เมนูนำทาง
ดาวฤกษ์ เส้นทางเกิดปฏิกิริยาของดาวฤกษ์มีรูปแบบปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นที่แตกต่างกันมากมายเกิดขึ้นในใจกลางของดาวฤกษ์ ขึ้นกับมวลและองค์ประกอบของดาวนั้น ๆ โดยปฏิกิริยาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์นิวเคลียสของดาวฤกษ์ มวลสุดท้ายของนิวเคลียสอะตอมที่หลอมตัวที่น้อยกว่าค่ารวมขององค์ประกอบทั้งหมด มวลที่สูญเสียไปนั้นกลายไปเป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ตามสมการความสมมูลระหว่างมวล-พลังงาน คือ E = mc²[1]
กระบวนการฟิวชั่นของไฮโดรเจนเกิดขึ้นตามระดับของอุณหภูมิ ดังนั้นการที่อุณหภูมิใจกลางดาวเพิ่มขึ้นจะส่งผลต่ออัตราการเกิดฟิวชั่นอย่างมาก ผลที่ได้คือ อุณหภูมิใจกลางดาวของดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักจะมีค่าแปรเปลี่ยนอยู่ระหว่าง 4 ล้านเคลวิน สำหรับดาวฤกษ์เล็กประเภท M ไปจนถึง 40 ล้านเคลวิน สำหรับดาวฤกษ์มวลมากในประเภท O[108]
สำหรับดวงอาทิตย์ซึ่งมีอุณหภูมิใจกลางประมาณ 10 ล้านเคลวิน ไฮโดรเจนจะหลอมละลายกลายเป็นฮีเลียมในห่วงโซ่ปฏิกิริยาโปรตอน-โปรตอน:[135][136]
41H → 22H + 2e+ + 2νe (4.0 MeV + 1.0 MeV)21H + 22H → 23He + 2γ (5.5 MeV)23He → 4He + 21H (12.9 MeV)ปฏิกิริยาเหล่านี้ส่งผลต่อปฏิกิริยาในภาพรวมดังนี้:
41H → 4He + 2e+ + 2γ + 2νe (26.7 MeV)โดยที่ e+ คือ โพสิตรอน, γ คือโฟตอนของรังสีแกมมา, νe คือ นิวตริโน, และ H กับ He คือไอโซโทปของไฮโดรเจนและฮีเลียมตามลำดับ พลังงานที่ปลดปล่อยออกจากปฏิกิริยานี้มีขนาดหลายล้านอิเล็กตรอนโวลต์ ซึ่งอันที่จริงเป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กน้อยของพลังงานเท่านั้น อย่างไรก็ดี มีปฏิกิริยาเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้สามารถกำเนิดพลังงานขึ้นเพียงพอที่จะทำให้เกิดการแผ่รังสีของดาวฤกษ์
ธาตุ | มวล ดวงอาทิตย์ |
---|---|
ไฮโดรเจน | 0.01 |
ฮีเลียม | 0.4 |
คาร์บอน | 5[137] |
นีออน | 8 |
ในดาวฤกษ์ที่มีมวลสูงกว่านี้ ฮีเลียมจะทำให้เกิดวงจรปฏิกิริยาที่เร่งขึ้นเนื่องจากคาร์บอน คือวงจรปฏิกิริยาคาร์บอน-ไนโตรเจน-ออกซิเจน[135]
ดาวฤกษ์ที่วิวัฒนาการไปด้วยอุณหภูมิใจกลาง 100 ล้านเคลวิน และมวลระหว่าง 0.5-10 เท่าของมวงดวงอาทิตย์นั้น ฮีเลียมสามารถเปลี่ยนรูปไปเป็นคาร์บอนได้ในกระบวนการทริปเปิล-อัลฟา ซึ่งใช้ เบริลเลียม เป็นธาตุที่เป็นตัวกลาง:[135]
4He + 4He + 92 keV → 8*Be4He + 8*Be + 67 keV → 12*C12*C → 12C + γ + 7.4 MeVสำหรับปฏิกิริยาในภาพรวมคือ:
34He → 12C + γ + 7.2 MeVในดาวฤกษ์มวลมาก ธาตุหนักจะถูกเผาผลาญไปในแกนกลางที่อัดแน่นโดยผ่านกระบวนการเผาผลาญนีออน และกระบวนการเผาผลาญออกซิเจน สภาวะสุดท้ายในกระบวนการสังเคราะห์นิวเคลียสของดาวฤกษ์คือ กระบวนการเผาผลาญซิลิกอน ซึ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นไอโซโทปเสถียร เหล็ก-56 กระบวนการฟิวชั่นไม่อาจดำเนินต่อไปได้อีก นอกเสียจากจะต้องผ่านกระบวนการดูดกลืนความร้อน (endothermic process) หลังจากนั้น พลังงานจะเกิดขึ้นได้จากการยุบตัวเนื่องจากแรงโน้มถ่วงเท่านั้น[135]
ตัวอย่างข้างล่างนี้ แสดงระยะเวลาที่ดาวฤกษ์ขนาด 20 เท่าของมวลดวงอาทิตย์จำเป็นต้องใช้ในการเผาผลาญพลังงานนิวเคลียร์ภายในตัวจนหมด ดาวฤกษ์ในแถบลำดับหลักประเภท O จะมีรัศมี 8 เท่าของรัศมีดวงอาทิตย์ และมีความส่องสว่าง 62,000 เท่าของความส่องสว่างของดวงอาทิตย์[138]
ธาตุ เชื้อเพลิง | อุณหภูมิ (ล้านเคลวิน) | ความหนาแน่น (kg/cm³) | เวลาเผาผลาญ (τ หน่วยปี) |
---|---|---|---|
H | 37 | 0.0045 | 8.1 ล้าน |
He | 188 | 0.97 | 1.2 ล้าน |
C | 870 | 170 | 976 |
Ne | 1,570 | 3,100 | 0.6 |
O | 1,980 | 5,550 | 1.25 |
S/Si | 3,340 | 33,400 | 0.0315[139] |
เมนูนำทาง
ดาวฤกษ์ เส้นทางเกิดปฏิกิริยาของดาวฤกษ์ใกล้เคียง
ดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์ก่อนเกิด ดาวฤกษ์ชนิด ที วัว ดาวฤกษ์ก่อนแถบลำดับหลัก ดาวฤกษ์ชนิด population I ดาวฤกษ์วูล์ฟ-ราเยท์ ดาวฤกษ์สามดวง ดาวฤกษ์แถบหลัก ดาวฤกษ์หลายดวง ดาวฤกษ์ประเภท AGBแหล่งที่มา
WikiPedia: ดาวฤกษ์ http://outreach.atnf.csiro.au/education/senior/ast... http://outreach.atnf.csiro.au/education/senior/ast... http://www.physics.uq.edu.au/people/ross/ph3080/wh... http://www.assa.org.au/sig/variables/classificatio... http://www.publicaffairs.ubc.ca/media/releases/200... http://www.astronomynotes.com/starprop/s5.htm http://www.astrophysicsspectator.com/topics/observ... http://www.astrophysicsspectator.com/topics/stars/... http://www.bangkokplanetarium.com/exhibition/zone4... http://archives.cnn.com/2000/TECH/space/06/02/stel...