ประเภท ของ ความภูมิใจแห่งตน

ความภูมิใจในตนสูง

บุคคลที่ภูมิใจในตนในระดับดีจะ[48]

  • เชื่อมั่นในค่านิยมและหลักการบางอย่าง และพร้อมจะปกป้องมันเมื่อเจอความเป็นปฏิปักษ์ โดยรู้สึกปลอดภัย/มั่นใจพอที่จะเปลี่ยนมันได้เมื่อได้ประสบการณ์ใหม่[13]
  • สามารถทำตามแผนที่ตนคิดว่าเป็นทางดีที่สุด เชื่อการตัดสินใจของตนเอง โดยไม่รู้สึกผิดถ้าคนอื่นไม่ชอบ[13]
  • ไม่เสียเวลากังวลเรื่องที่เกิดในอดีตมาเกินไป หรือเรื่องที่อาจเกิดในอนาคต แม้ว่าจะสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตและวางแผนเพื่ออนาคต แต่ก็อยู่ในปัจจุบันโดยมาก[13]
  • เชื่อมั่นสมรรถภาพตัวเองที่จะแก้ปัญหา ไม่ลังเลแม้เมื่อเกิดความล้มเหลวหรือมีอุปสรรค และสามารถขอให้คนอื่นช่วยได้ถ้าจำเป็น[13]
  • พิจารณาว่าตนมีศักดิ์ศรีมนุษย์เทียบเท่ากับคนอื่น ไม่ใช่มากกว่าหรือน้อยกว่า โดยยอมรับความแตกต่างในเรื่องพรสวรรค์ เกียรติยศ หรือฐานะทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่ากัน[13]
  • เข้าใจว่าตนเป็นคนน่าสนใจและมีคุณค่าต่อคนอื่นอย่างไร อย่างน้อยก็กับบุคคลที่มีมิตรภาพด้วย[13]
  • ขัดขืนการถูกครอบงำโดยคนอื่น ร่วมมือกับคนอื่นก็ต่อเมื่อเหมาะสมและสะดวก[13]
  • ยอมรับความรู้สึกและความต้องการของตนที่ต่าง ๆ กัน ไม่ว่าจะบวกหรือลบ แสดงความในใจเหล่านี้ต่อคนอื่นเมื่อต้องการ[13]
  • ชอบทำกิจกรรมหลาย ๆ อย่าง[13]
  • ไวความรู้สึกและความต้องการของคนอื่น เคารพกฎสังคมที่ยอมรับโดยทั่วไป และไม่ถือสิทธิไม่ต้องการได้ประโยชน์ที่เป็นการสูญเสียของผู้อื่น[13]
  • สามารถทำงานเพื่อแก้ปัญหา และแสดงความไม่ชอบใจโดยไม่ดูถูกตนเองหรือผู้อื่นเมื่อมีอุปสรรค[49]

มั่นใจ เทียบกับ ปกป้องตัวเอง

บุคคลสามารถภูมิใจในตนสูงและมั่นใจโดยไม่จำเป็นต้องได้คำยืนยันจากผู้อื่นเพื่อรักษาภาพพจน์ที่ดีของตนไว้ เทียบกับคนอื่นที่มีความภูมิใจแบบต้องปกป้องตัวเอง แต่ก็ยังอาจได้คะแนนสูงโดยแบบวัด Rosenberg Scale เช่นกันแต่ว่า ความภูมิใจในลักษณะนี้เสียไปได้ง่ายและอ่อนแอต่อคำวิพากษ์วิจารณ์เพราะผู้ที่มีความภูมิใจแบบนี้สงสัยตัวเองและไม่มั่นใจในระดับจิตใต้สำนึก ทำให้มีปฏิกิริยาในเชิงลบกับคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดที่ได้รับคือบุคคลนี้จำต้องได้การยอมรับจากผู้อื่นเพื่อที่จะรักษาความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าไว้ได้ความจำเป็นเพื่อได้คำชมบ่อย ๆ อาจสัมพันธ์กับพฤติกรรมช่างอวด หยิ่ง หรือบางครั้งแม้แต่เป็นศัตรูกับบุคคลที่ตั้งข้อสงสัยในคุณค่าของตน นี่เป็นตัวอย่างของปฏิกิริยาเมื่ออติมานะ (egotism) เกิดภัย[50][51]

ความภูมิใจโดยนัย โดยตรง การหลงตัวเอง และเมื่ออติมานะเกิดภัย

ความภูมิใจในตนโดยนัย (implicit self-esteem) หมายถึงแนวโน้มที่บุคคลจะประเมินตัวเองในเชิงบวกหรือเชิงลบแบบอัตโนมัติและโดยจิตใต้สำนึกซึ่งต่างกับความภูมิใจในตนเองแบบชัดแจ้ง (explicit self-esteem) ซึ่งเป็นการประเมินตนเองที่อยู่เหนือสำนึกโดยการพิจารณาแต่ทั้งสองอย่างก็ล้วนแต่เป็นความภูมิใจในตนที่รวมอยู่ในแบบ

ส่วนการหลงตัวเอง (narcissism) เป็นแนวโน้มทางพฤติกรรมซึ่งแสดงการรักตัวเองมากเกินควรมีลักษณะเป็นความรู้สึกว่าตนมีคุณค่าเกินจริงบุคคลที่ได้คะแนนสูงในแบบวัดความหลงตัวเองของ Robert Raskin คือ แบบวัดใช่หรือไม่ใช่ 40 คำถาม (40 Item True or False Test) มีโอกาสตอบว่าใช่สำหรับคำถามว่า "ถ้าฉันครองโลก โลกจะเป็นที่ที่ดีกว่ามาก"[52]มีสหสัมพันธ์ในระดับแค่พอสมควร (moderate) ระหว่างการหลงตัวเองกับความภูมิใจในตน[53]ซึ่งหมายความว่า บุคคลสามารถภูมิใจในตนสูงแต่หลงตัวเองน้อย หรืออาจจะเป็นคนถือตัวมาก เป็นบุคคลน่ารังเกียจ แต่ได้คะแนนสูงทั้งด้านความภูมิใจในตนและหลงตัวเอง[54]

ส่วนปฏิกิริยาเมื่ออติมานะมีภัย (Threatened egotism) กำหนดโดยการตอบสนองต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เป็นภัยต่ออัตตา (ego) ของคนหลงตัวเองซึ่งบ่อยครั้งจะเป็นปฏิกิริยาแบบเป็นปฏิปักษ์และก้าวร้าว[14][55][56]

ความภูมิใจในตนต่ำ

ความภูมิใจต่ำอาจมาจากปัจจัยหลายอย่างรวมทั้งทางพันธุกรรม จากรูปร่างหน้าตาหรือน้ำหนักตัว ปัญหาทางจิต สถานะทางสังคม-เศรษฐกิจ ความกดดันจากเพื่อน และการถูกรังแก[57]โดยอาจจะแสดงเป็นลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้คือ

  • การตำหนิตัวเองเกินควร และความไม่พึงพอใจในตัวเอง[13]
  • ไวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์มาก โดยเคืองผู้วิจารณ์และรู้สึกถูกว่าร้าย[13]
  • การตัดสินใจอะไรไม่ได้ และกลัวผิดพลาดที่เกินควร[13]
  • พยายามให้คนอื่นพอใจมากเกินไป และไม่ยอมทำให้คนอื่นไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นใคร[13]
  • ทุกอย่างต้องเพอร์เฝ็กต์ ซึ่งทำให้ผิดหวังเมื่อไม่ได้[13]
  • ความรู้สึกผิดเกินควร มัวแต่คิดถึงความผิดพลาดในอดีต หรือยกความผิดพลาดในอดีตเกินจริง[13]
  • ความเป็นปฏิปักษ์อย่างลอย ๆ และการป้องกันตัวเองโดยทั่วไปและหงุดหงิดโดยไม่มีเหตุใกล้[13]
  • มองโลกในแง่ร้ายโดยทั่วไป[13]
  • ความอิจฉาริษยา ใจน้อย และความขัดเคืองโดยทั่วไป[13]
  • เห็นปัญหา/อุปสรรคชั่วคราวว่าเป็นเรื่องถาวร และทนรับไม่ได้[49]

ผู้ที่ภูมิใจในตนต่ำมักจะตำหนิตัวเองบางคนต้องอาศัยการยอมรับและคำสรรเสริญของผู้อื่นเมื่อประเมินคุณค่าของตนเองบางคนอาจจะวัดความน่าชอบใจของตนเองโดยความสำเร็จที่ได้ คือ คนอื่นจะยอมรับถ้าทำสำเร็จและไม่ยอมรับถ้าไม่สำเร็จ[58]

ภาวะ 3 อย่าง

หมวดหมู่ที่เสนอในปี 2556[59]แบ่งภาวะความภูมิใจในตนออกเป็น 3 อย่าง โดยเปรียบเทียบว่าเป็นความดีความชอบ (feat) หรือเป็นความเสียหาย (anti-feat)ดังจะกล่าวในหัวข้อย่อยต่อ ๆ ไปดังนี้[6][60]

แตก

บุคคลไม่พิจารณาตนว่ามีค่าหรือว่าเป็นคนที่รักได้อาจจะรู้สึกท่วมท้นด้วยความพ่ายแพ้ ความอับอาย หรือมองตัวเองว่าเป็นอย่างนั้น โดยมีป้ายเรียกความเสียหายยกตัวอย่างเช่น ถ้าบุคคลพิจารณาความแก่เกินกว่าวัยหนึ่ง ๆ ว่าเป็นความเสียหาย ก็จะนิยามตัวเองโดยใช้ชื่อของความเสียหาย และกล่าวว่า "ฉันแก่แล้ว"จะรู้สึกเวทนาตนเอง ตำหนิตัวเอง รู้สึกเสียใจ จนอาจทำอะไรไม่ได้[59][61]

อ่อนแอ

บุคคลมองตัวเองในแง่ดีแต่ว่า ความภูมิใจในตนจะอ่อนแอต่อความรู้สึกเสี่ยงว่าความเสียหายกำลังจะเกิดขึ้น (เช่นความพ่ายแพ้ ความอาย และการเสียเครดิต) เพราะฉะนั้น บ่อยครั้งจะไม่รู้สึกสบายใจและต้องป้องกันตัวเอง[61]กลไกป้องกันตนสำหรับบุคคลที่มีความภูมิใจแบบอ่อนแออาจจะรวมการหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ

แม้ว่าบุคคลอาจจะดูเหมือนมั่นใจสูง แต่ความจริงอาจจะเป็นตรงกันข้าม คือ ความมั่นใจที่ปรากฏเป็นตัวบ่งความกลัวที่เริ่มสูงขึ้นต่อความเสียหาย และบ่งความเปราะบางของความภูมิใจในตน[6]อาจจะโทษคนอื่นเพื่อป้องกันภาพพจน์ของตนจากสถานการณ์ที่เป็นภัยและอาจจะใช้กลไกการป้องกันต่าง ๆ รวมทั้งพยายามแพ้ในเกมและการแข่งขันต่าง ๆ เพื่อป้องกันภาพพจน์ของตนโดยทำเป็นไม่แยแสว่า จำเป็นต้องชนะ เป็นการแสดงความเป็นอิสระจากความยอมรับทางสังคมที่ตนอาจจะต้องการอย่างยิ่งเมื่อกลัวมากว่าเพื่อนจะไม่ยอมรับ ก็อาจจะเลือกทางชีวิตได้ไม่ดีโดยทำอะไรเสี่ยง ๆ[60][61]

มั่นคง

ผู้ที่มีความภูมิใจในตนอย่างมั่นคงจะมีภาพพจน์ที่ดีเกี่ยวกับตน และมั่นคงพอที่ความเสียหายไม่สามารถเกิดกับความภูมิใจได้เป็นบุคคลที่กลัวความล้มเหลวน้อยกว่าเป็นคนถ่อมตัว ร่าเริง และมั่นคงพอที่จะไม่อวดความดีความชอบและไม่กลัวความเสียหาย[60][61]เป็นคนที่สามารถต่อสู้ด้วยแรงที่มีเพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการ เพราะว่า ถ้าล้มเหลว จะไม่มีผลต่อความภูมิใจของตนเป็นคนที่สามารถยอมรับความผิดก็เพราะว่ามีภาพพจน์ของตนเองที่มั่นคง และการยอมรับผิดจะไม่มีผลเสียหายต่อภาพพจน์นั้น[61]เป็นคนที่ใช้ชีวิตโดยกลัวการเสียชื่อเสียงน้อยกว่า และมีความสุขและความอยู่เป็นสุขที่ดีกว่า[61]แต่ว่า ไม่มีความภูมิใจแบบไหนที่ทำลายไม่ได้และเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างในชีวิต อาจทำให้ตกจากระดับนี้ไปยังระดับอื่น ๆ[59][61]

มีเงื่อนไขและไม่มีเงื่อนไข

มีความภูมิใจแบบมีเงื่อนไข (Contingent self-esteem) และไม่มีเงื่อนไข (Non-contingent self-esteem)แบบมีเงื่อนไขจะได้ความภูมิใจจากสิ่งภายนอกเช่น (1) คนอื่นกล่าวว่าอย่างไร (2) ประสบผลสำเร็จหรือล้มเหลว และ (3) ความสามารถของตน[62]หรือว่า (4) ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์และดังนั้น ความภูมิใจในตนแบบมีเงื่อนไขจึงไม่เสถียร เชื่อถือไม่ได้ และอ่อนแอบุคคลที่มีความภูมิใจแบบนี้จะต้องคอยหาสิ่งที่ทำให้ตนมีคุณค่า[63]

แต่เพราะว่าการได้ความภูมิใจในตนแบบมีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับได้รับความยอมรับ จึงในที่สุดจะต้องล้มเหลวเพราะว่า ไม่มีใครที่ได้การยอมรับตลอด และการไม่ยอมรับบ่อยครั้งทำให้เกิดความซึมเศร้านอกจากนั้นแล้ว ความกลัวการไม่ยอมรับอาจจะห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมที่มีโอกาสล้มเหลว[64]

ส่วนความภูมิใจแบบไม่มีเงื่อนไขเป็นสิ่งที่ไว้ใจได้ เสถียร และมั่นคง[65]มันมีมูลฐานจากความเชื่อว่า ตน "ยอมรับได้อย่างไม่มีข้อแม้ ยอมรับได้แม้ก่อนชีวิตเสียอีก ยอมรับได้โดยความมีอยู่"[66]:7ความเชื่อว่าตนยอมรับได้โดยความมีอยู่ (ontologically acceptable) ก็คือความเชื่อว่าการยอมรับได้ของตนเป็นไปตามสิ่งที่เป็น โดยไม่มีข้อแม้[67]ในรูปแบบความเชื่อเช่นนี้ การยอมรับได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณธรรมของบุคคลเป็นการยอมรับแม้ "มีความผิด" ไม่ใช่เพราะ "ไม่มีความผิด"[66]:5ดังนั้น ความภูมิใจในตนแบบไม่มีเงื่อนไขจึงมาจากความเชื่อว่าตนยอมรับได้เพราะความมีอยู่และว่าตนได้การยอมรับจากผู้อื่น[68]

ใกล้เคียง

ความภูมิใจแห่งตน ความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ความขัดแย้งระหว่างพม่ากับกะเหรี่ยง ความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายใน ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย ความรัก ความลับของนางฟ้า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย ความจำ ความดันโลหิตสูง

แหล่งที่มา

WikiPedia: ความภูมิใจแห่งตน http://www.erin.utoronto.ca/~w3psyuli/PReprints/JR... http://ddd.uab.cat/record/142342?ln=en http://www.afterpsychotherapy.com/narcissism-vs-au... http://www.bartleby.com/61/18/S0241800.html http://www.bartleby.com/61/58/S0245800.html http://www.education.com/reference/article/self-es... http://www.monografias.com/trabajos104/como-influy... http://www.nytimes.com/2002/02/03/magazine/the-tro... http://www.psychologytoday.com/articles/201112/the... http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=v...