสายพันธุ์อย่างสำคัญ[17]

ฤทธิ์ต้านจุลชีพโดยหลักมาจากการมีกรดไขมันอิ่มตัว, lysozyme และความเป็นกรดเล็กน้อยราว ๆ 6.1 สำหรับบุคคลปกติ[18]แต่ก็มีงานวิจัยที่พบว่า ขี้หูอาจช่วยให้จุลชีพเจริญเติบโต และมีตัวอย่างขี้หูที่พบแบคทีเรียหนาแน่นถึง 107 ตัว/กรัม[19]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ขี้หู http://www.ahnenkult.com/?p=746 http://audiologysupplies.com/blog/cerumen-manageme... http://www.history-science-technology.com/Notes/No... http://www.popsci.com/article/science/scent-your-e... http://journals.sagepub.com/doi/full/10.1177/01945... http://oto.sagepub.com/content/139/3_suppl_1/S1.fu... http://www.tchain.com/otoneurology/disorders/heari... http://bu.academia.edu/MaryBeaudry/Papers/120776/B... http://www.archives.nd.edu/cgi-bin/words.exe?nitri http://www.cs.ucf.edu/~MidLink/baldrige.jan.two.ht...