ความไร้สัญชาติ (
อังกฤษ: statelessness) เป็นข้อความคิดทางกฎหมายซึ่งพรรณนาถึงการที่บุคคลไม่มี
สัญชาติ (nationality) ใด ๆ เลย กล่าวคือ สภาวะซึ่งบุคคลไม่เป็นที่รับรองว่าเกี่ยวข้องกับ
รัฐชาติรัฐใด ๆ เลย บุคคลเช่นนี้เรียก
คนไร้สัญชาติ (stateless person)ไร้สัญชาติ แบ่งเป็นสองลักษณะ คือเหตุผลที่บุคคลไร้สัญชาตินั้นมีอยู่มากมายทั่วโลก
[3] ปรกติแล้ว สัญชาติได้มาโดยหลักสองประการ คือ
หลักดินแดน (jus soli) กับ
หลักสืบสายโลหิต (jus sanguinis) หลักดินแดนระบุว่า บุคคลเกิดในดินแดนของรัฐใด ย่อมได้สัญชาติของรัฐนั้น ส่วนหลักสืบสายโลหิตว่า บิดามารดาถือสัญชาติใด บุคคลย่อมถือสัญชาติตามนั้นด้วย ปัจจุบัน รัฐส่วนใหญ่ใช้หลักทั้งสองนี้ควบคู่กัน และการขัดกันของกฎหมายสัญชาติก็เป็นสาเหตุหนึ่งของความไร้สัญชาติ เป็นต้นว่า แม้รัฐหลายรัฐจะเปิดให้บุคคลได้สัญชาติตามบุพการี ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเกิดที่ใดก็ตาม แต่หลายรัฐก็ยังไม่ยอมรับให้บุคคลได้สัญชาติจากมารดาซึ่งถือสัญชาติของตน
[4] ความขัดข้องนี้ส่งผลให้เกิด
อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (Convention on the Elimination of All Forms of Discrimination Against Women) ซึ่งห้ามเลือกปฏิบัติในการให้สัญชาติเพราะเหตุแห่งเพศ
[5]อีกเหตุหนึ่งของความไร้สัญชาติ คือ
การสืบทอดของรัฐ (state succession)
[6] ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ปรากฏว่า บุคคลกลายเป็นไร้สัญชาติ เพราะรัฐที่ตนถือสัญชาตินั้นสิ้นสุดลงหรือตกอยู่ในความควบคุมของรัฐอื่น และไม่มีรัฐใหม่มาสืบทอดต่อ ตัวอย่างที่แจ้งชัด คือ คราวที่
สหภาพโซเวียตและ
ยูโกสลาเวียล่มสลาย
[7][8][9]อนึ่ง ยังมีกรณีที่บุคคลสละสัญชาติของตนเองโดยสมัครใจ จึงเป็นเหตุให้บุคคลนั้นไร้สัญชาติ เช่น
แกรี เดวิส (Garry Davis) ที่เรียกตนเองว่า "พลเมืองโลก" (world citizen) แต่ปรกติแล้ว กฎหมายของรัฐส่วนใหญ่ในโลกนี้จะยอมให้ราษฎรของตนสละสัญชาติตนก็ต่อเมื่อได้สัญชาติใหม่แล้วอีกเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดความไร้สัญชาติ คือ กรณีที่บุคคลเป็นราษฎรของดินแดนซึ่งไม่เป็นรัฐ เป็นต้นว่า
ดินแดนปาเลสไตน์ ซาฮาราตะวันตก และ
ไซปรัสเหนือความไร้สัญชาตินั้นบังเกิดขึ้นมายาวนานหลายร้อยปี แต่ประชาคมระหว่างประเทศเพิ่งใฝ่ใจแก้ไขเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยเริ่มใน ค.ศ. 1954 เมื่อสหรัฐอเมริกาตกลงรับ
อนุสัญญาเกี่ยวกับสถานะของคนไร้สัญชาติ (Convention relating to the Status of Stateless Persons) ซึ่งวางกรอบการคุ้มครองคนไร้สัญชาติ เจ็ดปีให้หลัง คือ ค.ศ. 1961 จึงมีการทำ
อนุสัญญาว่าด้วยการลดความไร้สัญชาติ (Convention on the Reduction of Statelessness) ซึ่งประกอบด้วยข้อบทที่มุ่งหมายป้องกันและบรรเทาความไร้สัญชาติ ต่อมา ประชาคมระหว่างประเทศและระหว่างภูมิภาคได้ทำสนธิสัญญาเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนอีกหลายฉบับเพื่อวางมาตรการพิเศษเกี่ยวกับกลุ่มบุคคลไร้สัญชาติ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กกำหนดให้รัฐที่ผูกพันตนตามอนุสัญญานี้ต้องรับรองว่า เด็กทุกคนจะมีสัญชาติ เพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก
[10][11]อย่างไรก็ดี การไม่อาจพิสูจน์สัญชาติ เช่น เข้าเมืองโดยไม่มีเอกสาร (undocumented immigrant) ไม่นับว่าไร้สัญชาติ แต่การขาดหนังสือสำคัญบางอย่าง เช่น สูติบัตร อาจนำไปสู่ความไร้สัญชาติได้ บุคคลหลายล้านคนบนโลกนี้ใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีหนังสือสำคัญ เป็นเหตุให้ระบุสัญชาติแน่นอนไม่ได้ และประสบความยากลำบากในการดำรงชีวิต เพราะมิรู้ที่จะแสวงหาความคุ้มครองโดยอาศัยความเป็นพลเมืองของรัฐใด
[12]