ประวัติศาสตร์ ของ ชาวยิว

ตามคัมภีร์โตราห์ของศาสนายูดาย (พระคริสตธรรมคัมภีร์เดิม) ซึ่งเป็นคัมภีร์ศาสนาของชาวยิวหรือชาวฮิบรู กล่าวว่าประวัติศาสตร์ของชาวยิวและศาสนานี้เริ่มต้นที่ชายชื่อ อับราฮัม (นบีอิบรอฮีม) ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองคลาเดียบาบิโลน ณ ขณะนั้นเมืองสำคัญต่าง ๆ มีการนับถือรูปเคารพ และเทพเจ้าของตนเอง แต่อับราฮัมคิดว่าพระเจ้าที่แท้จริงจะมีเพียงพระองค์เดียว เขาได้พบพระเจ้า และพระองค์ทรงให้อับราฮัมและครอบครัวจึงได้ออกเดินทางไปยังแผ่นดินแห่งพันธสัญญา ที่พระองค์จะประทานให้เขาและเชื้อสายของเขา จึงเป็นจุดเริ่มต้นของเชื้อชาติอิสราเอล และ ศาสนาใหม่ที่รู้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงเที่ยงแท้พระองค์เดียว

ไบเบิลและอัลกุรอานได้บอกเล่าเรื่องของ ชาวยิวหรือลูกหลานของอิสราเอล ซึ่งเป็นบุตรของยิตซ์ฮาก (นบีอิสฮาก) บุตรของอับราฮัม เริ่มจากอับราฮัมได้ลูกชายตามที่พระเจ้าทรงประทานให้ที่กำเนิดกับนางซาร่าชื่อว่าอิสอัคหรือไอเซ๊ค (Isaac) ซึ่งอิสอัคต่อมาได้มีบุตร 2 คนคือ เอซาว และจาขอบ (Jacob) โดยเฉพาะจาขอบ (นบียะห์กูบ) ผู้เป็นน้องได้พบชายคนหนึ่งที่เปนีเอล เขามองไม่เห็นใบหน้าแต่ปล้ำสู้จนเกือบรุ่งสาง และจาขอบได้ถามชื่อบุรุษผู้นั้นไม่ตอบ แต่เขาได้บอกว่าแต่นี้ต่อไปจาขอบจะได้ชื่อใหม่ว่าอิสราเอล ซึ่งหมายถึงผู้ที่ปล้ำสู้พระเจ้า และก่อนที่จาขอบจะปล่อยชายคนนั้นไปจาขอบบอกว่า "โปรดอวยพรให้เขาก่อนแล้วจึงจะปล่อย" ซึ่งจาขอบหรือชื่อใหม่ว่าอิสราเอล เขามั่นใจว่าเขาพบพระเจ้าจริง ๆ

เชื้อสายจาขอบหรืออิสราเอลมี 12 คน หนึ่งในนั้นคือโยเซฟ (นบียูซุฟ) ไปอยู่ที่อาณาจักรของชาวอียิปต์ แต่ต่อมาสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป ลูกหลานของอิสราเอลได้ถูกกดขี่จนกระทั่งต้องกลายเป็นทาสรับใช้ถึง 400 ปี ช่วงนั้นจะเรียกเชื้อสายอิสราเอลว่าฮีบรู จนกระทั่ง โมเสส (นบีมูซา) ลูกชาวฮีบรูที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยภรรยของฟาโรห์จนกลายเป็นเจ้าชายแห่งอียิปต์ ได้รับบัญชาจากพระเจ้าให้ปลดแอกชาวยิวในอียิปต์โดยให้พาชาวอิสราเอลหรือฮีบรู ออกเดินทางจากเมือง เพื่อกลับไปยังปาเลสไตน์แผ่นดินแห่งพันธสัญญา แม้จะถูกกองทัพแห่งอียิปต์ขัดขวาง แต่พระเจ้าได้เปิดทะเลแดง โดยผ่านไม้เท้าของโมเสส ให้ชาวอิสราเอลผ่านไปไดด และกลับไหลท่วมทหารอียิปต์ที่ตามมาโจมตี จากนั้นระหว่างทางที่โมเสสพาชาวฮีบรูกลับไปยังแผ่นดินแดนของบรรพบุรุษ เขาไปพบกับพระเจ้าบนภูเขาไสไน (ซีนาย) และได้รับบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้า แต่เนื่องจากชาวอิสราเอลไม่ปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้า จึงถูกลงโทษให้หลงทางในทะเลทรายเป็นเวลา 40 ปี หลังจากที่เดินทางกลับเข้าสู่คานาอันหรือดินแดนแห่งพันธสัญญาแล้ว โมเสสได้เสียชีวิตลง แต่ลูกหลานชาวฮีบรูก็ได้อาศัยอยู่ในเมืองคานาอันหรืออิสราเอลต่อมา

ชนชาติอิสราเอลได้ก่อสร้างชาติจากชนเผ่าเชื้อสายของจาขอบหรืออิสราเอลทั้ง 12 เผ่า ช่วงนั้นจะเรียกว่า เลวี เบนยามิน และยูดาห์ กษัตริย์เดวิดก็กำเนิดในชนเผ่านี้ ชนชาติฮิบรูในช่วงที่มีกษัตริย์ได้ตกเป็นทาสของบาบิโลน และเปอร์เซีย และหลังจากถูกจับเป็นเชลยอยู่หลายปีได้เดินทางกลับไปสร้างชาติอีกครั้ง จนมาถึงสมัยพันธสัญญาใหม่ กองทัพโรมมหาอำนาจของโลกได้เข้ายึดกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงสุดท้ายก่อนอิสราเอลจะสิ้นชาติ พระคริสต์ได้ประสูติ และบอกว่าพระองค์คือบุตรของพระเจ้า จนนำไปสู่การตรึงกางเขนโดยสาวกของพระองค์ที่ชื่อยูดัส เอสคาริโอ

ซึ่งในตอนนั้นก่อนที่ชนชาติอิสราเอลจะสิ้นชาติในปีคริสต์ศักราช 70 ชาวอิสราเอล หรือ ฮีบรู ที่เชื่อในพระคริสต์จะถูกแยกออกจากชาวอิสราเอลที่นับถือลัทธิยูดาย และการประกาศพระกิติคุณพระเจ้าได้อนุญาตให้ชาวต่างชาติเชื่อในพระองค์ ซึ่งอิสราเอลในตอนนั้นเขาเชื่อว่าเขาคือชนชาติที่พระเจ้าเลือก และ รู้จักพระเจ้า ชาวต่างชาติเป็นแค่สุนัขตัวหนึ่งไม่สมควรที่จะรู้จักพระเจ้าผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ คำว่ายิวจึงน่าจะเริ่มมีการถูกเรียกกันในช่วงนั้น ซึ่งหมายถึงเป็นเชิงต่อต้านพวกอิสราเอลในด้านความเชื่อ สังคม และ อะไรหลาย ๆ อย่าง เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลไม่ได้บันทึกหรือเขียนคำว่ายิวเลย นอกจากคำว่า พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล หรือ ชนชาติฮีบรู คำว่ายิวนั้น มาจากพวกฮีบรูเผ่ายูดา [Judah tribe] ที่อาศัยอยู่แผ่นดินยูเดีย [Judea] แถวเยรูซาเลมก่อน อาณาจักรยูดาจะล่มสลาย

หลังจากโรมเข้าถล่มเยรูซาเล็มจนพินาศแล้ว ชาวอิสราเอลได้กระจัดกระจายไปสู่ในที่ต่าง ๆ ซึ่งตรงตามพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ดาบจะไล่ตามหลังพวกยิว ส่วนดินแดนคานาอันแผ่นดินน้ำผึ้งและน้ำนมบริบรูณ์นี้จะแห้งแล้ง และถูกเปลี่ยนมือหลายครั้งไม่ว่า อาณาจักรโรม อาณาจักรคอนสแตนติน และกองทัพมุสลิมเข้ายึดครอง สงครามแย่งชิงแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์นี้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจะเป็นชาวยิว เช่น สงครามครูเสด ซึ่งแต่ละครั้งทำให้ชาวยิวได้ตกไปเป็นเชลย ต้องถูกฆ่า และต้องอพยพไปอยู่ในประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ ทั้งในยุโรป เอเชีย และทวีปอเมริกา แต่ชาวยิวก็ยังยึดมั่นในพันธสัญญาระหว่างพวกเขาและพระเจ้า ที่ว่า พระเจ้าจะนำพวกเขากลับไปยังดินแดนที่พระเจ้าเลือกไว้ คือ อิสราเอล

ชาวยิวในประวัติศาตร์ได้รับความทุกข์ทรมารจากสงครามมากมายหลายครั้ง ไม่ว่าจากกองทัพบาบิโลน เปอร์เซีย กองทัพโรม สงครามศักดิ์สิทธิ์ แต่ครั้งที่สำคัญและโลกไม่สามารถลืมความโหดร้ายได้คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิว ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยฮิตเลอร์และพรรคนาซี ซึ่งยิวถูกฆ่าไปทั้งหมด ประมาณ 4 ล้านคน

ในที่สุดความพยายามของชาวยิวที่จะก่อตั้งรัฐอิสระ ก็ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลอังกฤษซึ่งในตอนนั้นอังกฤษมีอิทธิพลในดินแดนปาเลส์ไตน์ อนุญาตให้ชาวยิวให้กลับเข้าไปในปาเลสไตน์อีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งก็คือประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน พวกเขาได้ใช้ข้อความในพระคัมภีร์ มาอ้างความเป็นเจ้าของซึ่งชนพื้นเมืองที่มีอยู่ก่อนคือชาวปาเลสไตน์และชาวอาหรับในละแวกนั้นไม่เห็นด้วย จนเกิดความรุนแรงทุกรูปแบบในการต่อสู้ให้ได้มาซึ่งแผ่นดินแห่งนี้

ที่น่าทึ่งคือพวกเขาก่อร่างสร้างเมือง เปลี่ยนทะเลทรายที่แห้งแล้งให้เป็นพื้นที่การเกษตรเขียวชะอุ่มตรงตามพระคำภีร์ไบเบิ้ลที่บอกว่าพวกเขาจะกลับมารวมชาติและทำให้ดินแดนนี้มีชีวิตอีกครั้ง ทุกวันนี้หนุ่มสาวชาวอิสราเอล ต่อสู้เพื่อปกป้องและขยายดินแดนไปอาณาจักรที่อยู่ใกล้เคียงหลายต่อหลายครั้งโดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา

แม้ในปัจจุบันก็ยังมีกรณีพิพาทในดินแดนฉนวนกาซ่าและเขตชายฝั่งตะวันตก (เวสแบงค์) ระหว่างชาวยิวและชาวอาหรับ ซึ่งสหประชาชาติล้มเหลวอย่างสมบูรณ์ ทุกวันนี้ก็ยังหาข้อยุติ หรือจะเห็นสันติภาพยังนับว่าห่างไกลเหลือเกิน

ภาษาของชาวยิวคือภาษาฮิบรู และยังใช้เป็นภาษาในพิธีกรรมทางศาสนาของหมู่ชาวยิวตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในปัจจุบัน