เมนูนำทาง
ชาวโยดะยา ประวัติปี พ.ศ. 2088 ในรัชสมัยพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ อาณาจักรอยุธยาส่งทัพมาตีเมืองทวายในช่วงที่พระองค์กำลังตีเมืองยะไข่ พระองค์จึงเสด็จกลับราชธานีแล้วส่งทัพลงไปเมืองทวายทันที ทัพอยุธยาถอยร่นไปที่เมืองตะนาวศรี พม่าจับเชลยสยามได้จำนวนหนึ่ง[26][27] ต่อมาวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2091 พระองค์ส่งทัพบุกกรุงศรีอยุธยา สามารถจับพระราชอนุชา พระราชโอรส และพระชามาดาของกษัตริย์อยุธยาไปด้วย พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ทรงมีพระราชโองการให้ยึดอาวุธและกระสุนปืน ทรงให้เหล่าข้าราชบริพารจับเชลยสยามทั้งชายหญิงไปเป็นรางวัลของตน ภายหลังกษัตริย์อยุธยาขอหย่าศึก พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้จึงส่งเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์กลับอยุธยาในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2091[26][27]
ต่อมาในรัชกาลพระเจ้าบุเรงนอง ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2097 แต่ทางการอยุธยากลับไม่ส่งตัวแทนเข้าเฝ้าในพระราชพิธี สร้างความไม่พอพระทัยยิ่งนัก เพราะทรงถือว่าอยุธยาเป็นประเทศราชของพม่า การกระทำเช่นนี้ทรงถือว่าเป็นกบฏ[26][27] พระองค์ทรงยกพลขึ้นเหนือเข้าทางอาณาจักรล้านนาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2100 แล้วยกทัพมาตีอยุธยาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2106 ต่อมาสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงประกาศยอมแพ้เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2107 พระเจ้าบุเรงนองจึงเสด็จกลับพม่าเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2107 พร้อมกับเชลยสยามจำนวนหนึ่ง อันได้แก่ นักแสดงชายหญิง, สถาปนิก, ศิลปิน, ช่างเหล็ก, ช่างไม้, ช่างผม, คนครัว, ช่างทองแดง, ช่างย้อมสี, ช่างทอง, ช่างเครื่องเขิน, หมอช้าง, หมอม้า, นักระบำ, ช่างสี, ช่างน้ำหอม (ช่างปรุงเครื่องร่ำ), ช่างเงิน, ช่างสลักหิน, ช่างสลักปูนปั้น, ช่างแกะสลักไม้, ช่างแต่งเครื่องไม้ และช่างกลึงไม้ เมื่อเสด็จถึงหงสาวดีอันเป็นราชธานีเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2106 ทรงให้ช่างฝีมือเหล่านี้ตั้งถิ่นฐานภายในราชธานี[26][27]
ต่อมาในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2111 พระเจ้าบุเรงนองทำสงครามกับกรุงศรีอยุธยาอีกครั้ง แต่คราวนี้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2111 และเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2112 ชาวอยุธยาจำนวนมากถูกจับไปหงสาวดี ต่อมาพระเจ้าบุเรงนองทำสงครามรบกับอาณาจักรล้านช้าง ก็พบว่ามีทัพสยามจากอยุธยาอันได้แก่ ทัพช้าง 300 เชือก, ทัพม้า 1,500 ตัว และไพร่พลอีก 30,000 คนเข้าร่วมทัพพม่า[28][29]
วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2089 มีคณะทูตจากศรีลังกามาถึงเมืองพะสิม โดยขอให้กษัตริย์พม่าส่งทัพไปช่วยปราบพวกเดียรถีย์ในศรีลังกา พระเจ้าบุเรงนองจึงส่งทัพไป 2,000 คน ในจำนวนนี้เป็นชาวอยุธยา 100 คน เมื่อพวกเดียรถีย์ทราบกิตติศัพท์ของทัพพม่านี้ก็เกรงกลัวและประกาศยอมแพ้โดยไม่ทำการรบ[28][29]
นอกจากชาวอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนแล้ว ยังมีชาวอยุธยาที่สมัครใจเข้าร่วมกับพม่า ดังปรากฏใน พระบรมราชโองการพม่า ความว่า[30][31]
"ชาวอยุธยา 50 คนเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภาร พระเจ้าบุเรงนองโปรดให้ประจำกองม้า ให้นะ พราน สาน (Na Pran San) เป็นหัวหน้า ประทานที่ดินในการดูแลของนะ กุลา (Na Kula) เป็นที่พำนักทำการเพาะปลูก อีกกลุ่ม 125 คนมีไร นันดา (Rai Nanda) ให้อยู่ในกองม้าด้วย ยกหมู่บ้านกุกุย โกง (Kukkui Kon) บริเวณบ้านมเยะ ดุ (Mre Du) ประทานให้ไป"
และปรากฏในพงศาวดารอีกว่า[32][33]
"สะ ละ วัต (Sa La Wat) พร้อมด้วยช้าง 5 เชือก และชาวอยุธยา 100 คนมาถึงพระนครเมื่อ 28 กรกฎาคม 2238 และเข้ารับราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว [พม่า]"
นอกจากนี้ยังมีชาวอยุธยาถูกขายเป็นทาสในตลาดเบงกอล ในหนังสือ City of Djinns ของวิลเลียม ดัลริมเพิล (William Dalrymple) อ้างจากจดหมายเหตุเก่าช่วงรัชกาลจักรพรรดิออรังเซพซึ่งครองประเทศร่วมสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชของอยุธยา ความว่า ในตลาดเก่าเดลี "...มีนางทาสเขมรจากแดนเลยแม่น้ำอิรวดี..." (Khmer girl concubines from beyond the Irawady) และกล่าวอีกว่า จักรพรรดินีโมกุลเสด็จ "ประทับบนหลังช้างมหึมาจากกรุงหงสาวดี" (mounted on a stupendous Pegu elephant) ไมเคิล ไรท์อธิบายว่านี่อาจจะเป็นนางทาสและช้างดีจากกรุงศรีอยุธยา[34]
ทัน ทุนได้สรุปเกี่ยวกับชาวอยุธยาในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ว่า "บรรดาเชลยสงครามและช่างฝีมืออยุธยาถูกจับไปพม่า พวกเชลยเหล่านี้ถูกใช้ให้ไปทำไร่ไถนา บางส่วนก็ถูกส่งไปขายเป็นทาสในตลาดเบงกอล แต่เนื่องจากชื่อเสียงในความเก่งกล้าและความจงรักภักดี บางคนได้โปรดให้เป็นทหารรักษาประตูวังและประตูเมือง พวกช่างฝีมือเข้ารับราชการในราชสำนักโดยเฉพาะ บางครั้งก็มีการลุกฮือของทาสพวกนี้ แต่ส่วนใหญ่ก็ปราบได้โดยง่าย...พวกที่เป็นชาวไร่ชาวนานั้นถูกส่งไปทางเหนือ (โมนยวา, มินบู, ปะกัน, ซะไกง์, ชเวโบ และตะแย) พวกนี้ผสมปนเปไปกับชนพื้นเมืองโดยง่าย และภายในหนึ่งหรือสองชั่วอายุคนต่อมา ก็จะลืมเทือกเถาเหล่ากอว่ามาจากอยุธยาหมด"[35][36]
ในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้ามังระทรงยึดกรุงศรีอยุธยาได้ สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์เสด็จสวรรคต พม่าได้ทำการเผากรุงศรีอยุธยาปล้นชิงทรัพย์สินในพระนคร บังคับราษฎรทั้งภิกษุทั้งฆราวาสให้แจ้งที่อยู่ทรัพย์สิน ผู้ขัดขืนต้องเผชิญโทษทัณฑ์ต่าง ๆ แล้วให้จับผู้คน รวมถึงพระราชวงศ์ ข้าราชการ สมณะ ไปคุมขังไว้ โดยพระสงฆ์ให้กักไว้ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ส่วนฆราวาสให้ไว้ตามค่ายของแม่ทัพนายกองทั้งหลาย[37] คำนวณแล้ว ปรากฏว่า เชื้อพระวงศ์ถูกกวาดต้อนไปกว่า 2,000 พระองค์[38] รวมจำนวนผู้ถูกพม่ากวาดต้อนไปนั้นมากกว่า 30,000[14][39][40]– 100,000 คน[41][42] อันรวมไปถึงสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรและกรมขุนวิมลพัตร[43] เชลยส่วนใหญ่คือประชากรที่อยู่รายรอบกรุงศรีอยุธยา ได้แก่ อ่างทอง, สิงห์บุรี, สุพรรณบุรี, กาญจนบุรี, ชัยนาท, อุทัยธานี, นนทบุรี, ปราจีนบุรี, และธนบุรี[44] มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาถูกกวาดต้อนไปด้วย เป็นต้นว่าบุคคลเชื้อสายเปอร์เซียและพราหมณ์[45][46] ดังปรากฏใน พระราชพงศาวดารพม่า ความว่า "...สั่งให้เผาพระนครและปราสาททั้ง ๓ องค์ และให้เผาอารามและวิหารเสียให้หมดด้วย และสั่งให้ทำลายกำแพงเมือง และบรรดาเข้าของที่มีอยู่ในกรุงศรีอยุธยา มีพระไตรปิฎก คือ พระธรรมวินัย เป็นต้น สั่งให้ทำลายเสียแล้วก็กลับมายังพระนครแห่งตน..."[47] ทำให้เกิดภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด มีราษฎรอยุธยาจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตจากการสู้รบ ป่วยไข้ หรืออดอาหารตายจำนวนมากถึง 200,000 คน[40][42] ด้วยเหตุนี้ราษฎรอยุธยาจำนวนมากอพยพหนีพม่าไปไกลถึงเมืองเขมรและเมืองพุทไธมาศ เฉพาะเมืองพุทไธมาศมีคนไทยอาศัยรวมกันกว่า 30,000 คน[48] และมีชาวเมืองสวรรคโลกอพยพเข้าไปเมืองเชียงใหม่ ซึ่งขณะนั้นเป็นประเทศราชของพม่า[49] นอกจากจะกวาดต้อนผู้คนจากกรุงศรีอยุธยาแล้ว พระเจ้ามังระยังทรงกวาดต้อนเชลยสยามจากเมืองสุโขทัย, สวรรคโลก และพิษณุโลกเข้าสู่อาณาจักรเป็นจำนวนมาก[6][7][50] ส่วนใน พงศาวดารเมืองสงขลา ระบุไว้อีกว่า "...พม่าตีแตกมากระทั่งถึงเมืองชุมพร ไชยา พวกกองทัพมากวาดเอาครอบครัวไทยไปเป็นอันมาก..."[51]
และยังพบว่าชาวสยามจำนวนไม่น้อยเข้ากับฝ่ายพม่า เพราะทางการอยุธยานั้นขาดประสิทธิภาพในการปกครอง ดังปรากฏในบันทึกบาทหลวงฝรั่งเศสว่า "...เกิดเสียงลือกันขึ้นด้วยว่ากองทัพพม่าเต็มไปด้วยคนไทยซึ่งได้รับความเดือดร้อน เอาใจออกห่างจากไทยไปเข้ากับพม่า..."[52] ส่วน มหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า กล่าวไว้ว่า "...พวกพลทหารพลเมืองอยุทธยาทั้งปวงก็ได้รับความคับแค้นอดอยากคับแค้นอยู่ทุกผู้ทุกคนแล้วจึงได้เข้ามาอ่อนน้อมสวามิภักดิ์ที่กองทัพเราทุกวันมิได้ขาด เราก็ได้ทราบกิจราชการของพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาหมดแล้ว..."[40]
ต่อมาเชลยชาวสยามและชาวยวนนั้น ทางการพม่าได้จัดให้ตั้งบ้านเรือนในตำบลระแหงใกล้คลองชเวตชอง ส่วนตำบลมินตาซุใต้คลองชเวตชองได้ให้เจ้านายยวนและอยุธยาประทับ[53] ซึ่งชุมชนชาวอยุธยานั้นมีขนาดใหญ่พอสมควรจึงเกิดเป็นย่านโยดะยา, ตลาดโยดะยา และศาลพระรามขึ้นในชุมชน[53] ดังปรากฏใน พระราชพงศาวดารโกนบอง ความว่า[54]
วัดโยดะยาในป่าช้าล้านช้าง เมืองอมรปุระ ซึ่งสันนิษฐานว่าถูกสร้างขึ้นในจุดถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร[55] แต่เป็นที่ถกเถียง เพราะหลักฐานพม่ากล่าวเพียงว่าได้ถวายพระเพลิงสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรที่ป่าช้าล้านช้างเท่านั้น[56][57]"...ครั้นพระเจ้าช้างเผือกอังวะทรงได้อาณาจักรอยุธยาอันไพศาล มีแดนอยุธยา โยนก สมพระทัยแล้ว พระองค์มิได้ทอดทิ้งให้เหล่าพระมเหสี พระราชธิดา พระราชกนิษฐา และพระราชนัดดาของเจ้าพระนครอยุธยาให้ได้ยาก พระองค์โปรดให้กักตัวไว้ให้อยู่แต่บริเวณเรือนภายในราชธานี แล้วมอบหมายให้เหล่าอำมาตย์พม่าเป็นผู้ถวายงานกันไปแต่ละพระองค์ พระราชโอรส พระราชอนุชา และพระราชนัดดาล้วนเป็นชาย พระองค์โปรดจัดที่พำนักในเรือนชั้นนอก และพระราชทานอาหาร เสื้อผ้าและเครื่องอุปโภคบริโภคต้องตามธรรมเนียมไทยจนพอเพียง ขึ้นชื่อว่าอำมาตย์ ผู้ดี ไพร่ ที่เป็นชาวอยุธยา กษัตริย์พม่าโปรดจัดย่านให้ตั้งบ้านเรือนอยู่กินอาศัยสิ้น..."
เชลยชาวอยุธยาเหล่านี้ได้ตั้งชุมชนตามหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งในเมืองอังวะ อมรปุระ และมัณฑะเลย์ ซึ่งมีตั้งแต่บรรพชิต ช่างฝีมือต่าง ๆ นักดนตรี และนาฏกร[13] เจ้านายอยุธยาพระองค์อื่น ๆ ก็ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากกษัตริย์พม่า[42] โดยสามารถแบ่งเชลยออกเป็นสามกลุ่มหลักดังนี้[20][58]
ส่วนสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร อดีตพระมหากษัตริย์อยุธยาซึ่งผนวชเป็นสมณเพศนั้นทรงจำพรรษา ณ ตึกปองเล[54] ดังปรากฏใน จารึกเจดีย์ทรายมหาวาลุกะ ความว่า[6][7]
"...ราว พ.ศ. ๒๓๑๐ พระเจ้าช้างเผือก ตั้งพระนครอยู่ที่เมืองอังวะ เมื่อชาวเชลยจากอยุธยา สุโขทัย และเชียงใหม่ถูกจับกุมมาที่นี่ รวมทั้งพระราชวงศ์ ขุนนางต่าง ๆ ก็ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ห่างจากนครอังวะที่ระแหงและมินตาซุใกล้กับคลองที่เรียกว่าชเวตชอง รวมทั้งเจ้าฟ้าดอก กษัตริย์ผู้ต้องนิราศจากราชบัลลังก์ พระองค์อุปสมบทเป็นพระภิกษุจำพรรษาอยู่ที่วัดปองเล และสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๙..."
ด้วยเหตุนี้สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรในสมณเพศจึงกลายเป็นที่พึ่งทางใจของเชลยอยุธยาในพม่ามาแต่นั้น[59]
ในช่วงสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีการก่อตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีใหม่ ชาวไทยในปริมณฑลของกรุงศรีอยุธยา เป็นต้นว่า กำแพงเพชร พิษณุโลก สวรรคโลก และระแหงราวสามแสนคนอพยพไปกรุงอังวะ เพราะได้ยินข่าวลือว่าทหารของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีออกสังหารคนตายเกลื่อนท้องนา[59] ในขณะที่เชลยอยุธยาในกรุงอังวะเองก็มิได้ชื่นชมในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีผู้เคยเป็นข้าเก่าของกษัตริย์อยุธยาเท่าไร ด้วยเห็นว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหนีออกจากพระนครเพื่อไปตั้งค่ายต่างหาก พวกเขาจึงรู้สึกไม่มั่นใจที่จะกลับไปพึ่งพระบารมีของกษัตริย์ใหม่[59]
ทั้งนี้ยังมีเชลยอยุธยาบางส่วนได้มีโอกาสหวนกลับมาตุภูมิอีกครั้ง ดังกรณีของพระสัมพันธวงศ์เธอ กรมขุนรามินทรสุดา พระภาติยะในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชซึ่งพลัดพรากบ้านเกิดไปบวชชีอยู่เมืองทวายเนื่องจากตกเป็นเชลย ภายหลังทรงได้รับการช่วยเหลือจากมังจันจ่าสามารถกลับมาตุภูมิได้สำเร็จ[60][61] ส่วนอีกกรณีหนึ่งคือมหาโคและมหากฤชซึ่งกลับมาแผ่นดินไทยหลังพลัดพรากไปสี่สิบปี ต้องทนรอนแรมเดินทางอย่างยากลำบากกลับเข้าไทย โดยกล่าวว่าที่กลับมาแผ่นดินเกิดเพราะ "คิดถึงบ้าน"[62]
แม้จะมีบางส่วนพยายามหาทางกลับมาตุภูมิ แต่ก็มีเชลยอยุธยาจำนวนไม่น้อยที่พึงใจในอิสระเมื่อได้อยู่ในเขตขัณฑ์ของพม่าแม้ในช่วงที่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกไปแล้วก็ตาม เพราะพวกเขาสามารถประกอบสัมมาอาชีพเลี้ยงดูตนเอง และมิต้องคอยทำงานถวายแก่เจ้านายสยาม ดังปรากฏใน เอกสารเฮนรี เบอร์นี เล่ม 1 ซึ่งเฮนรี เบอร์นี ทูตอังกฤษที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับสยาม ได้กล่าวถึงเชลยอยุธยาที่อยู่ในพม่า ความว่า[63]
"...นอกจากนี้ข้าพเจ้า [เฮนรี เบอร์นี] ยังเคยได้ยินคนกล่าวว่า ถ้าหากให้เชลยทั้งสอง [คือเชลยพม่าในสยาม และเชลยสยามในพม่า] เลือกตามชอบว่าจะกลับบ้านเกิดเมืองนอนของตนหรือไม่ ก็จะปรากฏว่าพวกเชลยสยามที่เราจับได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ถูกพม่าจับได้มาแต่ก่อนจะเลือกอยู่ที่เดิมไม่กลับกรุงสยาม เพราะอยู่ที่นั่นต่างก็ทำงานหาเลี้ยงตนเองได้ แต่ถ้าหากกลับมาอยู่กรุงสยามแล้วต้องทำงานให้แก่เจ้านายหรือแก่พระเจ้าอยู่หัว แต่ในทำนองตรงกันข้าม เชลยพม่าที่ถูกคนสยามจับมาได้ จะอยากกลับไปอยู่กับรัฐบาลอังกฤษด้วยเหตุผลแบบเดียวกัน..."
เมื่อคราวที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเยือนประเทศพม่า ทรงพบกับเจ้าหญิงตะรังงา (Hyayanga) เจ้านายพม่าที่มีเจ้าจอมมารดาสืบสันดานมาจากเจ้านายอยุธยา ตามพระนิพนธ์ในหนังสือ เที่ยวเมืองพม่า ความว่า "...พระองค์หญิงดาราตรัสบอกว่าเธอเป็นเชื้อไทย ด้วยสกุลจอมมารดาของเธอเป็นไทย ผู้ใหญ่เล่ากันมาว่าต้นสกุลเป็นเจ้าชาย [ถูกกวาด] ไปจากกรุงศรีอยุธยาแต่ยังเยาว์ ถ้าเช่นนั้นคิดตามเวลา พระองค์เจ้าหญิงดาราก็คงเป็นชั้น ๔ หรือชั้น ๕ ต่อมาจากต้นสกุล..."[64][65]
ผู้สืบเชื้อสายชาวสยามจากอยุธยาได้กลืนหายไปกับชาวพม่าซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่และหันไปใช้ภาษาพม่าและวัฒนธรรมพม่า เชลยอยุธยาที่อาศัยอยู่ริมคลองชเวตชองซึ่งอาศัยร่วมกับชาวไทใหญ่, ไทยวนและล้านช้างได้แต่งงานผสมปนเปกัน ปัจจุบันผู้ที่ถือตัวว่าเป็นชาวโยดะยาจะมีเชื้อสายไทใหญ่อยู่ด้วย วัฒนธรรมและวิถีชีวิตก็จะเป็นแบบไทใหญ่มากกว่าโยดะยา[66] ส่วนวัฒนธรรมไทยที่ยังคงดำรงอยู่ในยุคก่อนตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษนั้นคือโขนละครในราชสำนัก เช่นรามเกียรติ์และอิเหนา จนได้รับความนิยมในกลุ่มเจ้านายพม่า[67] แต่หลังจากที่พม่าตอนเหนือถูกรวมเข้ากับอังกฤษ คณะละครเหล่านี้ก็แตกฉานซ่านเซ็น บ้างก็ออกไปตั้งคณะละครของตนเอง บ้างก็ไปถวายงานให้เจ้าฟ้าไทใหญ่[68] หรือบางส่วนก็เลิกเป็นละครไปเลย ซึ่งละครเหล่านี้ไม่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนสมัยใหม่[68]
นายแพทย์ทิน มอง จี หนึ่งในลูกหลานโขนละครชาวสยามที่อาศัยในมัณฑะเลย์ มักได้ยินปู่เล่าให้ฟังเสมอว่า "อย่าลืมว่าเธอเป็นคนไทย"[6][7] ขณะที่ดอเนวอู นักข่าวชาวพม่าคนหนึ่ง ก็เคยฟังยายชื่อดอตาวเล่าเรื่องราวเก่า ๆ ว่าตระกูลของตนมีเชื้อสายตูเก๊าหรือผู้ดีจากอยุธยา โดยมีบรรพบุรุษเป็นหญิงชื่อแม่ประดู่[69] ลูกหลานของชาวอยุธยาในพม่านี้ไม่เข้าในลัทธิรักชาติของไทย[70][71] แต่พวกเขายังรำลึกอยู่ว่าไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง[6][7] ลูกหลานอยุธยาสูญหายไปเกือบหมดแล้ว หลายคนย้ายออกจากถิ่นฐานเดิมและแต่งงานผสมปนเปไปกับชาวพม่า[6][7] คงเหลือแต่ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในวัดที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมไว้ผมจุกและแกละ[2] สถาปัตยกรรมภายในวัด[72] และศาลพระราม[6][7] ขณะที่วัฒนธรรมอื่น ๆ เช่น เพลงโยดะยา, จิตรกรรมโยดะยา และอาหารการกินแบบโยดะยายังคงอยู่ไม่หายไปไหน[73]
อู จี โก นักวิชาการพม่าได้ค้นพบชุมชนโยดะยาแห่งหนึ่งชื่อบ้านซูกา (มาจากคำบาลีว่า สุขะ) ในเมืองมัณฑะเลย์ เมื่อปี พ.ศ. 2556[2] เดิมเป็นหมู่บ้านของเชลยอยุธยาที่ประดิษฐ์ดอกไม้ไฟ ซึ่งอาจเป็นหมู่บ้านอยุธยาเพียงแห่งเดียวที่ยังรักษาสายเลือดอยุธยาไว้ได้ เพราะตั้งแต่อพยพเข้ามาก็ไม่นิยมแต่งงานกับคนนอกหมู่บ้าน หรือมีผู้ชายนอกหมู่บ้านเข้ามาในหมู่บ้านจนดึกดื่นก็จะถูกชาวบ้านซูกาปาหินไล่[1] ชาวบ้านที่นี่ยังรักษาคำไทยไว้เป็นภาษาลับสำหรับสื่อสารในชุมชน[2][3] โดยในปี พ.ศ. 2560 ยังหลงเหลือบุคคลที่มีเชื้อสายอยุธยาบริสุทธิ์ 35 คน[1] จากจำนวนคนในหมู่บ้านราวสองร้อยคน โดยถือเป็นชาวอยุธยารุ่นที่ 11[2][3] ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมคือปลูกนาข้าวและถั่ว มีมวนยาเส้นและเย็บปักถักร้อยเป็นอาชีพเสริม[74] ขณะที่กลุ่มชาวโยดะยาบ้านมินตาซุ (ย่านเจ้าฟ้า)[12] ในมัณฑะเลย์มีอยู่ไม่ต่ำกว่า 30 คนในปี พ.ศ. 2557[13] ส่วนที่เมืองซะกุมีชุมชนโยดะยาและไทใหญ่อาศัยร่วมกันชื่อหมู่บ้านไต (ไตคือไท) แต่พูดภาษาโยดะยาหรือไทใหญ่ไม่ได้แล้ว[69]
เมนูนำทาง
ชาวโยดะยา ประวัติใกล้เคียง
ชาวโยดะยาแหล่งที่มา
WikiPedia: ชาวโยดะยา http://anowl.co/anowlruang/irrawaddy/ http://www.ayutthaya-history.com/PressFocus2013.ht... http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/767954 http://myanmartravelinformation.com/where-to-visit... http://www.ngthai.com/photographycontest2017/vote_... http://www.rimkhobfabooks.com/book-division/histor... http://www.watsamphan.com/datawat/my08_builder/01_... http://www.komchadluek.net/news/edu-health/180277 http://www.komchadluek.net/news/edu-health/180693 http://www.patrolnews.net/society-and-the-environm...