จักรวรรดิดัตช์ (
อังกฤษ: Dutch Empire) เป็นหนึ่งใน
จักรวรรดิอาณานิคมของโลกที่เป็นดินแดนโพ้นทะเลของ
สาธารณรัฐดัตช์ซึ่งได้ประกาศเอกราชจากจักรวรรดิสเปน และเป็นมหาอำนาจทางทะเลเช่นเดียวกับ สเปน โปรตุเกสและสหราชอาณาจักร ประกอบด้วยดินแดนโพ้นทะเลและสถานีการค้าที่ควบคุมโดยบริษัทเอกชนของดัตช์ (ส่วนใหญ่คือ
บริษัทอินเดียตะวันตกและ
บริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์) ซึ่งต่อมาควบคุมโดย
สาธารณรัฐดัตช์ และ
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ตามลำดับ
[1] ในช่วงแรก อาณานิคมของดัตช์เริ่มต้นมาจากจุดประสงค์ทางการค้ามากกว่าการขยายอาณาเขตดินแดน มีการสร้างป้อมปราการริมฝั่ง โรงงาน ท่าเรือ และไม่ครอบครองพื้นที่มากนักเพื่อเลี่ยงการใช้จ่ายงบประมาณที่ไม่จำเป็นในการบริหารอาณานิคม
[2] เน้นการแลกเปลี่ยนค้าขายกับชนพื้นเมืองดั้งเดิม ยกเว้นในเคปโคโลนี(ปัจจุบันคือ
แอฟริกาใต้)และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์(ปัจจุบันคือ
อินโดนีเซีย)ที่มีการขยายอาณาเขตเข้าไปในดินแดนเพื่อปกครองชาวอาณานิคมความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมต่อเรือของชาวดัตช์มีส่วนสำคัญในการขยายอาณาจักรการค้าระหว่างยุโรปกับโลกตะวันออก แต่เดิมนั้นบริษัทการค้าในยุโรปมีขนาดเล็ก ไม่มีเงินทุนและกำลังคนมากพอที่จะดำเนินงานในระดับใหญ่ รัฐสภาเนเธอร์แลนด์มอบสิทธิ์ขาดให้บริษัทเอกชนคือคือ
บริษัทอินเดียตะวันตกและ
บริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ดำเนินการค้า โดยมีอำนาจสูงเกือบเทียบเท่ารัฐบาล มีความสามารถที่จะเข้าร่วมสงคราม สั่งจำคุกประประหารชีวิตนักโทษ เจรจาสนธิสัญญา และจัดตั้งอาณานิคมเองได้
[3] นับว่าเป็นบริษัทการค้าทางทะเลที่ใหญ่และกว้างขวางมากที่สุดในขณะนั้น
[4] ขยายเส้นทางการค้าไปถึงทวีปอเมริกาใต้ผ่าน
ช่องแคบมาเจลลันทางตะวันออกของแอฟริกาผ่าน
แหลมกู๊ดโฮป มีเงินทุนไหลเวียนมหาศาล ทำให้กรุง
อัมสเตอร์ดัมก็ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางการเงินของยุโรป จนมีนักเศรษฐศาสตร์หลายคนถือให้เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศระบอบทุนนิยมประเทศแรกของโลก
[5] นำมาสู่ยุครุ่งเรืองที่เรียกว่า
ยุคทองของเนเธอร์แลนด์ในศตวรรษที่ 17
[6]แต่เมื่อเข้าสู่คริสต์ศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิดัตช์เริ่มเสื่อมลงจากผลของสงครามอังกฤษ-ดัตช์ครั้งที่ 4 ในช่วงปี ค.ศ. 1780 ถึง 1784 เป็นผลให้จักรวรรดิดัตช์สูญเสียอาณานิคมจำนวนมากให้กับ
จักรวรรดิบริติช[7] และมาเสียดินแดนเป็นบริเวณกว้างช่วงหลัง
สงครามโลกครั้งที่สองที่มีการเรียกร้องเอกราชในดินแดนอาณานิคมทั่วโลก