ประวัติ ของ คิทแคท

ในยุคศตวรรษที่ 18 คำว่า "คิทแคท (Kit Kat หรือ Kit Cat)" ใช้เป็นชื่อเรียกอาหารชนิดหนึ่ง แต่ก่อนเคยมีการประชุมทางการเมืองที่คิท-แคท คลับในลอนดอน แล้วมีการเสิร์ฟพายเนื้อแกะ เรียกเมนูนั้นว่า คิทแคท

ปี 1911 ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ"คิทแคท" เมื่อโรวน์ทรี บริษัททำขนมหวานตั้งอยู่เมืองยอร์ค ประเทศอังกฤษ ใช้ชื่อ "คิทแคท (Kit Kat และ Kit Cat)" ในตอนแรกชื่อนี้ยังไม่ได้ใช้กันเท่าไหร่นัก จนกระทั่งช่วงปี 1920 มีคิทแคทแบบแรกออกมา, เมื่อโรวน์ทรีเปิดตัวขนมกล่องช็อคโกแลต ตั้งชื่อว่า "คิทแคท" มีการผลิตจำหน่ายต่อเนื่องจนถึงช่วงปี 1930 โรวน์ทรีก็หันมาให้ความสนใจกับสินค้าผลิตภัณฑ์ "แบล็คเมจิค" และ "ไดอารี่ บ๊อกซ์ (Dairy Box)" แทน ด้วยการทำโปรโมชั่นสินค้าตัวนี้มาแทนที่คิทแคท ทำให้คิทแคทจำหน่ายได้น้อยลงมากจนต้องหยุดกระบวนการผลิตในที่สุด[2] คิทแคทบาร์แบบที่ประกอบไปด้วยเวเฟอร์สี่ชิ้นแบบดั้งเดิม เกิดขึ้นมาจากคนงานคนหนึ่งที่โรงงานโรวน์ทรีที่ยอร์คได้เขียนแสดงความคิดเห็นว่า อยากได้ขนมแบบที่ "สามารถพกใส่กระเป๋าไปที่ทำงานได้".[3] คิทแคทบาร์นี้เปิดตัวเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 1935 ภายใต้ชื่อ "โรวน์ทรี ช็อคโกแลตกรุบกรอบ (โรวน์ทรี ช็อคโกแลต คริสป์)" (ราคา 2d) วางจำหน่ายที่ลอนดอนและทางใต้ของอังกฤษ[4]

ในปี 1937 ผลิตภัณฑ์ "โรวน์ทรี ช็อคโกแลตกรุบกรอบ (โรวน์ทรี ช็อคโกแลต คริสป์)" ภายหลังเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า "คิทแคท ช็อคโกแลตกรุบกรอบ (คิทแคท ช็อคโกแลต คริสป์)" แทน ในปีเดียวกันนี้ 'คิทแคท (Kit Kat) ' เริ่มใช้กลยุทธในการโฆษณาโดยการเอาคำว่า "พัก (Break)" มาใช้[2] ในปี 1942 โทนสีและรสชาติเปลี่ยนไปตามเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากเกิดสภาวะอาหารขาดแคลน จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสูตรอาหาร รวมถึงรสชาติของ "คิทแคท" ก็เปลี่ยนจะ "เข้ม" กว่าเดิม ส่วนห่อผลิตภัณฑ์ใช้สีน้ำเงินแทน และไม่มีคำว่า "ช็อคโกแลตกรุบกรอบ (ช็อคโกแลต คริสป์)" แล้ว[5] หลังจากสงครามยุติ บนห่อผลิตภัณฑ์เปลี่ยนมาใช้ชื่อ "คิทแคท (Kit Kat)" และกลับไปใช้สูตรที่ผสมนม รวมถึงสีห่อผลิตภัณฑ์ก็เป็นสีแดงเหมือนเดิม

4-finger Kit Kat

ช่วงปี 1940 หลังจากที่ประสบความสำเร็จในอังกฤษ ก็มีการส่งออกคิทแคทไปแคนาดา, แอฟริกาใต้, ไอร์แลนด์, ออสเตรเลีย, และนิวซีแลนด์ ในปี 1958, โดนัลด์ กิลเลส (ผู้บริหารของเจดับบลิวที ออแลนด์) ได้คิดประโยคโฆษณาที่ติดหูมาก ซึ่งก็คือ "คิดจะพัก คิดถึงคิทแคท (Have a Break, Have a Kit Kat)" ในช่วงปี 1970 เมื่อโรวน์ทรีสร้างโรงงานกระจายสินค้าแห่งใหม่ที่เยอรมันเพื่อเป็นศูนย์กลางในการกระจายสินค้าออกสู่ยุโรปทั้งหมด นั่นหมายความว่า ธุรกิจของคิทแคทเติบโตขึ้นมาก รวมถึงมีการตกลงร่วมกันเพื่อขยายแบรนด์ไปสู่ตลาดของสหรัฐอเมริกาและจีนผ่านบริษัทเฮอร์ชี่และฟูจิยา ตามลำดับ[2] ช่วงเดือนมิถุนายน ปี 1988 เนสท์เล่ได้สิทธิ์ของคิทแคทจากการซื้อโรวน์ทรีทั้งหมด ทำให้เนสท์เล่ได้เป็นผู้ควบคุมดูแลทุกอย่างของคิทแคท ยกเว้นคิทแคทในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น,[6] การผลิตและการกระจายสินค้าขยายโตขึ้นมากเพราะมีโรงงานในญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังเพิ่มการผลิตในมาเลเซีย อินเดีย และจีน[2]

ตั้งแต่ปี 1970 บริษัทเฮอร์ชี่มีสิทธิ์ในการผลิตคิทแคทบาร์ในสหรัฐอเมริกา เพราะเฮอร์ชี่บังคับใช้ข้อตกลงทางกฎหมายที่มีกับโรวน์ทรี ส่วนเนสท์เล่ ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกันเหมือนกัน จำต้องยอมรับข้อบังคับทางกฎหมายเมื่อคราวที่ซื้อกิจการของโรวน์ทรีมาในปี 1988 ซึ่งในตอนนั้นมีการอนุญาตให้เฮอร์ชี่มีส่วนในลิขสิทธิ์ของคิทแคทจนกว่าจะมีการขายกิจการเฮอร์ชี่ ทั้งนี้คิทแคทเป็นหนึ่งในห้าอันดับสินค้าฮิตของเฮอร์ชี่ในส่วนตลาดของสหรัฐอเมริกา ด้วยเหตุนี้ทำให้คิทแคทไม่เป็นที่สนใจของการซื้อขายบริษัทในปี 2002[7][8]

ในปี 1996 ช็อคโกแลตบาร์หลากหลายรสชาติวางจำหน่าย "คิทแคทรสส้ม" รสชาติแรกที่ออกมา วางจำหน่ายครั้งแรกที่อังกฤษ ประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้มีการคิดค้นรสชาติใหม่ๆออกมาอีก เช่น รสมิ้นท์ และราสคาราเมล ในปี 1999 มีการเปิดตัว "คิทแคทชังกี้" เป็นที่นิยมมากไปทั่วโลก "คิทแคท" มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งช่วงทศวรรษที่ 20 เมื่อปี 2000 เนสท์เล่ได้ส่วนแบ่งของกิจการฟูจิย่าที่ญี่ปุ่น มีการขยายส่วนตลาดทั้งที่ญี่ปุ่น รัสสเซีย ตุรกี และเวเนซูเอล่า รวมถึงส่วนตลาดในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก[2] ตลอดทั้งสิบปีนี้ 'คิทแคท' ออกรสชาติต่างๆมามากมายเพื่อเจาะตลาดในแต่ละกลุ่มผู้บริโภค มีการฉลองครบรอบ 75 ปีเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ปี 2009

ช็อคโกแลตบาร์แบบดั้งเดิมประกอบด้วยเวเฟอร์สี่แท่ง แต่ละแท่งกว้างประมาณ 1 ซม. (0.4 นิ้ว) ยาว 9 ซม. (3.5 นิ้ว) บาร์แบบเวเฟอร์สองแท่งเปิดตัวในช่วงปี 1930 และกลายเป็นรสชาติยอดนิยมตั้งแต่นั้นมา[4] ในปี 1999 "คิทแคท ชังกี้" (ที่อเมริกาใช้ชื่อ "บิ๊กแคท" หรือ "คิทแคท เอ็กตร้าคริสปี้") เป็นแท่งเวเฟอร์ขนาดใหญ่ กว้างประมาณ2.5 ซม. (1 นิ้ว) คิทแคทบาร์จะประกอบด้วยเวเฟอร์กี่แท่งนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการในตลาด มีตั้งแต่ขนาดเล็กครึ่งหนึ่งของขนาดปกติ "คิทแคท เปอตี" ที่วางขายในญี่ปุ่น, ขนาดเวเฟอร์สามแท่งที่วางขายในอราเบีย, ขนาดสิบสองแท่งเวเฟอร์พอดีสำหรับทั้งครอบครัววางขายในออสเตรเลียและฝรั่งเศส คิทแคทบาร์ที่ออกจำหน่ายจะมีแบบแยกเป็นแพ็ค, แบบเป็นกล่อง, และแบบหลายแพ็ค ในไอร์แลนด์ อังกฤษและอเมริกามี คิทแคทไอศครีมวางจำหน่าย ส่วนที่ออสเตรเลียและมาเลเซีย มี"คิทแคท ดรัมสติ๊ก"

เมื่อปี 2010 เนสท์เล่ในเมืองยอร์คมีการเพิ่มไลน์การผลิตสินค้าใหม่ทุ่มงบ 5 ล้านปอนด์ ซึ่งสามารถผลิตคิทแคทบาร์เพิ่มได้มากกว่าพันล้านแท่งต่อปี[9]

แหล่งที่มา

WikiPedia: คิทแคท http://www.android.com/kitkat/ http://www.boston.com/news/local/articles/2005/05/... http://www.brandchannel.com/features_profile.asp?p... http://www.brandrepublic.com/bulletins/digital/art... http://eatocracy.cnn.com/2012/02/02/how-did-kit-ka... http://www.cnn.com/2010/WORLD/asiapcf/03/19/indone... http://www.confectionerynews.com/Markets/Nestle-qu... http://www.easier.com/29099-a-low-calorie-treat-fr... http://abcnews.go.com/WNT/Business/story?id=950088... http://www.hersheys.com/kitkat.aspx