จอกศักดิ์สิทธิ์ (
อังกฤษ: Holy Grail) เป็นภาชนะซึ่งเป็นแกนเรื่องสำคัญใน
วรรณกรรมอาเธอร์ ตำนานหลายเรื่องพรรณนาว่า เป็นถ้วย ชาม หรือศิลา ซึ่งมีอำนาจเหนือธรรมชาติบันดาลให้เกิดความสุข ความเยาว์วัยชั่วนิรันดร์ หรือชีวิตอมตะ คำว่า "จอกศักดิ์สิทธิ์" ยังมักใช้เรียกสิ่งของหรือเป้าหมายที่ไขว่คว้าหากันเพราะเชื่อว่า มีความสำคัญยิ่งยวด
[1]การกล่าวถึง "จอก" วิเศษ แม้ไม่ปรากฏชัดว่า ศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือไม่นั้น ปรากฏครั้งแรกในนิยายวีรคติเรื่อง
แปร์เซอวัลเลอกงต์ดูกราล (Perceval, le Conte du Graal; "
แปร์เซอวาลตำนานจอก") ผลงานซึ่งเขียนไม่เสร็จของ
เครเตียง เดอ ทรัว (Chrétien de Troyes) ในราว ค.ศ. 1190
[2] ในเอกสารนี้ ภาชนะดังกล่าวเป็น "ถาด" (salver) สำหรับเชิญอาหารในงานเลี้ยง
[3] เอกสารของเครเตียงนำไปสู่การเล่าต่อ แปลความ และตีความ อีกมากมายในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 จนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ในจำนวนนี้รวมถึงผลงานของ
วอลฟรัม ฟอน เอสเชนบัค (Wolfram von Eschenbach) ซึ่งเข้าใจไปว่า "จอก" เป็น "ศิลา"
[4] ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 นั้นเอง
โรแบร์ เดอ โบรง (Robert de Boron) เขียนผลงานชื่อ โฌเซฟดารีมาตี (Joseph d'Arimathie) ว่า จอกนี้เป็นภาชนะที่
พระเยซูทรงใช้เสวย
พระกระยาหารมื้อสุดท้าย แล้ว
โยเซฟชาวอาริมาเธียใช้รอง
พระโลหิตของพระองค์ขณะทรงถูก
ตรึงกางเขน หลังจากนั้น เรื่องราวของจอกศักดิ์สิทธิ์ก็ผสมปนเปไปกับตำนานเรื่อง
ถ้วยศักดิ์สิทธิ์ (Holy Chalice) อันเป็นภาชนะในพระกระยาหารมื้อสุดท้าย
[5]นักวิชาการสันนิษฐานกันมานานแล้วว่า เครเตียงไม่ใช่คนแรกที่คิดค้นเรื่องจอกศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่ เพราะเนื้อเรื่องดูจะมีองค์ประกอบจากตำนานเรื่องหม้อกายสิทธิ์ใน
เทพปกรณัมเคลต์ประสมกับตำนานในศาสนาคริสต์ซึ่งเกี่ยวข้องกับ
พิธีมหาสนิท[6] โดยเฉพาะตำนานเรื่องหลังนี้พบมากในแหล่งข้อมูลจาก
คริสตจักรตะวันออก และแม้กระทั่งในแหล่งข้อมูลจาก
เปอร์เซีย[7]