ประวัติ ของ ชาวไวกิง

ยุคไวกิง

ดูบทความหลักที่: ยุคไวกิง
ชนเดนส์เดินเรือเพื่อรุกรานราชอาณาจักรอังกฤษ เอกสารตัวเขียนสีวิจิตรจากคริสต์ศตวรรษที่ 12 เรื่องปกิณกะของชีวิตแห่งนักบุญเอ็ดมันด์ (ห้องสมุดเพียร์พอนต์ มอร์แกน)

จากบันทึก ในช่วงเวลาคริสต์ทศวรรษ 790 จนถึงการพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มันในปี ค.ศ. 1066 ถือว่าเป็นยุคไวกิงในประวัติศาสตร์ของสแกนดิเนเวีย[1] ชาวไวกิงได้ใช้ทะเลนอร์วีเจียนและทะเลบอลติกเป็นเส้นทางมุ่งสู่ทางใต้และแผ่อิทธิพลลงมาถึงดัชชีนอร์ม็องดีช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ก่อนสืบเชื้อสายกลายเป็นชาวนอร์มัน สำหรับผู้สืบเชื้อสายไวกิงที่งมีอิทธิพลในยุโรปเหนือในยุคนั้น ได้แก่ พระเจ้าฮาโรลด์ กอดวินสัน กษัตริย์แองโกล-แซกซันองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรอังกฤษผู้มีบรรพบุรุษเป็นชาวเดนมาร์ก และสองชาวไวกิงที่ขึ้นครองบัลลังก์ราชอาณาจักรอังกฤษ พระเจ้าสเวน ฟอร์กเบียร์ดผู้ครองบัลลังก์ราชอาณาจักรอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1013-1014 และพระราชโอรส พระเจ้าคนุตมหาราชผู้ครองบัลลังก์ราชอาณาจักรอังกฤษระหว่างปี ค.ศ. 1016-1035[2][3][4][5][6]

ในเชิงภูมิศาสตร์ ยุคไวกิงไม่เพียงจำกัดอยู่ในดินแดนสแกนดิเนเวีย (ประเทศเดนมาร์ก, ประเทศนอร์เวย์ และประเทศสวีเดน) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงดินแดนเขตปกครองเจอร์แมนิกเหนือ เดนลอว์ สแกนดิเนเวียนยอร์ก ศูนย์กลางการปกครองที่เหลืออยู่ของราชอาณาจักรนอร์ทัมเบรีย[7] บางส่วนของราชอาณาจักรเมอร์เซีย และราชอาณาจักรอีสต์แองเกลีย[8] นอกจากนี้ ชาวไวกิ้งยังได้เปิดหนทางใหม่สู่ดินแดนตอนเหนือ ตะวันตก และตะวันออกส่งผลให้เกิดการตั้งถิ่นฐานเป็นอิสระขึ้นในเชทแลนด์ ออร์กนีย์ และ หมู่เกาะแฟโรในประเทศไอซ์แลนด์ กรีนแลนด์[9] และแลนโซเมโดส์ มีการตั้งถิ่นฐานในช่วงเวลาสั้นๆในรัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์[10] ซึ่งอาจเป็นความบังเอิญโดยไม่ตั้งใจของลูกเรือ และนิคมกรีนแลนด์อาจถูกทิ้งร้างเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ[11] ราชวงค์ชาวไวกิง รูลิค (Rurik) ได้ครองดินแดนสลาฟและเขตปกครองฟินโน-ยูกริกในยุโรปตะวันออกและผนวกเคียฟในปี ค.ศ. 882 ภายใต้จักรวรรดิเคียฟรุส[12]

ต้นยุคราวปี ค.ศ. 839 เมื่อทูตชาวสวีเดนได้เข้าไปเจริญสัมพันธไมตรีครั้งแรกในบิแซนเทียม ช่วงนั้นชาวสแกนดิเนเวียเป็นทหารรับจ้างของจักรวรรดิไบแซนไทน์[13] ตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 10 หน่วยองครักษ์แห่งจักรวรรดิหน่วยใหม่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวสแกนดิเนเวีย รู้จักกันชื่อองครักษ์วารันเจียน คำว่า วารันเจียน (Varangian) อาจมาจากภาษานอร์สโบราณซึ่งหมายถึงคือชาวไวกิงและชาวนอร์ส แต่ในภาษาสลาฟและกรีกอาจหมายถึงชาวสแกนดิเนเวียหรือชาวแฟรงค์ ชาวสแกนดิเนเวียที่มีชื่อเสียงที่สุดในองครักษ์วารันเจียนคือฮาร์รัลด์ ฮาร์ดราด้า ผู้สถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งนอร์เวย์ (ค.ศ. 1047–66)

มีหลักฐานทางโบราณคดีที่บ่งบอกว่าชาวไวกิงเดินทางถึงแบกแดด เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิอับบาซียะฮ์[14] ชาวนอร์สได้ใช้แม่น้ำวอลกาเป็นเส้นทางในการแลกเปลี่ยนสินค้า เช่น ขนสัตว์ เขี้ยว งา ไขมันผนึกเรือ และทาส เป็นประจำ ท่าเรือที่สำคัญในช่วงเวลานี้ได้แก่ เบียงกา (Birka) เฮียดบี (Hedeby) คุยปัง (Kaupang) จอร์วิก (Jorvik) สตาราเฮีย ลาโดกา (Staraya Ladoga) โนจกูราด (Novgorod) และ เคียฟ

อาจกล่าวได้ว่า ชาวนอรเวย์ได้แผ่ขยายเข้าไปตั้งถิ่นฐานถึงทางเหนือและตะวันตก เช่น ประเทศไอร์แลนด์ สก็อตแลนด์ ไอซ์แลนด์ และกรีนแลนด์ ชาวเดนมาร์กไปถึงในอังกฤษและฝรั่งเศส ได้ตั้งถิ่นฐานในเดนลอว์ (ภาคเหนือและภาคตะวันออกของอังกฤษ) และแคว้นนอร์ม็องดี และชาวสวีเดนได้ไปถึงตะวันออก พบว่าแผ่ขยายไปถึงจักรวรรดิเคียฟรุส พบว่ามีอักษรรูนของคณะเดินทางชาวสวีเดนได้กล่าวถึงการบุกและการท่องไปถึงยุโรปตะวันตก ตามตำนานเรื่องเล่าของไอซ์แลนด์ไวกิงชาวนอรเวย์ได้เดินทางไปยุโรปตะวันออกด้วยเช่นกัน ในยุคไวกิง ประเทศนอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์กยังไม่มีตัวตน ชาวไวกิงส่วนใหญ่หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน มีความคล้ายคลึงกันในวัฒนธรรมและภาษาแม้จะมีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ ชื่อกษัตริย์สแกนดิเนเวียเป็นที่รู้จักเฉพาะหลังยุคไวกิ้งเท่านั้น หลังจากสิ้นสุดยุคไวกิง ดินแดนจึงได้แบ่งเป็นอาณาจักรต่างๆ อย่างช้าๆ ตามสถานะที่แตกต่างกันไปในฐานะประเทศไปพร้อมกับการเข้ารีตเป็นคริสเตียน ดังนั้นการสิ้นสุดของยุคไวกิงสำหรับชาวสแกนดิเนเวียจึงเป็นจุดเริ่มต้นของยุคกลางของพวกเขา

การขยายอาณาเขตของชาวไวกิง

แหล่งที่มา

WikiPedia: ชาวไวกิง http://www.britannica.com/EBchecked/topic/512998/R... http://news.nationalgeographic.com/news/2004/02/02... //www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16331154 http://www.lofotr.no/index.asp http://www.archaeology.org/online/features/greenla... http://www.bbc.co.uk/history/ancient/vikings/ http://www.bbc.co.uk/history/ancient/vikings/reviv... http://www.englandsnortheast.co.uk/VikingNorthumbr... http://www.royal.gov.uk/HistoryoftheMonarchy/Kings... http://www.royal.gov.uk/HistoryoftheMonarchy/Kings...