เมนูนำทาง
ชาวโยดะยา วัฒนธรรมแต่เดิมชาวโยดะยาจะใช้ภาษาไทยสำเนียงอยุธยา ซึ่งจะออกเหน่อกว่าภาษาไทยมาตรฐานในปัจจุบัน[75][76] และมีหลักฐานบ่งว่ายังใช้ภาษาไทยพูดอยู่จนถึงช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย[77] มีการค้นพบจารึกภาษาไทยอยุธยาหลังพระพุทธรูปขนาดน้อยในวัดยาดะนา เมืองอังวะ บันทึกไว้ว่า "ลูกปลีก มีขาพ พราม" แปลว่า "การทำบุญจากหมู่บ้านพะราม" และพบอักษรไทยใต้ภาพนรกภูมิภายในกู่วุดจีกูพญาภายในสำนักสงฆ์หมั่นกินจอง เมืองมินบู เขียนอธิบายใต้ภาพไว้ว่า "สังคาตตนรก"[21][22] จากหลักฐานทั้งสอง แสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของภาษาและอักษรไทยในขณะนั้น[1] นอกจากนี้ยังมีชาวสยามคนหนึ่งชื่อนายจาดออกจากแผ่นดินสยามในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปสอนภาษาไทยแก่บุตรธิดาขุนนางพม่าในรัชกาลพระเจ้ามินดง ดังปรากฏในคำให้การนายจาด[78] ที่ยังระบุว่าในช่วงเวลานั้นยังมีการใช้ภาษาไทยในหมู่พระสงฆ์ แต่พบว่าคนโยดะยาเริ่มพูดไทยไม่ได้แล้ว ดังปรากฏความตอนหนึ่ง ความว่า[66]
"...ข้าพเจ้าได้ขึ้นพักอยู่ที่บ้านเจ้าท่าคืน ๑ รุ่งขึ้นมีพม่าที่เป็นพ่อค้าเศรษฐีแลขุนนางแต่ล้วนเป็นเชื้อชาติไทย พากันมาเยี่ยมเยียน ทักถามข่าวทุกข์แลสุขวันยันค่ำจึงสิ้นคนมาเยี่ยมเยียน ครั้นเวลาค่ำ ๒ ทุ่ม มองสวัสดีเศรษฐีใหญ่ในเมืองพม่า แค่เป็นหลานเหลนเชื้อชาติไทยครั้งกรุงเก่า เอารถเทียมม้าเทศคู่หนึ่งมาเชิญข้าพเจ้าให้ไปอยู่บ้านเขา ข้าพเจ้าก็ไปอยู่บ้านมองสวัสดี ๆ พูดภาษาไทยไม่ได้ มีพระสงฆ์มาเยี่ยมเยียนทักถามข่าวทุกข์แลสุขโดยภาษาไทยหลายองค์..."
ภาษาไทยของชาวโยดะยายังปรากฏอยู่ในเพลงต่าง ๆ เช่น เพลงเอเอชุเยชัย ซึ่งเป็นเนื้อเพลงไทยเดิมที่คาดว่าเป็นเพลงเดียวกับฉุยฉาย[79] แต่เมื่อเวลาผ่านมานานนับร้อยปี กลับกลายเป็นเพลงที่ไม่มีใครเข้าใจความเพราะร้องกันปากต่อปากจึงเกิดความผิดพลาดในการออกเสียง จนชาวไทยหรือพม่าเองไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาของเพลงได้ ภายหลังจึงได้เปลี่ยนเนื้อร้องเป็นภาษาพม่าแทน[80] นอกจากนี้ยังเหลือร่องรอยชื่อสถานที่เป็นภาษาไทยคือทะเลสาบเต๊ตเต (Tet Thay) ในเมืองอมรปุระ มีชื่อเดิมที่เชื่อว่าเป็นภาษาโยดะยาว่า แนก๊กตอ (Ne Kotho) แต่ไม่ทราบคำไทยเดิมหรือทราบความหมาย[6][7] และอีกแห่งคือคลองชเวตาเชา ตั้งอยู่ในอมรปุระเช่นกัน มีชื่อเดิมเป็นภาษาโยดะยาว่าคลองไนกุสน (คลองนายกุศล) เดิมเป็นที่ตั้งของชุมชนโยดะยาขนาดใหญ่[73]
ในกาลต่อมาลูกหลานชาวโยดะยาเริ่มละทิ้งภาษาไทยและออกเสียงแปร่ง รับอิทธิพลอย่างสูงจากภาษาพม่าโดยเฉพาะไวยากรณ์[1] ดังกรณีมหาโคและมหากฤช ซึ่งมหาโคเป็นเชลยไทยที่ถูกกวาดต้อนไปพม่าราวสี่สิบปี ส่วนมหากฤชเป็นบุตรชายที่เกิดในพม่า ทั้งสองอพยพกลับเข้ามาแผ่นดินสยามในยุครัตนโกสินทร์ แต่พูดไทยไม่ชัดเจน จนต้องให้ทั้งสองพูดภาษาพม่าแล้วให้ล่ามพม่ามาแปลภาษาให้[62] ล่วงมาในปัจจุบันลูกหลานชาวโยดะยาเลิกใช้ภาษาไทยดังกล่าวไปแล้ว โดยหันไปพูดภาษาพม่าแทน ภาษาไทยจึงมิได้ตกทอดสู่คนรุ่นหลัง ๆ แต่มีชาวโยดะยาบางส่วนที่ยังอนุรักษ์ภาษาไทยเอาไว้ เช่นที่บ้านซูกา (มาจากคำบาลีว่า สุขะ) จะใช้คำศัพท์ของภาษาไทยเป็นภาษาลับใช้สื่อสารกันภายในหมู่บ้าน[2][3] เช่นคำว่า พ่อ เรียกว่าอะบ๊ะ, ขนม เรียกขนม, กล้วย เรียกก้วย, อ้อย เรียกน้าออ, กินข้าว เรียกกินข้าวหรือปุงกิน[1] ซึ่งเหลือเพียงคนรุ่นเก่าเท่านั้นที่จะเข้าใจคำเหล่านี้ได้[74] ทั้งนี้พวกเขาไม่สามารถพูดภาษาโยดะยาให้เป็นประโยคได้อีกต่อไป เพราะแทบไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน[2]
ในปี พ.ศ. 2359 นายแพทย์แอดอนีแรม จัดสัน (Adoniram Judson) และแอนน์ แฮเซลไทน์ "แนนซี" จัดสัน (Ann Hazeltine Judson) มิชชันนารีแบปทิสต์ชาวอเมริกันซึ่งเข้าไปเผยแผ่ศาสนาในย่างกุ้ง ได้ศึกษาภาษาไทยจากเชลยสยามซึ่งถูกกวาดต้อนเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง[77] ในเวลาเดียวกันนั้นจอร์จ เอช. ฮอฟ (George H. Hough) ช่างพิมพ์ ได้เข้ามาตั้งโรงพิมพ์ในประเทศพม่า และได้หล่อตัวพิมพ์อักษรไทยครั้งแรกในปี พ.ศ. 2359 โดยใช้ต้นแบบจากที่นางจัดสันศึกษา ก่อนตีพิมพ์พระกิตติคุณมัทธิวขึ้นแต่บัดนี้ไปสูญหายไปแล้ว ถือได้ว่าชาวโยดะยาในพม่าอาจเป็นผู้ทำให้เกิดตัวพิมพ์อักษรไทยยุคแรก ๆ ก่อนที่จะพัฒนาเป็นอักษรไทยที่ใช้ในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน[77]
ชาวโยดะยานับถือศาสนาพุทธ มีคติความเชื่อที่แตกต่างไปชาวพุทธพม่าทั่วไป อาทิ คติการก่อพระเจดีย์ทรายขึ้นสักการบูชา, คติการสร้างพระเจดีย์สามองค์ และคติการสร้างศาลบูชาพระราม (โดยทั่วไปชาวพม่าจะบูชานะ)[6][7][53] ปัจจุบันยังมีประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือนหกของทุกปี ณ ชุมชนระแหงโหม่งตีสุในมัณฑะเลย์ ประเพณีนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรกในรัชกาลพระเจ้าปดุงในปี พ.ศ. 2325-2329 ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ผู้มีเชื้อสายสยามก่อเจดีย์ทรายตลอดริมคลองชเวตชอง[6][7] จะมีการก่อพระเจดีย์สูง 25 ฟุตภายในวันเดียว มีการนิมนต์พระสงฆ์ 54 รูปนั่งบนอาสนะ และพระพุทธรูปหนึ่งองค์ประดิษฐานไว้บนโต๊ะหมู่ ส่วนอุบาสกอุบาสิกาจะถวายเครื่องคาวหวาน และเครื่องไทยทานเบื้องหน้าพระสงฆ์[81] ปัจจุบันมีพระเจดีย์ทรายตั้งอยู่ในมัณฑะเลย์สี่องค์ ได้แก่ตำบลระแหงโหม่งตีสุ, ตำบลดาตัน, ตำบลมินตาซุ และปุเลง่วยยอง[82] ปัจจุบันแม้จะไม่หลงเหลือลูกหลานเชลยอยุธยาแล้ว ชาวพม่าในท้องถิ่นต่างเข้าใจว่าประเพณีการก่อพระเจดีย์ทรายไม่ใช่ธรรมเนียมของชาวพม่าทั่วไป หากแต่เป็นของชาวโยดะยาในอดีต และพวกเขามีหน้าที่อนุรักษ์และสืบทอดประเพณีนี้ให้คงอยู่ต่อไป[8]
ส่วนศาลพระรามนั้น สามารถพบได้ตามชุมชนโยดะยาต่างจากพม่าที่จะบูชานะ สาเหตุที่ชาวโยดะยานับถือพระรามส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นลูกหลานของเชลยโขนละครที่ถูกกวาดต้อนมา ภายในศาลจะมีการบรรจุพระมหาฤๅษีไว้ขวาสุด ตามด้วยพระราม พระลักษมณ์ นางสีดา และหนุมาน พร้อมเครื่องบูชา[6][7][83] ส่วนศาลพระรามในบ้านซูกานั้นยังคงรูปแบบเดียวกับศาลพระภูมิของไทยคือมีเสาเดียว ต่างจากศาลนะของพม่าซึ่งจะมีสี่เสา[1][2] ปัจจุบันในมัณฑะเลย์มีศาลาไหว้ครูเรียกว่ายามะนะกันสำหรับผู้เรียนนาฏศิลป์ใช้สำหรับบูชา ภายในศาลาจะเก็บหัวโขนต่าง ๆ ไว้[84] ชาวโยดะยายังคงบูชาพระรามมาจนถึงปัจจุบัน และยังเข้าใจว่าชาวไทยในประเทศไทยก็คงบูชาพระรามด้วย[1]
ชาวโยดะยาหลายคนแปรสภาพตนเองให้กลมกลืนไปกับสังคมพม่า ดังปรากฏความว่า "เมื่อฤดูฝน (พ.ศ. 2274) น้ำ (ในแม่น้ำมยิเงในอังวะ) เซาะพังทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือเมืองอังวะพัง ผู้ชำนาญชาวอยุธยาเสกมนต์ให้กระแสน้ำเปลี่ยนทางแล้วนำทรายขึ้นมาถมฝั่งแม่น้ำตามเดิม"[35][36]
อาหารการกินอย่างอยุธยาได้ส่งอิทธิพลต่ออาหารพม่า ได้แก่ ลอดช่อง ขนมครก ข้าวมัน และอาหารที่ใช้กะทิ[84] นอกจากนี้อาหารพม่ายังรับอิทธิพลอื่น ๆ จากอาหารไทยเช่น การใช้น้ำปลา สำรับอาหารประเภทต้มยำ ทั้งยังรับอาหารไทยร่วมสมัยเข้าไปด้วย ซึ่งอาหารเหล่านี้จะถูกปรุงในวาระพิเศษของชุมชนเพื่อถวายพระสงฆ์หรือปรุงขายทั่วไปในตลาดซึ่งมีมานาน[85] อาหารโยดะยาที่มีชื่อเสียงที่สุดคือโยดะยาซุปซึ่งดัดแปลงจากต้มยำของไทย ถือเป็นอาหารพิเศษที่มีตามร้านอาหารชั้นนำ แต่จากวัตถุดิบในท้องถิ่นและระยะเวลากว่าสามร้อยปี ทำให้อาหารชนิดนี้ต่างไปจากแผ่นดินแม่ โดยมีลักษณะคล้ายแกงจืดไข่น้ำ มีรสเปรี้ยวนำ เค็มตาม และเผ็ดเล็กน้อย[86]
ในชุมชนโยดะยาบ้านซูกายังคงรักษาการทำขนมแบบไทยไว้ อย่างเช่น ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้า โรยด้วยถั่วบด น้ำตาล หน้าตาคล้ายครองแครงกรอบ[74] ขนมทำจากแป้งข้าวเจ้านึ่งโรยด้วยมะพร้าวขูดฝอยลักษณะใกล้เคียงกับขนมต้มขาว[74] และขนมอีกชนิดหนึ่ง ทำจากแป้งปั้นเป็นวงกลม ก่อนนำไปทอดคล้ายขนมวง เรียกว่ามงรัดเกล้า รับประทานเคียงกับน้ำจิ้มรสออกหวาน[74] และจะรับประทานมะม่วงสุกหวานในตอนท้าย[74]
ส่วนชุมชนโยดะยาในมัณฑะเลย์ยังทำขนมไทยออกขาย เป็นต้นว่าขนมครก ลอดช่อง และหม้อแกง[13]
หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2310 พม่าได้กวาดต้อนเชลยศึกฝีมือดีเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าเป็นช่างฝีมือต่าง ๆ นางละคร และนักดนตรีเพื่อมาทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของพม่า บรรดาเชื้อพระวงศ์อยุธยาที่เบื่อหน่ายชีวิตในราชธานีได้ริเริ่มคณะละครแบบไทยขึ้นจนเป็นที่นิยมยิ่งในราชสำนักพม่า ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกาย การร่ายรำอันเก่าแก่ของอยุธยา และโรงละครโอ่โถงงดงาม เป็นที่สะดุดตาของเจ้านายพม่าในความแปลกแต่น่าหลงใหล ส่งผลให้ละครสยามเป็นที่นิยมในชนชั้นปกครอง[87] นาฏกรรมของเชลยโยดะยาเกิดขึ้นจากการริเริ่มของพระองค์เจ้าประทีป พระราชธิดาในสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ซึ่งเป็นพระมเหสีพระองค์หนึ่งของพระเจ้ามังระ ขอแสดงนาฏศิลป์อยุธยาถวายพระราชสวามี พระเจ้ากรุงอังวะทรงสนพระทัยมาก จึงมีรับสั่งให้พระเจ้าเบญวัยและนายจะ เจ้าเมืองอมรวดี (ปัจจุบันคือเมียวดี) ศึกษานาฏศิลป์อยุธยาจากเจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎ ฝ่ายในอยุธยาผู้เก่งกาจด้านนาฏกรรม[88]
ในรัชสมัยพระเจ้าจิงกูจา มีกวีเอกคนหนึ่ชื่ออู โท เขียนบทกวีเรื่องรามเกียรติ์ด้วยภาษาพม่าอันไพเราะอ่อนหวาน ต่อมาพระนางตะเคง พระมเหสีเอกผู้เป็นกวี ทรงส่งเสริมการแสดงพระรามชาดกหรือยามะซะตอในราชสำนัก ทรงเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของนางสีดา จากเดิมที่นุ่งผ้าอย่างชาวสยามเปลี่ยนเป็นใส่เสื้อทับแขนยาวแบบพม่าและนุ่งผ้าทะเมงแทน โดยให้เหตุผลว่าการนุ่งผ้าแบบอยุธยานั้นดูไม่เป็นผู้หญิงเท่าที่ควร[89] ต่อมาในสมัยพระเจ้าบาจีดอได้มีการแปลบทละครสยามเรื่องอิเหนา เกิดเป็นละครคู่แข่งกับพระรามชาดก แต่พระรามชาดกก็ยังเป็นที่นิยม[90] กระทั่งถึงรัชกาลพระเจ้ามินดงผู้เคร่งครัดในพระศาสนา การแสดงละครถูกมองว่าเป็นเรื่องเหลวไหล จึงเสื่อมความนิยมไปแต่นั้น[91]
ในบันทึกของบาทหลวงซันแกร์มาโน (Sangermano) ชาวอิตาลี ผู้พำนักในพม่าช่วงปี พ.ศ. 2281-2351 อธิบายถึงการร่ายรำไว้ว่า "...ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็นนักรำเหล่านี้ ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นกลุ่มของคนวิกลจริตเสียอีก..."[92] และบันทึกการเดินทางของมาร์ควิสและมาร์เชอนิสแห่งดัฟเฟอรินและอังวะเมื่อปี พ.ศ. 2428 กล่าวถึงการแสดงพระรามชาดก ความว่า "...เจ้าชายนักรบแห่งยุคมหากาพย์ [คือพระราม] แต่งกายด้วยอาภรณ์รัดตัวด้วยเครื่องประดับที่เป็นประกายวาววับ มีผ้าที่จีบอย่างน่าประหลาดตรงช่วงขาทั้งสอง สวมชฎาที่มีทรงประหนึ่งมงกุฎหรือเจดีย์..."[92]
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ เที่ยวเมืองพม่า ทรงอธิบาย "เพลงโยเดีย" และ "รำอย่างโยเดีย" ไว้ว่า "...เล่าถึงวิธีรำอย่างโยเดีย ซึ่งเขาจะเล่นให้ฉันดูในวันนั้น แล้วกลับเข้าไปนั่งเตียง พวกนางกำนัลก็ลุกขึ้นรำเข้ากับร้องเพลง "โยเดีย" การที่รำฟ้อนเข้ากับร้องเพลงโยเดีย เห็นจะซักซ้อมกันในตอนกลางวันวันนั้นหลายเที่ยว ตัวนางระบำสัก ๑๐ คน ต้องมีนางผู้ใหญ่ที่เป็นครูออกมายืนกำกับและร้องนำอยู่ในวงด้วย เพลงที่ร้องก็สังเกตได้ว่าเป็นทำนองเพลงไทยจริง เพราะเพลงพะม่ามักมีทำนองกระโชกไม่ร้องเรื่อยเหมือนเพลงไทย [...] มองโปซินรำท่าพระรามถือศรมีกระบวนเสนาตาม มองโปซินรำคนเดียวเป็นท่าเดินนาดกรายเข้ากับจังหวะปี่พาทย์ ดูก็พอสังเกตได้ว่าเป็นท่าละครไทย เพราะช้ากว่าและไม่กะดุ้งกะดิ้งเหมือนละครพะม่า..."[93]
ส่วนอานันท์ นาคคง นักมานุษยวิทยา คณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวถึงยามะซะตอว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับนาฏศิลป์ไทยมาก ดังปรากฏความว่า "ท่วงท่าวิจิตรอ่อนช้อยแบบนี้ ค่อนข้างจะแตกต่างจากระบำพม่าที่คุ้นเคย ซึ่งการตั้งวง และการจีบแบบนี้ สะท้อนความเป็นนาฏศิลป์อยุธยาได้อย่างชัดเจนมาก เพราะในรูปแบบของพม่าจะมีลักษณะการรำที่เป็นเหลี่ยมมากกว่า จะไม่เป็นวงโค้งแบบนี้"[88]
ในพงศาวดารฉบับอูกาลา และพงศาวดารฉบับหอแก้ว กล่าวไว้ตรงกันว่าในรัชสมัยพระเจ้าบุเรงนอง ได้มีนักแสดงและนักดนตรีอยุธยาเข้ามาในหงสาวดีแล้วในเวลานั้น หลังสิ้นรัชกาลดังกล่าวก็ปรากฏว่าดนตรีอยุธยาถูกบรรเลงร่วมกับดนตรีประเภทอื่น ๆ ในพระราชพิธีต่าง ๆ[19]
โดยปรกติแล้วในราชสำนักพม่าจะใช้นักแสดงและนักดนตรีมืออาชีพชาวอยุธยาในการแสดง โดยมีบทเพลงและบทเจรจาเป็นภาษาไทย ทว่าผู้ชมชาวพม่านั้นมีความประสงค์จะรับฟังเป็นภาษาพม่าเพื่ออรรถรส ในปี พ.ศ. 2332 พระเจ้าปดุงทรงตั้งกรรมการแปลงานเหล่านี้โดยเฉพาะ มีการแปลงบทเพลงรามเกียรติ์และอิเหนาเป็นภาษาพม่า แต่มีบทเพลงจำนวนแปดเพลงที่เจ้าชายเปียงสี (Pyinhsi) พระราชโอรสทรงนิพนธ์ตามทำนองเพลงอยุธยา[94] (ส่วนชื่อในวงเล็บอ้างจากโยธยา : ดนตรีไทยในวัฒนธรรมเมียนมาร์ ของสุรดิษ ภาคสุชลและปัญญา รุ่งเรือง)[79] ได้แก่
คำขึ้นต้นภาษาพม่า | ชื่อไทย | เทียบคำไทย |
---|---|---|
ยเวตานยา | สยานเตง Frangtin | ฝรั่งเต้น (พยันติน) |
เนงยวนคาเหมาน | เคะโมง Khemun | แขกมอญ |
ตอตองชเว | คเมง Khamein | เขมร (ขมิ้น) |
ตอมะเยงเชลาน | ทเน้า Tanauk | ท่านอก (ตะนาว) |
ปานมะเยงเล | ปเยงชา Flengchaa | เพลงช้า |
คายปานโซง | ทดวน Htatunt | โทน (ทบทวน) |
มอโยงเหโวง | ชวนชาน Chut Chant | ฉุยฉาย (เชิดฉาน) |
มายมอนพยา | อูเซะ Ngusit/Ngu Ngi | งูเง็ก (งุหงิด) |
ในจำนวนนี้มีสองเพลงเท่านั้นที่เป็นเพลงไทยคือเพลงฝรั่งเต้นและเพลงช้าจากการสอบเนื้อร้องเมื่อปี พ.ศ. 2493 ส่วนใน บทเพลงพม่ายุคจารีตฉบับที่ได้รับการอนุมัติจากภาครัฐให้จัดพิมพ์ในปี พ.ศ. 2497 โดยคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานกล่าวไว้ว่า[94]
"แม้ว่าเราเคยใช้คำว่า ฝรั่งเต้น, แขกมอญ, เขมร, ท่านอก, เพลงช้า, ฉุยฉาย, ญญิต ตั้งแต่วันวานตราบเท่าทุกวันนี้ แต่คำเหล่านี้นอกจากจะมิได้ปรากฏในพจนานุกรมไทยแล้ว คนไทยระดับผู้นำยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า หากยกเว้นเพลงช้าและฝรั่งเต้นแล้ว คำเหล่านี้ไม่ใช่คำในภาษาไทย และแม้แต่คำที่เหมือนกับคำยืมก็มิได้มีปรากฏในพจนานุกรมภาษาไทยเช่นกัน ดังนั้น จึงได้เลี่ยงการใช้คำเหล่านี้ในบทที่ว่าด้วยเพลงไทย"
ขณะที่งานวิจัย โยธยา : ดนตรีไทยในวัฒนธรรมเมียนมาร์ ของสุรดิษ ภาคสุชล และปัญญา รุ่งเรืองอธิบายว่าเพลงโยธยามีมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์โกนบอง พบร่องรอยเพลงที่ใช้ทำนองและภาษาไทยคือเพลงเอเอชุเยชัยหรือฉุยฉาย ส่วนเพลงไทยที่ใช้บทขับร้องเป็นภาษาพม่า ได้แก่ เพลงพยันติน, แขกมอญ, ขมิ้น, ตะนาว, เพลงช้า, ทบทวน, เชิดฉาน, งุหงิด, กะบี่ และมโหตี และพบว่าเพลงโยธยากับดนตรีไทย มีจังหวะและทำนองสม่ำเสมอเชื่อมโยงกัน[79]
ทั้งนี้เพลงเอเอชุเยชัย (Ei Ei Chu Yei Chai) เป็นเพลงไทยเดิม มีเนื้อร้องเป็นภาษาไทย แต่เมื่อเวลาผ่านมานานนับร้อยปี ก็กลายเป็นเพลงที่ไม่มีใครเข้าใจความหมาย เพราะร้องกันปากต่อปากมาเป็นเวลายาวนานหลายร้อยปี จึงเกิดความผิดพลาดในการออกเสียง จนชาวไทยหรือพม่าเองไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาของเพลงได้ ภายหลังจึงได้เปลี่ยนเนื้อร้องเป็นภาษาพม่าแทน[80] จากงานวิจัยของสุรดิษ ภาคสุชลและปัญญา รุ่งเรือง พบว่าตรงกับเพลงฉุยฉายของไทย[79]
นอกจากนี้เพลงโยดะยายังส่งผ่านจากพม่าเข้าสู่ราชสำนักเชียงใหม่ โดยเชียงใหม่จะเรียกเพลงดังกล่าวว่า "เพลงม่าน" ใช้วงปี่พาทย์บรรเลงประกอบการฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาหรือการฟ้อนก่ำเบ้อ มนตรี ตราโมทเคยวิจารณ์ทำนองเพลงของการฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตาไว้ว่า "…ทำนองเพลงที่บรรเลงประกอบฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา ถ้าถอดออกมาพิจารณาทีละประโยค ๆ จะเห็นว่า เพลงต้นจะมีทำนองของไทยภาคกลางผสมอยู่มา แต่จะมีสำเนียงแบบพม่า..."[95][96]
หลังการกวาดต้อนเชลยสยามเข้ามาในแดนพม่า เชลยหลายคนเป็นช่างฝีมือขั้นสูงได้ฝากผลงานสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมแบบอยุธยาทิ้งไว้ ดังปี พ.ศ. 2134 ในรัชกาลพระเจ้านันทบุเรงโปรดให้รื้อประตู รวมทั้งหอป้อมข้างบนประตูออก แล้วสร้างใหม่ตามอย่างอยุธยา ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจสร้างโดยเชลยผู้มีฝีมือเชิงช่างจากอยุธยา[35][97]
โดยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของช่างอยุธยาในพม่าคือ การใช้สีแดงชาดในจิตรกรรม, การใช้เส้นสินเทาหรือแถบหยักฟันปลาคั่นภาพ, ลายพรรณพฤกษาหรือลายกระหนกแบบอยุธยา, ภาพเครื่องทรงหรือลักษณะของเทพนม, ลักษณะของภาพเรือนยอดหรือเจดีย์ทรงเครื่องอย่างอยุธยา, ภาพพระพุทธเจ้าและเทวดาที่มีพระพักตร์อย่างอยุธยา ซึ่งลักษณะเหล่านี้สามารถเทียบเคียงกับศิลปกรรมช่วงปลายอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ สมัยพุทธศตวรรษที่ 22-24 ที่พบในภาคกลางของประเทศไทย[21][22] จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2550 พบว่าศิลปกรรมส่วนใหญ่เป็นแบบอยุธยาตอนปลายราวพุทธศตวรรษที่ 24[98] ปรากฏอยู่กระจัดกระจายตามหัวเมืองสำคัญต่าง ๆ เช่น พะโค, ซะไกง์, อังวะ, อมรปุระ, มินบู, เซกู, โมนยวา และมัณฑะเลย์[21] ทั้งยังพบว่าศิลปกรรมอย่างไทยนั้นได้รับความนิยมอย่างยิ่ง[99] ก่อให้เกิดการถ่ายทอดกรรมวิธีในการสร้างจิตรกรรม ศิลปกรรมอย่างไทยสู่ช่างพื้นเมืองชาวพม่า[98] โดยพบหลักฐานต่าง ๆ ที่แสดงถึงอิทธิพลของช่างจากกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่คำบอกเล่า สมุดดำ จิตรกรรมฝาผนัง งานปูนปั้นประดับผนัง งานแกะสลักเครื่องไม้ และงานจำหลักหินทราย[21][22] และยังหลงเหลือสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมแบบอยุธยาในพม่า ได้แก่
ปัจจุบันชาวโยดะยาในหมู่บ้านซูกายังคงรักษารูปแบบการสร้างบ้านแบบเรือนไทยยกใต้ถุน มีชานพัก มียุ้งข้าว ต่างไปจากรูปแบบการตั้งเรือนของชาวพม่า[74] รวมทั้งยังมีการตั้งศาลพระรามทำนองเดียวกับศาลพระภูมิตามคติไทยคือมีเสาเดียว[1][2]
เมนูนำทาง
ชาวโยดะยา วัฒนธรรมใกล้เคียง
ชาวโยดะยาแหล่งที่มา
WikiPedia: ชาวโยดะยา http://anowl.co/anowlruang/irrawaddy/ http://www.ayutthaya-history.com/PressFocus2013.ht... http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/767954 http://myanmartravelinformation.com/where-to-visit... http://www.ngthai.com/photographycontest2017/vote_... http://www.rimkhobfabooks.com/book-division/histor... http://www.watsamphan.com/datawat/my08_builder/01_... http://www.komchadluek.net/news/edu-health/180277 http://www.komchadluek.net/news/edu-health/180693 http://www.patrolnews.net/society-and-the-environm...