เมนูนำทาง
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย ความสัมพันธ์กับชาติในเอเชียตะวันออกช่วงสมัยก่อนการล่าอำนาจจากตะวันตก รัฐสยามหรือ 'เสียมก๊ก' นั้นมีความสัมพันธ์แบบรัฐบรรณาการกับประเทศจีน ความสัมพันธ์ส่วนใหญ่กับประเทศจีนนั้นเป็นในรูปแบบการค้า ความขัดแย้งหรือข้อพิภาคนั้นมีน้อยการที่ชาติจีนแพ้ในสงครามฝิ่นให้กับชาติตะวันตก รัฐสยามกลัวการตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกเนื่องจากความสัมพันธ์กับจีน ประเทศไทยจึงได้ตัดความสัมพันธ์แบบรัฐบรรณาการกับประเทศจีนช่วงการสร้างชาติใหม่ของไทยหลังการกู้เอกราชจากพม่า ผู้ปกครองในไทยซึ่งมีเชื้อสายทางเลือดเกี่ยวข้องกับประเทศจีนได้มีนโยบายนำเข้าประชากรฮั่นจากประเทศจีน เนื่องจากได้เสียประชากรจำนวนมากจากสงคราม ส่วนด้านจีนเองก็มีปัญหาสงครามและความแห้งแล้งด้วยเหตุนี้ประชากรจำนวนมากในภาคกลางและตามหัวเมืองใหญ่ของไทยจึงเป็นเชื้อสายจีนจำนวนมาก ช่วงสงครามเย็น
เนื่องจากประเทศไทยกลัวการแผ่ขยายเข้ามาของแนวคิดคอมมิวนิสต์ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและจีนจึงเป็นแบบจำกัด ทั้งนี้รวมไปถึงการย้ายเข้าออกและการค้า ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างวาดระแวงและเย็นชา โดยท่าทีของรัฐบาลนั้นเป็นปรปักต์ต่อกันมาก ทางด้านจีนคอมมิวนิสเองก็มีนโยบายส่งออกแนวคิดคอมมิวนิสไปยังประเทศอื่นๆในเอเชียรวมถึงประเทศไทยอีกด้วย ทางด้านรัฐบาลไทยเองจำต้องจัดการปัญหาผู้ก่อกบฏคอมมิวนิสต์ในประเทศ
ประเทศไทยได้กลับมาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้งกับรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์พร้อมกับการตัดความสัมพันธ์แบบทางการกับพรรคชาตินิยมจีน (中国国民党;)ซึ่งเสียการครอบครองแผ่นดินใหญ่ไปให้แก่พรรคคอมมิวนิสต์ประเทศจีนมีส่วนสำคัญในการจัดการหยุดยั้งประเทศเวียดนามเหนือและเวียดกง ที่จะเคลื่อนพลเข้ามายึดประเทศไทย ทั้งนี้ทางจีนเองได้หยุดนโยบายให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ก่อกบฏในไทยไทยได้ช่วยเหลือประเทศจีนในการปรับปรุงความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านของไทยในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วยปัจจุบัน ประเทศไทยและจีนได้กลายเป็นหุ้นส่วนทางการค้าที่สำคัญมาก นอกจากนั้น ในทางการเมืองแล้วสถาบันฯของไทยได้ช่วยเหลือในการเพิ่มความสัมพันธ์ที่แน่นแฟนของทั้งสองประเทศเนื่องจากประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรชาวฮั่น (漢族) ที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทยจำนวนมาก (14% ของประชากรไทย[63]) ความสัมพันระหว่างคนทั้งสองชาติจึงเป็นไปอย่างใกล้ชิด ในช่วงปี 1985-1995 นักลงทุนไทยได้เริ่มเข้าไปลงทุนในประเทศจีน ในเวลาถัดมาช่วงปี1997 บริษัทของรัฐบาลจีนได้เข้ามาลงทุนในไทย
หอการค้ามณฑลเหอเป่ย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2000
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย สามารถนับย้อนกลับได้ยาวไกลถึง 600 ปี ปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์กับประเทศไทย ชาวญี่ปุ่นมักจะได้รับฟังว่า ระหว่างปีค.ศ.1609-1630 (พ.ศ. 2152 -2173) ซึ่งตรงกับสมัยเคโชถึงสมัยคังเอ ทั้งสองประเทศมีการติดต่อกัน มีการส่งเรือ "โกะชูอิน" เดินทางมาประเทศไทย เรื่องหมู่บ้านชาวญี่ปุ่นที่อยุธยา ซึ่งเป็นเมืองหลวงในขณะนั้น ตลอดจนเรื่องเกี่ยวกับบทบาทของชาวญี่ปุ่นในสมัยนั้น เช่น อะคุอุอิ สึมิฮิโร, ชิโรอิ คิวเอมอน และยามาดะ นางามาสะ สันนิษฐานว่าในสมัยดังกล่าว มีชาวญี่ปุ่นอาศัยอยู่ในเมืองไทยมากที่สุดถึงเกือบ 3,000 คน นอกจากการติดต่อแลกเปลี่ยนกันและกันในระดับประชาชนต่อประชาชนแล้ว ยังมีการแลกเปลี่ยนเครื่องบรรณาการและสาส์นระหว่างรัฐบาลโชกุนแห่งตระกูล "โตกุกาวะ" กับพระมหากษัตริย์แห่งอยุธยา แต่ไม่ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ จากการปิดประเทศในสมัยโชกุนอิเยะมิตสึ ทำให้การติดต่อกับต่างประเทศรวมถึงการติดต่อกับประเทศไทยได้หยุดชะงักลง แต่มีหลักฐานบันทึกไว้ว่า มีเรือสินค้าจากสยามเข้าเทียบท่าที่นางาซากิจนถึงปี ค.ศ.1756 (พ.ศ. 2299 ตรงกับปี โฮเรขิที่ 6) ประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นได้กลับมามีการติดต่อแลกเปลี่ยนกันใหม่อีกครั้ง ได้มีการลงนามในปฏิญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ระหว่างญี่ปุ่นและไทย ในวันที่ 26 เดือนกันยายน ปีค.ศ. 1887 (พ.ศ. 2430 ตรงกับปีเมจิที่ 20) นับเป็นเวลา 120 ปีก่อน เป็นการเริ่มความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอย่างเป็นทางการ ปฏิญญาฉบับนี้มีเนื้อหากระทัดรัดครอบคลุมว่า ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยจะสถาปนาสัมพันธภาพต่อกัน ส่งเสริมการค้าและการเดินเรือ และจะกำหนดรายละเอียดในสนธิสัญญา ที่จะจัดทำขึ้นในอนาคต ถือเป็นสัญญาฉบับแรกที่รัฐบาลญี่ปุ่นในสมัยเมจิ ได้ทำกับประเทศในเอเชียอาคเนย์ ปฏิญญาฉบับนี้ มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในปีต่อมาคือ ค.ศ.1888 (พ.ศ. 2431) หลังจากได้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันกันและกัน แต่กว่าที่อินางาขิ มันจิโร อัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยคนแรกจะเดินทางไปรับตำแหน่งเมืองไทย และพลตรี พระยาฤทธิรงค์รณเฉท อัครราชทูตไทยประจำญี่ปุ่นคนแรก จะเดินทางไปรับตำแหน่งที่ญี่ปุ่น ก็เป็นเวลา 10 ปีหลังจากมีการลงนามในปฏิญญา คือ ปี ค.ศ.1897 (พ.ศ. 2440 ปีเมจิที่ 30)[66]
ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยได้เริ่มสถาปนาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ และมีการติดต่อแลกเปลี่ยนทางการทูต เมื่อ 120 ปีมาแล้ว หลังจากที่ได้มีการลงนามในปฏิญญาทางพระราชไมตรีระหว่างญี่ปุ่นและไทย
ภายใต้สถานการณ์แห่งสงครามระหว่างญี่ปุ่นและจีนในเอเชีย และการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยุโรป ประเทศไทยมีนโยบายต่างประเทศที่จะไม่เข้าสู่สงคราม และพยายามรักษาเอกราชไว้ เพื่อสนองตอบนโยบายนี้ ประเทศไทยได้ทำสัญญาไม่รุกรานกันกับฝรั่งเศส และอังกฤษ ในวันที่ 12 เดือนมิถุนายน ปีค.ศ.1940 (พ.ศ. 2483 ปีโชวะที่15) และทำสนธิสัญญาว่าด้วยการจำเริญสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับญี่ปุ่น แต่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับฝรั่งเศสเลวร้ายลงเรื่อยๆ เนื่องจากปัญหาเขตแดนทางด้านอินโดจีน จนในที่สุดเกิดการสู้รบกับกองทัพของอินโดจีน-ฝรั่งเศส ในปีถัดมา คือ ปี ค.ศ. 1941 (พ.ศ. 2484) ไทยและอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส ได้บรรลุข้อตกลงในการสงบศึก ด้วยการไกล่เกลี่ยประนีประนอมของญี่ปุ่น และในเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกันนี้ ญี่ปุ่นและไทยได้ยกฐานะสถานอัครราชทูตขึ้นเป็นสถานเอกอัครราชทูต
จากสาเหตุที่ญี่ปุ่นได้ยกกองทัพเข้าไปในตอนใต้ของอินโดจีนของฝรั่งเศส ทำให้บรรยากาศในทวีปเอเชียตึงเครียดขึ้น นำไปสู่สงครามภาคพื้นแปซิฟิกในที่สุด ประเทศไทย ถึงแม้จะประกาศนโยบายเป็นกลาง แต่ก็ได้ยินยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านเข้าไปในเขตแดนไทยได้ในวันที่ 8 เดือนธันวาคม ปีค.ศ.1941 (พ.ศ. 2484) ในวันที่ 21 เดือนเดียวกันประเทศไทยได้ลงนามใน "กติกาสัญญาร่วมรุกร่วมรบระหว่างญี่ปุ่นกับไทย" และในวันที่ 25 เดือนมกราคม ปีค.ศ.1942 (พ.ศ. 2485) ก็ได้ประกาศสงครามกับอเมริกาและอังกฤษ และเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับญี่ปุ่น ไทยได้ลงนามใน "ข้อตกลงเงินเยนพิเศษ และการใช้จ่ายเงินเยนพิเศษ" ให้ความช่วยเหลือในการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคให้แก่กองทัพญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้นได้ลงนามใน "ข้อตกลงด้านวัฒนธรรมญี่ปุ่นและไทย" ประเทศไทยได้ขยายความร่วมมือกับญี่ปุ่นทั้งในด้าน การทหาร เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
แต่สิ่งที่ไทยปรารถนาอย่างแท้จริงคือ การรักษาความเป็นเอกราชของไทยไว้ ในการที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น ไทยต้องผ่านความยากลำบากมามากมาย ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ในการประชุมมหาเอเซียบูรพา ซึ่งญี่ปุ่นเป็นผู้เสนอให้ประชุมที่โตเกียว ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1943 (พ.ศ. 2486 ปีโชวะที่18) มีเพียงประเทศไทยเท่านั้น ที่ส่งบุคคลที่มิใช่นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุม คือพระองค์เจ้าวรรณไวทยากร แต่เดิมทรงเป็นที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศ และเพิ่งได้รับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นที่ปรึกษาคณะรัฐมนตรี หลังจากสงครามเกิดได้ไม่นาน ก็มีการจัดตั้งขบวนการ "เสรีไทย" โดยมี นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการ และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เป็นผู้นำ ขบวนการนี้ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ทางการทูตและนักศึกษา ที่ประจำและศึกษาอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ไทยดำเนินการทูตแบบสองด้านอันชาญฉลาด ในทางหนึ่งแสดงท่าทีให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่น แต่ในขณะเดียวกัน ก็สร้างสายสัมพันธ์กับฝ่ายสัมพันธมิตรไว้ด้วย และสนับสนุนขบวนการใต้ดินที่ต่อต้านญี่ปุ่น [67]
พื่อเป็นการสนองนโยบายของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ตัดสินใจยอมรับประกาศปอร์ตสดัม นายยามาโมโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยในขณะนั้น ได้เข้าพบ นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี ใน วันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ. 2488 ปีโชวะที่ 20) เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการเจรจาสงบศึกระหว่าง รัฐบาลญี่ปุ่นกับประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร ตามเงื่อนไขในกติกาสนธิสัญญาร่วมรุกร่วมรบระหว่างญี่ปุ่นและไทย มาตราที่ 4 ที่กำหนดไว้ว่าจะไม่เจรจาสงบศึกโดยลำพัง และในวันที่ 15 เดือนเดียวกันนั้น นายยามาโมโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ก็ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีของไทยอีกครั้งหนึ่ง เพื่อแจ้งว่าสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นได้ทรงประกาศพระราชโองการให้สงบศึก และพร้อมกันนี้ก็ได้ขอให้ฝ่ายไทยคิดหาหนทางดำเนินการเพื่อสันติภาพหลังสงครามตามแต่จะเห็นสมควรที่สุด
ดังนั้น ต่อมาในวันที่ 16 สิงหาคม รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศให้การประกาศสงครามต่ออเมริกาและอังกฤษ ที่ได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 25 มกราคม ปีค.ศ.1942 (พ.ศ. 2485 ปีโชวะที่ 17) นั้นป็นโมฆะ และในวันที่ 1 กันยายน รัฐบาลไทยได้สั่งให้สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นในประเทศไทย สถานกงสุลประจำกรุงเทพ และสถานกงสุลประจำสงขลา เชียงใหม่ พระตะบอง และภูเก็ต ปิดสถานที่ทำการ และยุติการดำเนินการทางทูต และพร้อมกันนี้ ได้แจ้งเรื่องการยกเลิก "สนธิสัญญา สัญญา ข้อตกลง" ต่างๆ ที่ทำขึ้นหลังสงครามเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1941 (พ.ศ. 2484) ให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบ ต่อมาในวันที่ 24 กันยายน ได้แจ้งให้ทราบเรื่องการยกเลิก "สนธิสัญญาว่าด้วยการจำเริญสัมพันธไมตรีระหว่างญี่ปุ่นกับไทย" ที่ทำขึ้นในปี ค.ศ.1940 (พ.ศ. 2483) รวมถึง "พิธีสารว่าด้วยหลักประกัน และความเข้าใจกันทางการเมือง" ที่ทำกับญี่ปุ่น ในการประชุมสงบศึกระหว่างไทยและฝรั่งเศสที่จัดขึ้นที่โตเกียวในปี 1941 (ไม่ได้มีการกล่าวถึง "สนธิสัญญาไมตรีทางการพาณิชย์และเดินเรือระหว่างญี่ปุ่นและไทย" ซึ่งได้ทำขึ้นในปี1937 (พ.ศ. 2480) แต่ในความเป็นจริง หลังสงครามภาคพื้นแปซิฟิกเป็นต้นมา สนธิสัญญานี้ก็ไม่มีผลบังคับใช้ ดังนั้น เมื่อมีการรื้อฟื้นสัมพันธไมตรีระหว่างและญี่ปุ่นและไทย ในปี 1952 (พ.ศ. 2495) จึงได้แลกเปลี่ยนบันทึกช่วยจำว่าด้วยการกำหนดให้สัญญาต่างๆนี้มีผลบังคับใช้ใหม่ ในปี ค.ศ.1972 (พ.ศ. 2515) รัฐบาลไทยได้แจ้งแก่ประเทศตะวันตกรวมทั้งญี่ปุ่น รวม 17 ประเทศ ถึงเรื่องการยกเลิกสัญญาว่าด้วยการพาณิชย์และการเดินเรือ และจนถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีการนำสัญญานี้กลับมาใช้ใหม่) [68]
ในเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ.1963 (พ.ศ. 2506 ปีโชวะที่ 38) หนึ่งปีหลังจากการแก้ไขปัญหาเงินกู้ยืมในสมัยสงครามได้สำเร็จลุล่วง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ ทั้งพระราชวงศ์ของญี่ปุ่นและประชาชนชาวญี่ปุ่นได้ถวายการรับเสด็จอย่างอบอุ่น และในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.1964 (พ.ศ. 2507 ปีโชวะที่ 39) เจ้าชายอากิฮิโต มกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยเจ้าหญิงมิชิโกะพระชายา ได้เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เป็นการตอบแทน หลังจากนั้น พระราชวงศ์ของประเทศทั้งสองได้แลกเปลี่ยนการเยี่ยมเยือนระหว่างกันเป็นการกระชับพระราชไมตรีระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2548 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่าทั้งสิ้น 41,132 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากมูลค่าการค้าสองฝ่ายเมื่อปีก่อน ร้อยละ 14.9 ซึ่งทางไทยได้ส่งออกไปยังญี่ปุ่นมูลค่า 15,096 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 และนำเข้าจากญี่ปุ่นมูลค่า 26,036 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8
สินค้าที่นำเข้าจากญี่ปุ่นมากที่สุด เช่น แผงวงจรไฟฟ้า ส่วนประกอบรถยนต์ เหล็กแผ่นรีดร้อน ไดโอด ทรานซิสเตอร์ ส่วนประกอบเครื่องยนต์ เครื่องจักรที่ทำงานเป็นเอกเทศ ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ เหล็กแผ่นชุบ รถบรรทุก แบบหล่อสำหรับโลหะและวัสดุ และอื่น ๆ
สินค้าส่งออกจากไทยมี เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ยางธรรมชาติ แผงวงจรไฟฟ้า ส่วนประกอบเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคม ไก่สดแช่เย็น เนื้อสัตว์ปรุงแต่ง อาหารทะเลแปรรูป ไดโอด ทรานซิสเตอร์ เครื่องรับโทรศัพท์และส่วนประกอบ เนื้อปลาสดแช่เย็น แช่แข็ง และอื่น ๆ
การลงทุนปีเมื่อปี 2548 ญี่ปุ่นได้ลงทุนในไทยมากเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 4,613.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 2,680.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2547 ซึ่งส่วนมากเป็นการลงทุนในสาขาผลิตภัณฑ์โลหะ รถยนต์ และเครื่องจักร คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 73.1 รองลงมาคือสาขาอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้อยละ 12.3 (ข้อมูลจากสำนักงาน BOI กรุงโตเกียว)
ภายหลังการศึกษาร่วมกันระหว่างฝ่ายไทยและญี่ปุ่นซึ่งมีผู้แทนภาครัฐ ภาคเอกชน และนักวิชาการเข้าร่วม ในช่วงปี 2545 - 2546 การเจรจาจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น จึงได้เริ่มอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2547 และหลังจากการเจรจาหลายครั้ง ไทยกับญี่ปุ่นสามารถบรรลุความตกลงในหลักการขององค์ประกอบที่สำคัญของ JTEPA ซึ่งนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศได้ร่วมกันประกาศการบรรลุความตกลงในหลักการดังกล่าวที่กรุงโตเกียวเมื่อ 1 กันยายน 2548 ความตกลง JTEP มีสาระครอบคลุม 21 บท ทั้งในด้านการเปิดเสรีการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน การเคลื่อนที่ของบุคคล และด้านความร่วมมือในสาขาต่างๆ อาทิ การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การท่องเที่ยว การส่งเสริมการค้าและการลงทุน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และการเกษตร
ประเด็นสำคัญที่ไทยผลักดันในการเจรจา ได้แก่ การเปิดเสรีสินค้าเกษตร การค้าบริการและการเคลื่อนที่ของบุคคล และการจัดตั้งกลไกถาวรเพื่อพิจารณาการจัดส่งแรงงานทักษะในสาขาที่ญี่ปุ่นต้องการและไทยมีศักยภาพ ขณะเดียวกัน ไทยได้เปิดเสรีเหล็ก ยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ และการค้าบริการสาขาต่างๆ อาทิ สาขาที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิต ในระดับและระยะเวลาทยอยเปิดเสรีที่เอกชนไทยน่าจะรับได้ เพื่อประโยชน์ในการปรับตัวของโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทย
นอกจากการลงนามในร่างความตกลงฯ แล้ว ไทยกับญี่ปุ่นได้ตกลงให้มีการลงนามในเอกสารเกี่ยวกับโครงการความร่วมมือ 7 เรื่อง ได้แก่ ความร่วมมือเพื่อสนับสนุนครัวไทยสู่โลก ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การอนุรักษ์พลังงาน เศรษฐกิจสร้างมูลค่า และหุ้นส่วนภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งเอกสารเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเกษตร
สำนักงานเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-ญี่ปุ่น กล่าวว่าการจัดทำหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่นน่าจะมีผลบวกทางด้านเศรษฐกิจต่อประเทศไทยอย่างมาก โดยในมิติยุทธศาสตร์จะทำให้ไทยเป็นหุ้นส่วนที่มีความเท่าเทียมใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับญี่ปุ่น ขณะที่ในมิติเศรษฐกิจ จะส่งผลในการขยายตลาดและยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรของไทยในญี่ปุ่น ทำให้สินค้าเกษตรของไทยเข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นได้มากขึ้น ตอกย้ำการเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในไทย สนับสนุนการปรับโครงสร้างเพื่อความสามารถในการแข่งขันในอนาคต และขยายโอกาสทางด้านตลาดแรงงานฝีมือของไทยในญี่ปุ่น และในมิติการพัฒนา จะช่วยยกระดับเทคโนโลยีและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
กลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชนได้กล่าวถึงผลกระทบรุนแรงด้านสิ่งแวดล้อมต่อประเทศไทยจากเรื่องขยะ ของเสียอันตรายที่เป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากความตกลงนี้ เช่น การใช้มาตรการปกป้องสองฝ่ายที่กำหนดไว้ใน JTEPA นั้น สามารถใช้ได้เพียงกรณีที่เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมภายใน ไม่ได้รวมถึงความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อม ดังนั้น หากมีปัญหามลพิษเกิดขึ้นจากการนำเข้าขยะของเสียอันตราย ก็ไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะใช้มาตรการปกป้องได้ [69]
ประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศไทย ผ่านความช่วยเหลือทางการเงินและเทคโนโลยี ญี่ปุ่นเริ่มความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีหลังจากการเข้าร่วมแผนการโคลัมโบในปี ค.ศ.1954 (พ.ศ. 2497) ความช่วยเหลือทางการเงิน เริ่มจากการจัดการปัญหาเงินกู้ยืมในระหว่างสงคราม (เงินกู้เงินเยนพิเศษ) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1955 (พ.ศ. 2498) ที่กล่าวถึงในข้างต้น ในปัจจุบันญี่ปุ่นให้ความช่วยเหลือทั้งในรูปแบบการให้กู้ และความช่วยเหลือทางการเงินแบบให้เปล่า และความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของไทย[70]
หลังจากพรรคก๊กมินตั๋งถอยหนีมาอยู่บนเกาะไต้หวัน ประเทศส่วนใหญ่ยังคงรักษาความสัมพันธ์กับรัฐบาลสาธารณรัฐจีนเอาไว้ แต่การรับรองสถานะก็ลดลงเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องเมื่อในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 มีหลายประเทศได้เปลี่ยนไปรับรองสถานะของสาธารณรัฐประชาชนจีนแทน ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้ยกเลิกความสัมพันธ์แบบทางการกับไต้หวันเนืองจากแรงกดดันจากจีนแผ่นดินใหญ่ โดยจีนแผ่นดินใหญ่มีนโยบาย 'จีนเดียว' เท่านั้นจึงสามารถดำเนินความสัมพันกับจีนแผ่นดินใหญ่ได้ แต่ยังคงมีการติดต่อเป็นปกติในด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การศึกษาวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และแรงงาน โดยมีช่องทางการติดต่ออย่างไม่เป็นทางการผ่านสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป (Taipei Economic and Cultural Office) ซึ่งเป็นตัวแทนของไต้หวัน ตั้งอยู่ที่ชั้น 20 เอ็มไพร์ทาวเวอร์ 195 ถนนสาธรใต้ และสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย (Thailand Trade and Economic Office) ไทเป เลขที่ 168, 12th Floor, Sung Chiang Road, Chungshan District, Taipei 104[71]
RC (Taiwan)ไต้หวันได้พยายามผลักดันความสัมพันธ์ทวิภาคีกับไทยระหว่างหน่วยงานภาครัฐมาตลอด ได้แก่
ชั่วคราว) ขณะนี้สองฝ่ายอยู่ระหว่างการพิจารณาภาคผนวกของร่างความตกลงตามแนวทางอนุสัญญาศุลกากรว่าด้วยเอกสารค้าประกันที่นำของเข้าชั่วคราว และจะได้มีการลงนามโดยผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการค้าของทั้งสองฝ่ายต่อไป[72]
ไทยและเกาหลีใต้ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระดับอัครราชทูตเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2501 และยกระดับขึ้นเป็นระดับเอกอัครราชทูตเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2503 เมี่อปี 2551 ไทยและเกาหลีใต้ได้ฉลองครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน มีการจัดกิจกรรมที่ครอบคลุมทุกมิติของความสัมพันธ์ภายใต้คำขวัญว่า “สานสายใยไทย-เกาหลี 50 ปีสู่อนาคต” หรือ 50 Years’ Friendship for the Future” กิจกรรมที่สำคัญได้แก่ งานเลี้ยงรับรอง (วันที่ 1 ตุลาคมที่โซล และ 2 ตุลาคม ที่กรุงเทพฯ) การแลกเปลี่ยนการแสดงทางวัฒนธรรม การสัมมนาทางวิชาการ การออกตราไปรษณียากรร่วม การเยือนของทหารผ่านศึกและการจัดสร้างอนุสาวรีย์ทหารไทยในสงครามเกาหลีที่นครปูซาน[75]
เมนูนำทาง
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย ความสัมพันธ์กับชาติในเอเชียตะวันออกใกล้เคียง
ความสนใจต่อสิ่งภายนอก-ความสนใจต่อสิ่งภายใน ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย ความสัมพันธ์สหราชอาณาจักร–สหรัฐ ความสามารถสั่งตายสุดโกงที่พวกต่างโลกเทียบไม่ติด ความสามารถของบุคคล ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น–ไทย ความสัมพันธ์ไทย–พม่า ความสัมพันธ์เนโท–สวีเดน ความสัมพันธ์จีน–ไทย ความสัมพันธ์ไทย–สหรัฐแหล่งที่มา
WikiPedia: ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย http://www.etaiwannews.com/etn/news_content.php?id... http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?m... http://www.prachatai.com/english/node/4318 http://www.thaibizchina.com/thaibizchina/th/thai-c... http://news.xinhuanet.com/english/2009-11/05/conte... http://www.th.emb-japan.go.jp/th/relation/index100... http://www.apecthai.org/apec/th/profile1.php?conti... http://www.thaiembassy.org/hague/th/relation/46486... http://www.thaiembassy.org/seoul/th/relation http://www.dtn.go.th/filesupload/files/country/asi...