ประวัติ ของ จักรวรรดิญี่ปุ่น

เบื้องหลัง

บากูมัตสึ

ดูบทความหลักที่: บากูมัตสึ
ผู้แทนจากรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะในการเข้าเจรจาติดต่อกับประเทศตะวันตกกองเรือของพลเรือแมทธิว ซี. เพร์รีแห่งสหรัฐอเมริกา ทำการปิดอ่าวบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ

หลังจากญี่ปุ่นได้สิ้นสุดยุคสงครามกลางเมืองในยุคเซ็งโงกุโทกูงาวะ อิเอยาซุ ได้ขึ้นมามีอำนาจและตั้งรัฐบาลเอโดะที่ปกครองโดยระบอบโชกุน (บากูฟุ) มีอภิสิทธิ์ให้ตระกูลโทกูงาวะผลัดขึ้นเป็นโชกุนต่อเนื่องกันหลายชั่วอายุคน โดยที่จักรพรรดิญี่ปุ่นทรงไม่มีพระราชอำนาจทางการเมือง รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะได้ให้ประเทศญี่ปุ่นดำเนินนโยบายปิดประเทศหรือซาโกกุ, เป็นระยะเวลาเกือบ 200 หรือกว่าสองศตวรรษ ภายใต้ระบอบการปกครองของเหล่าโชกุน แห่งยุคเอะโดะ จนอำนาจรัฐบาลโชกุนมาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อญี่ปุ่นโดนเรือรบอเมริกานำโดยพลเรือแมทธิว ซี. เพร์รี ยกกองเรือมาปิดปากอ่าวบังคับให้ทำสนธิสัญญายอมเปิดประเทศ รัฐบาลโชกุนของญี่ปุ่นถูกบังคับให้เปิดประเทศเพื่อการค้าโดยการทำสนธิสัญญาคานางาวะ ในปี ค.ศ. 1854 ทำให้รัฐบาลโทกูงาวะเริ่มเสื่อมอำนาจลง ดังนั้นจึงเริ่มเรียกระยะเวลาในช่วงนี้ว่าบากูมัตสึ

ในปีต่อ ๆ มามีการค้าและการติดต่อกับต่างประเทศเพิ่มขึ้น ได้มีการทำสนธิสัญญาการค้าระหว่าง รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะและเหล่าประเทศตะวันตกจากยุโรป ส่วนใหญ่เนื่องจากเงื่อนไขที่น่าอับอายของสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้ทำให้ชาวญี่ปุ่นเริ่มเกิดกระแสต่อต้านชาวต่างชาติและฟื้นฟูระบอบจักรพรรดิ รัฐบาลโชกุนที่เอะโดะในไม่ช้าก็เผชิญหน้ากับความเป็นปรปักษ์ภายในซึ่งปรากฏเป็นขบวนการความเคลื่อนไหวความเกลียดกลัวต่างชาติอย่างรุนแรง หรือที่เรียกว่า ซนโนโจอิ (แปลว่า "ฟื้นฟูพระราชอำนาจจักรพรรดิ ขับไล่ชาวต่างชาติ (ตะวันตก)").[2]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1863 จักรพรรดิญี่ปุ่นทรงออก "พระราชโองการขับไล่คนป่าเถื่อน" แม้ว่าโชกุนจะไม่มีความตั้งใจที่จะบังคับใช้ระเบียบ แต่ก็เป็นแรงบันดาลใจในการโจมตีรัฐบาลโชกุนเองและชาวต่างชาติในญี่ปุ่น เหตุการณ์นามามูกิ ในช่วงปี ค.ศ. 1862 นำไปสู่การฆาตกรรมของชาวอังกฤษ ชาร์ล เลนน็อกซ์ ริชาร์ดสัน โดยกลุ่มซามูไรจากแคว้นซัตสึมะ อังกฤษเรียกร้องค่าชดเชย แต่ถูกปฏิเสธ ในขณะที่พยายามที่จะจ่ายเงินที่แน่นอนกองทัพเรือราชนาวีอังกฤษก็ถูกยิงจากชายฝั่งใกล้เมืองคาโงชิมะ อังกฤษจึงตอบโต้ด้วย ใช้เรือปืนใหญ่ทำการระดมยิงที่ท่าเรือคาโงชิมะ ในปี ค.ศ. 1863 รัฐบาลโทกูงาวะตกลงที่จะจ่ายค่าชดเชยสำหรับการเสียชีวิตของริชาร์ดสัน[3] อย่างไรก็ตามชาวญี่ปุ่นยังเกิดกระแสต่อต้านชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ได้มีการยิงเรืของชาวต่างชาติที่ท่าเรือชิโมโนเซกิและการโจมตีต่อทรัพย์สินของชาวต่างชาติ กลุ่มประเทศตะวันตกจึงได้รวมเป็นพันธมิตรตอบโต้ญี่ปุ่นกลับนำไปสู่การระดมยิงเมืองชิโมโนเซกิ โดยกองทัพพันธมิตรตะวันตกในปี ค.ศ. 1864.[4] แคว้นโชชู ยังเริ่มทำการรัฐประหารที่ล้มเหลวที่เรียกว่า เหตุการณ์คินม่อน พันธมิตรซัตโช หรือ พันธมิตรแคว้นซัตสึมะแคว้นโชชู ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1866 เพื่อรวมความพยายามในการโค่นล้มรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะ และถวายพระราชอำนาจคืนแก่องค์สมเด็จพระจักรพรรดิ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1867 จักรพรรดิโคเมเสด็จสวรรคตและถูกแทนที่โดยพระโอรสของพระองค์ เจ้าชายมัตสึฮิโตะเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิเมจิ

ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 รัฐบาลโชกุนมิอาจทนต่อแรงกดดันของชาวญี่ปุ่นได้ โชกุนคนสุดท้าย โทกูงาวะ โยชิโนบุตัดสินยอมวางมือทางการเมืองโดยการประนีประนอม ลาออกจากตำแหน่งและถวายคืนอำนาจบางส่วนของเขาไปยังพระจักรพรรดิเมจิ อีกทั้งยังตกลงที่จะ "เป็นเครื่องมือสำหรับการดำเนินการ" ตามคำสั่งของจักรพรรดิ[5] รัฐบาลโชกุนโทกูงาวะจึงยอมผ่อนปรนอำนาจในระดับหนึ่ง[6][7] อย่างไรก็ตามในขณะที่การลาออกของโชกุนโยชิโนบุได้สร้างโมฆะเล็กน้อยในระดับสูงสุดของรัฐบาลเครื่องมือของรัฐยังคงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลโชกุนโดยเฉพาะตระกูลโทกูงาวะยังคงเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาระบบการเมืองและยังคงมีอำนาจบริหารมากมาย[8] พันธมิตรซัตสึมะ-โชชูเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ในการประนีประนอมและเห็นว่าควรตัดอภิสิทธิ์เหล่าตระกูลโทกูงาวะให้หมดไป[9]

ในวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1868 กองทัพพันธมิตรซัตสึมะ-โชชูได้บุกยึดพระราชวังหลวงเกียวโตในกรุงเกียวโต, และในวันถัดมาจักรพรรดิเมจิผู้ทรงพระเยาว์ในวัย 15 ชันษา พระองค์ได้ประกาศการฟื้นฟูพระราชอำนาจของพระองค์เองเพื่อให้ระบอบจักรพรรดิกลับมามีอำนาจเต็ม แม้ว่าสภาที่ปรึกษาของจักรพรรดิส่วนใหญ่มีความสุขกับการประกาศอย่างเป็นทางการของการปกครองโดยตรงโดยราชสำนักและมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนความร่วมมืออย่างต่อเนื่องกับโชกุนโทกูงาวะ ไซโง ทากาโมริ ผู้เลื่อมใสในระบอบจักรพรรดิได้ขู่ว่าการชุมนุมในการยกเลิกตำแหน่ง โชกุน' และสั่งให้ริบที่ดินของโชกุนโยชิโนบุ[10]

ในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1868 โชกุนโยชิโนบุประกาศว่า "เขาจะไม่ถูกผูกมัดโดยคำแถลงเกี่ยวกับการฟื้นฟูพระราชอำนาจและเรียกร้องต่อราชสำนักให้ยกเลิกการกระทำดังกล่าว"[11] เมื่อวันที่ 24 มกราคม โชกุนโยชิโนบุได้รวบรวมผู้จงรักภักดีต่อระบอบโชกุนตัดสินใจเตรียมโจมตีกรุงเกียวโต เพื่อปราบปรามผู้คิดฟื้นฟูระบอบจักรพรรดิซึ่งครอบครองโดยกองกำลังพันธมิตรซัตสึมะและโชชู การตัดสินใจครั้งนี้ได้รับการกระตุ้นเตือนจากการเรียนรู้ของเขาเกี่ยวกับการลอบวางเพลิงการโจมตีในเอโดะ เริ่มต้นจากการเผาไหม้ของปราสาทเอโดะซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยหลักของโชกุนโทกูงาวะ

สงครามโบชิน

ดูบทความหลักที่: สงครามโบชิน
การรบทางทะเลที่ฮาโกดาเตะระหว่างฝ่ายจักพรรดิกับฝ่ายโชกุนซามูไรของแคว้นซัตสึมะ ฝ่ายนิยมจักรพรรดิในระหว่างสงครามโบชิน

(ญี่ปุ่น: สงครามโบชิน โรมาจิ戊辰戦争 ทับศัพท์โบชินเซ็นโซ) ได้เริ่มต่อสู้ระหว่างเดือนมกราคม ค.ศ. 1868 และพฤษภาคม ค.ศ. 1869 การเป็นพันธมิตรของซามูไรจากทางใต้และทางตะวันตกและตอนนี้ขุนนางของราชสำนักได้ประกันความร่วมมือของจักรพรรดิเมจิที่ยังทรงเยาว์วัยที่ทรงสั่งให้ยกเลิกและล้มล้างระบอบโชกุนโทกูงาวะที่ปกครองญี่ปุ่นมาเกือบ 200 ปี

โชกุนโทกูงาวะ โยชิโนบุได้เริ่มเปิดฉากการโจมตีทางทหารเพื่อยึดราชสำนักของสมเด็จพระจักรพรรดิที่กรุงเกียวโต อย่างไรก็ตามความได้เปรียบและกระแสความนิยมจากชาวญี่ปุ่นก็หันไปหากลุ่มจักรพรรดิที่มีขนาดเล็กกว่าแต่ค่อนข้างทันสมัย และเต็มไปด้วยกลุ่ม ไดเมียว ที่แปรพักตร์ไปเข้าข้างฝ่ายฟื้นฟูพระราชอำนาจจักรพรรดิ ในยุทธการโทบะ–ฟูชิมิเป็นชัยชนะที่เด็ดขาดของฝ่ายนิยมจักรพรรดิที่ประกอบไปด้วยกำลังผสมจากแคว้นโชชู แคว้นซัตสึมะและแคว้นโทซะ ที่เอาชนะกองทัพของผู้นิยมระบอบโชกุนโทกูงาวะลงได้[12] การต่อสู้แบบต่อเนื่องถูกต่อสู้ระหว่างฝ่ายจักรพรรดิและฝ่ายโชกุน; จนในที่สุดกองทัพฝ่ายโชกุนที่ยังหลงเหลืออยู่ได้ยอมจำนนต่อกองกำลังของสมเด็จพระจักรพรรดิและหลังจากนั้นโชกุนโยชิโนะบุก็ขอยอมจำนนโดยการส่วนตัว เขาถูกปลดออกจากอำนาจทั้งหมดโดยสมเด็จพระจักรพรรดิเมจิและขณะเดียวกันชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ได้ให้การยอมรับการปกครองของจักรพรรดิเท่ากับการฟื้นฟูระบอบจักรพรรดิได้สมบูรณ์แล้ว

ใกล้เคียง

จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิญี่ปุ่น จักรวรรดิบริติช จักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิมองโกล จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จักรวรรดิโรมัน จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล: เฟสสอง จักรวรรดิรัสเซีย

แหล่งที่มา

WikiPedia: จักรวรรดิญี่ปุ่น http://www.boston.com/news/nation/washington/artic... http://archives.cnn.com/2001/WORLD/asiapcf/east/03... http://findarticles.com/p/articles/mi_qa3693/is_20... http://news.naver.com/news/read.php?mode=LSD&offic... http://history.hanover.edu/texts/1889con.html http://www.mofa.go.jp/mofaj/annai/honsho/shiryo/qa... http://www.city.tsuruga.lg.jp/sypher/free/kk-museu... http://www.comfort-women.org/ https://books.google.com/books/about/A_History_of_... https://books.google.com/books?id=4N0oXNN7dcoC&pg=...