เบื้องหลัง ของ คดีแชร์ชม้อย

นางชม้อย ทิพย์โส

นางชม้อยฯ ได้รับการชักชวนจากนายประสิทธิ์ จิตต์ที่พึ่ง เพื่อนร่วมงานที่องค์การน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งได้ทำการค้าน้ำมันอยู่ก่อนแล้ว ให้เข้าร่วมลงทุนค้าน้ำมันด้วย เมื่อทำได้ระยะหนึ่ง นางชม้อยฯ เห็นว่าได้ผลประโยชน์ตอบแทนที่สูงจริง จึงได้ชักชวนบุคคลอื่น ๆ ให้เข้ามาร่วมลงทุนด้วยและจากการบอกต่อๆ กันทำให้มีผู้สนใจร่วมลงทุนค้าน้ำมันกับนางชม้อยฯ ด้วยเป็นจำนวนมาก

นางชม้อย ทิพย์โส ได้คิดค้นวิธีการหลอกลวงประชาชนขึ้นโดยอ้างว่า ดำเนินกิจการค้าน้ำมันทั้งในและนอกประเทศ โดยจัดตั้งบริษัทค้าน้ำมันชื่อ บริษัท ปิโตเลียม แอนด์ มารีน เซอร์วิส จำกัด ทำการค้าน้ำมันทุกชนิด มีเรือเดินทะเลสำหรับขนส่งน้ำมันทั้งในและนอกประเทศ ได้ชักชวนประชาชนให้มาเล่นแชร์น้ำมัน โดยวิธีการรับกู้ยืมเงินจากประชาชนและให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงเป็นรายเดือน โดยกำหนดวิธีการรับกู้ยืมเงินเป็นคันรถบรรทุกน้ำมันคันรถละ 160,500 บาท ให้ผลตอบแทนเดือนละ 12,000 บาท หรือร้อยละ 6.5 ต่อเดือน หรือร้อยละ 78 ต่อปี และในเดือนธันวาคมของทุกปีจะหักเงินไว้ร้อยละ 4 ของผลประโยชน์ที่ได้รับในรอบปี เพื่อเก็บภาษีการค้าและหักค่าเด็กปั้มไว้อีกเดือนละ 100 บาท ตามจำนวนเดือนที่นำเงินมาให้กู้ยืมโดยจะออกหลักฐานไว้ให้เป็นสัญญากู้ยืมเงินตามแบบที่มีขายอยู่ทั่วไปในท้องตลาด หรือบางรายจะออกหลักฐานให้เป็นเช็ค โดยผู้ให้กู้ยืมสามารถเรียกคืนเงินต้นเมื่อใดก็ได้และจะกลับมาให้กู้ยืมอีกก็ได้ในเงื่อนไขเดิม

นางชม้อย ทิพย์โสได้จ่ายผลประโยชน์หรือดอกเบี้ยให้ผู้ให้กู้ตรงตามเวลาที่ นัดหมายทุกเดือน นอกจากนั้นในรายที่จะถอนเงินต้น ก็สามารถถอนได้ทุกราย อีกทั้งนางชม้อยยังทำงานอยู่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยอีกด้วย ทำให้หลงเชื่อนำเงินไปให้ผู้ต้องการกู้ยืมโดยมีผู้ถูกหลอกลวงกว่าหมื่นรายและวงเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ในช่วงแรกผู้ให้กู้ยืมอยู่ในหมู่ผู้ที่มีฐานะการเงินดี แต่ต่อมาได้แพร่หลายออกไปรวมทั้งประชาชนในต่างจังหวัดก็นิยมและได้แพร่หลายลงไปถึงประชาชนผู้มีฐานะการเงินไม่ดีก็สามารถเล่นได้ โดยแบ่งเล่นเป็นล้อคือ หนึ่งในสี่ของจำนวนเงินต่อคันรถน้ำมัน

มีประชาชนและผู้เสียหายในคดีนี้จำนวน 13,248 คน หลงเชื่อ ซึ่งต่างคนต่างให้กู้ยืมเงินไป 23,519 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,043,997,795 บาท

ในการกู้ยืมเงิน เป็นการให้กู้ยืมโดยตรงและการกู้ยืมเงินโดยผ่านคนกลาง หลักฐานการกู้ยืมเงินจะมีสัญญากู้เงินซึ่งมีลายมือชื่อนางชม้อยฯ เป็นผู้กู้ยืม ผลประโยชน์ตอบแทนที่ผู้ให้กู้ยืมการรับผลประโยชน์ตอบแทนของผู้ให้กู้ยืมมีทั้งรับจากนางชม้อยฯ โดยตรงหรือรับจากคนกลางเหล่านั้น การรับผลประโยชน์ตอบแทนผู้ให้กู้ยืมได้รับเป็นเงินสดหรือเป็นเช็ค ซึ่งนางชม้อยได้เปิดบัญชีไว้กับธนาคารในนามของตนเองก็มี บางบัญชีเปิดในนามของบุคคลอื่นเพื่อสั่งจ่ายเช็คเป็นผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ให้กู้ยืม และนำเช็คของผู้ให้กู้ยืมเข้าบัญชีที่ได้เปิดไว้ สำหรับเงินที่กู้ยืมมานั้น นางชม้อยฯ อ้างว่า ได้นำไป ใช้สนับสนุนในด้านการเงินของบริษัทปิโตรเลี่ยมแอนมารีนเซอร์วิสเซส จำกัด และบริษัทอุดมข้าวหอมไทย จำกัด ซึ่งบริษัททั้ง 2 ได้จ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ และนางชม้อยฯ ได้นำผลประโยชน์ตอบแทนเหล่านั้นไปจัดสรรให้แก่ผู้ให้กู้ยืมเงินตามสัดส่วนของเงินที่ให้กู้ยืมแต่ละราย

จากการตรวจสอบของกรมสรรพากร พบว่านางชม้อยฯ มีบัญชีเงินฝาก 2 ประเภท คือประเภทออมทรัพย์และกระแสรายวัน โดยมีข้อตกลงกับธนาคารว่าให้โอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์เข้ามาบัญชีกระแสรายวันได้เมื่อมีการสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินออกไปจากบัญชีกระแสรายวัน และจากการตรวจสอบหลักฐานการฝากถอนเงินในบัญชีเงินฝากของนางชม้อยฯ กับพวกเห็นว่า นางชม้อยฯ กับพวก จ่ายดอกเบี้ยให้ประชาชนเพิ่มขึ้นทุกปี อันเนื่องมาจากมีผู้ร่วมลงทุนเพิ่มมากขึ้นซึ่งแท้จริงแล้วนางชม้อยฯ กับพวกไม่ได้ทำการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงและไม่ได้ประกอบกิจการค้าอื่นใดที่จะได้ผลตอบแทนเพียงพอที่จะนำมาจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ผู้ให้กู้ได้สูงถึงร้อยละ 6.5 ต่อเดือน แต่นางชม้อยฯ กับพวกได้นำเงินที่กู้ยืมจากประชาชนและผู้เสียหายไปใช้ประโยชน์ส่วนตน โดยนำไปซื้อทรัพย์สินมีค่าจำนวนมากและได้ปกปิดอำพรางซุกซ่อนไว้ และในที่สุดได้ร่วมกันเอาเงินและทรัพย์สินดังกล่าวหลบหนีไป

วิธีการในการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ประชาชน ในอัตราร้อยละ 6.5 ต่อเดือน ใช้วิธีการจัดคิวเงินโดยการนำเงินไปฝากธนาคารไว้แล้วเอาเงินต้นและดอกเบี้ยมาทยอยหมุนเวียนจ่ายเป็นผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละ 6.5 ต่อเดือน ถ้ามีผู้นำเงินมาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพียงร้อยละ 5-6 เท่านั้น ก็จะสามารถหมุนเวียนจ่ายเป็นดอกเบี้ยได้ตลอดไปแต่ถ้าไม่มีผู้นำเงินมาลงทุนเพิ่มก็จะจ่ายดอกเบี้ยได้ในระยะแรกเท่านั้นในที่สุดเงินต้นที่สะสมไว้จะหมดและไม่สามารถคืนเงินต้นให้ประชาชนได้ในที่สุด