รูปแบบความผูกพัน ของ ทฤษฎีความผูกพัน

"ความชัดเจนทางพฤติกรรมความผูกพันของเด็กในสถานการณ์หนึ่ง ๆ ไม่ได้บ่งถึงกำลังของความผูกพันที่มีจริง ๆเด็กที่ไม่มั่นใจบางคนจะแสดงพฤติกรรมความผูกพันที่ชัดเจนเป็นปกติ ๆ แต่เด็กที่มั่นใจอาจจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องแสดงพฤติกรรมความผูกพันอย่างชัดเจนหรือบ่อย ๆ"[39]

ผังแสดงการดำเนินงานของความผูกพันแบบมั่นใจ

ความผูกพันแบบมั่นใจ

เด็กหัดเดินที่ผูกพันกับพ่อแม่ (หรือคนเลี้ยงดูอื่น ๆ) อย่างมั่นใจจะทำการสำรวจอย่างเป็นอิสระเมื่อผู้ดูแลอยู่ใกล้ ๆ มีพฤติกรรมปกติกับคนแปลกหน้า บ่อยครั้งอารมณ์เสียเมื่อคนดูแลจากไป และโดยทั่วไปดีใจเมื่อเห็นคนดูแลกลับมาแต่ขอบเขตการสำรวจและความทุกข์ที่ปรากฏขึ้นอยู่กับนิสัย (temperament) กับปัจจัยทางสถานการณ์ และกับสถานะของความผูกพันความผูกพันของเด็กโดยมากขึ้นอยู่กับความไวความต้องการ/ความรู้สึกของเด็ก ของคนดูแลหลักพ่อแม่ที่ตอบสนองอย่างสม่ำเสมอ หรือเกือบสม่ำเสมอ ต่อความต้องการของเด็กจะทำให้เด็กเกิดความผูกพันแบบมั่นใจคือเด็กเช่นนี้แน่ใจว่าพ่อแม่จะตอบสนองต่อความต้องการและต่อการสื่อสารของตน[40]

ในวิธีการลงรหัสของ ดร. เอนสเวอร์ธและคณะ (1978) ทารกแบบมั่นใจจะลงรหัสว่า กลุ่ม B โดยแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ๆ ได้ คือ B1, B2, B3, และ B4[30]แม้ว่ากลุ่มเหล่านี้สะท้อนถึงการตอบสนองโดยเฉพาะ ๆ ของการมาและการไปของคนดูแล แต่ ดร. เอนสเวอร์ธและคณะก็ไม่ได้ตั้งชื่อให้กลุ่มย่อย และพฤติกรรมที่ปรากฏก็ได้ทำให้นักวิจัยอื่น ๆ (รวมทั้งนักศึกษาของ ดร. เอนสเวอร์ธเอง) ได้ใช้ศัพท์อภิธานกว้าง ๆ สำหรับกลุ่มย่อย ๆ เหล่านี้เช่น B1 เรียกว่า "มั่นใจ-สงวนท่าที" (secure-reserved), B2 "มั่นใจ-ไม่แสดงออก" (secure-inhibited), B3 "มั่นใจ-สมดุล" (secure-balanced) และ B4 "มั่นใจ-มีปฏิกิริยา" (secure-reactive)แต่ว่าในวรรณกรรมวิชาการ การจัดกลุ่มทารก (ถ้ามีการแบ่งกลุ่มย่อย) จะเรียกโดยรหัส เช่น "B1" เป็นต้น แม้ว่าเอกสารทางทฤษฎีหรือที่เป็นงานทบทวนวรรณกรรมในเรื่องนี้อาจใช้ศัพท์ต่าง ๆ ดังที่ว่า

เด็กที่ผูกพันอย่างมั่นใจสามารถสำรวจสิ่งแวดล้อมได้ดีที่สุด เมื่อรู้สึกว่ามีเสาหลัก (คือคนดูแล) เพื่อกลับไปหาเมื่อต้องการเมื่อได้รับการช่วยเหลือ นี่จะช่วยให้รู้สึกปลอดภัย และถ้าสมมุติว่าช่วยได้จริง ๆ ก็จะเป็นการสอนเด็กให้รับมือกับปัญหาอย่างเดียวกันในอนาคตด้วยดังนั้น ความผูกพันแบบมั่นใจจึงมองว่าเป็นสไตล์ความผูกพันที่เป็นการปรับตัวดีที่สุดตามนักวิจัยทางจิตวิทยาบางคน เด็กจะมีความผูกพันอย่างมั่นใจถ้าพ่อแม่อยู่ด้วยและสามารถสนองความต้องการของเด็กอย่างสมควรและเมื่อจำเป็นดังนั้น ในวัยทารกและวัยเด็กเบื้องต้น ถ้าพ่อแม่เอื้ออาทรและใส่ใจลูกของตน เด็กมักจะมีความผูกพันแบบมั่นใจ[41]

ความผูกพันแบบวิตกกังวล-คละ

ความผูกพันแบบวิตกกังวล-คละ (Anxious-ambivalent attachment) บางครั้งเรียกอย่างผิด ๆ ว่า ความผูกพันแบบขัดขืน (resistant attachment)[42]โดยทั่วไปแล้ว เด็กที่มีรูปแบบความผูกพันแบบนี้จะทำการสำรวจน้อยเมื่อใช้เกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลก และบ่อยครั้งจะไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า แม้กระทั่งเมื่อพ่อแม่ยังอยู่ด้วยเมื่อแม่จากไป เด็กบ่อยครั้งจะเป็นทุกข์มากแต่จะรู้สึกทั้งดีและไม่ดี (คละ) เมื่อแม่กลับมา[30]กลยุทธ์นี้ใช้ตอบสนองกับการดูแลที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และการแสดงความโกรธ (ที่เรียกว่าแบบคละ-ขัดขืน [ambivalent resistant]) หรือความทำอะไรไม่ได้ (แบบคละ-เฉย [ambivalent passive]) ต่อคนดูแลเมื่อกลับมา สามารถมองได้ว่าเป็นกลยุทธ์แบบมีเงื่อนไขเพื่อรักษาการมีคนดูแลอยู่ใกล้ ๆ ไว้โดยเข้าควบคุมการปฏิสัมพันธ์กับคนดูแล[43][44]

จะจัดอยู่ในกลุ่ม C1 (แบบคละ-ขัดขืน) เมื่อ"... เมื่อพฤติกรรมขัดขืนเห็นได้ชัดเป็นพิเศษการผสมกันระหว่างการหาแต่ก็ขัดขืนการกลับมาอยู่ร่วมกันมีลักษณะโกรธที่ชัดเจน และจริง ๆ แล้วความโกรธก็ยังเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมก่อนระยะจากกันอีกด้วย"[30]

จะจัดอยู่ในกลุ่ม C2 (แบบคละ-เฉย) เมื่อ"ลักษณะที่อาจเห็นได้ชัดที่สุดของทารกกลุ่ม C2 ก็คือการอยู่เฉย ๆ (passivity)พฤติกรรมการสำรวจของทารกจะจำกัดตลอดเกณฑ์วิธีนี้ และพฤติกรรมทางปฏิสัมพันธ์ของทารกจะค่อนข้างไร้การเริ่มทำอะไรเองอย่างไรก็ดี ในระยะการกลับมาเจอกัน ทารกชัดเจนว่าต้องการอยู่ใกล้และการเข้าหามารดา แม้ว่ามักจะเป็นเพียงแค่การส่งสื่อไม่ใช่การเข้าไปหาจริง ๆ และประท้วงการถูกวางลงแทนที่จะพยายามจับไม่ให้ปล่อยโดยตรง...คือโดยทั่วไปแล้ว ทารกกลุ่ม C2 จะไม่ปรากฏว่าโกรธอย่างชัดเจนเท่ากับทารกกลุ่ม C1"[30]

งานวิจัยปี 2542 พบว่า เด็กที่ถูกทารุณในวัยเด็กมีโอกาสพัฒนาความผูกพันแบบคละและเด็กที่มีความผูกพันแบบคละมีโอกาสมีปัญหารักษาความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเมื่อเป็นผู้ใหญ่สูงกว่า[45]

ผังแสดงการดำเนินงานของความผูกพันแบบวิตกกังวล-หลีกเลี่ยง

ความผูกพันแบบวิตกกังวล-หลีกเลี่ยง

ทารกที่มีรูปแบบความผูกพันแบบวิตกกังวล-หลีกเลี่ยง จะหลีกเลี่ยงหรือไม่สนใจคนดูแล โดยแสดงอารมณ์น้อยมากเมื่อคนดูแลจากไปหรือกลับมาและจะไม่ทำการสำรวจมากไม่ว่าใครจะอยู่ที่นั่นทารกประเภทนี้เป็นเรื่องปริศนาในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1970เพราะไม่แสดงความทุกข์เมื่อถูกพราก และไม่สนใจคนดูแลเมื่อกลับมา (กลุ่มย่อย A1) หรือไม่ก็แสดงแนวโน้มการเข้าหาพร้อมกับแนวโน้มไม่สนใจแล้วหันหลังให้คนดูแล (กลุ่มย่อย A2)ดร. เอนสเวอร์ธและเพื่อนร่วมงานตั้งทฤษฎีว่าพฤติกรรมที่ดูเหมือนจะไม่เป็นไรของเด็กจริง ๆ แล้วเป็นการอำพรางความทุกข์ ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ต่อมาได้หลักฐานผ่านการศึกษาที่ตรวจอัตราหัวใจเต้นของทารก[46][47]

ทารกจะจัดกลุ่มว่าเป็นแบบวิตกกังวล-หลีกเลี่ยงเมื่อ"...จะหลีกเลี่ยงแม่อย่างชัดเจนในช่วงมาเจอกันอีกซึ่งน่าจะเป็นแบบไม่สนใจเธอโดยสิ้นเชิง แม้ว่าอาจจะเมินหน้าไปทางอื่น หันหลังให้ หรือหลีกไปจาก...ถ้าทักทายเมื่อแม่กลับมา มักจะเป็นเพียงแค่มองหรือยิ้มทารกจะไม่เข้าหาแม่เมื่อเจอกันอีก หรือไม่ก็จะเข้าหาแบบขาด ๆ คือเด็กจะเดินผ่านแม่ไป หรือว่ามักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ต้องเกลี้ยกล่อมมาก...ถ้าอุ้ม เด็กจะไม่แสดงพฤติกรรมที่รักษาการอยู่ด้วยกันคือ มักจะไม่กอดหรืออาจจะมองไปทางอื่นและดิ้นที่จะลง"[30]

บันทึกเรื่องของ ดร. เอนสเวอร์ธแสดงว่า ทารกจะหลีกเลี่ยงคนดูแลในเกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลกที่ก่อความเครียด เมื่อมีประวัติประสบกับการถูกปฏิเสธเมื่อแสดงพฤติกรรมผูกพันคือ เด็กบ่อยครั้งไม่ได้ตามความต้องการและได้กลายไปเชื่อว่า การสื่อความต้องการทางจิตใจจะไม่มีผลต่อคนดูแล

นักศึกษาของ ดร. เอนสเวอร์ธ คือ ศ. ดร. แมรี่ เมน ให้สมมติฐานว่า พฤติกรรมหลีกเลี่ยงในเกณฑ์วิธีควรพิจารณาว่าเป็น "กลยุทธ์ที่มีเงื่อนไข ซึ่งให้ผลขัดแย้งเป็นการได้ความใกล้ชิดมากที่สุดภายใต้สถานการณ์ที่ถูกแม่ปฏิเสธ" โดยไม่แสดงความต้องการความผูกพัน[48]ดร. เมนเสนอว่า การหลีกเลี่ยงทำหน้าที่สองอย่างสำหรับทารกที่คนดูแลไม่ตอบสนองต่อความต้องการอย่างสม่ำเสมออย่างแรกคือ พฤติกรรมหลีกเลี่ยงทำให้ทารกสามารถรักษาความใกล้ชิดอย่างมีเงื่อนไขกับคนดูแล คือ ใกล้พอที่จะได้รับการป้องกัน แต่ไกลพอที่จะหลีกเลี่ยงถูกปฏิเสธอย่างที่สองคือ กระบวนการรู้คิดที่วางแผนพฤติกรรมหลีกเลี่ยงอาจจะเปลี่ยนความใส่ใจไปจากความต้องการจะอยู่ใกล้คนดูแลที่ไม่ได้ตามต้องการดังนั้นเป็นการหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เด็กจะรู้สึกทุกข์อย่างควบคุมไม่ได้ (disorganised distress) ที่ไม่สามารถแม้แต่ควบคุมตนเองได้ และที่ไม่ได้แม้แต่อยู่ใกล้ ๆ แม้จะมีเงื่อนไข[49]

ความผูกพันแบบไม่มีระเบียบ/ไม่มีทิศทาง

ดร. เอนสเวอร์ธเป็นนักวิจัยคนแรกเองที่มีปัญหาจัดพฤติกรรมทารกเข้าในหมวดหมู่ 3 อย่างแรกที่เธอเสนอคือ ดร. เอนสเวอร์ธและคณะบางครั้งสังเกตเห็น "การเคลื่อนไหวแบบเครียดเช่นเกร็ง/ยกไหล่ เอามือไปไว้ที่ท้ายทอย และทำคอแข็งเป็นต้นเป็นความรู้สึกที่ชัดเจนของเราว่าอาการเช่นนี้หมายถึงความเครียด เพราะมักจะเกิดขึ้นโดยมากในระยะถูกพราก และมักจะเกิดก่อนการร้องไห้จริง ๆ แล้ว สมมติฐานของเราก็คือว่ามันเกิดขึ้นเมื่อเด็กพยายามจะควบคุมการร้องไห้ เพราะอาการมักจะหายไปถ้าเกิดร้องไห้"[50]ข้อสังเกตเหล่านี้ก็ปรากฏในปริญญานิพนธ์ของนักศึกษาของ ดร. เอนสเวอร์ธด้วย

ยกตัวอย่างเช่น วิทยานิพนธ์ของ ดร. แพทริเซีย คริตเท็นเด็น ให้ข้อสังเกตว่า ในตัวอย่างที่ใช้ในวิทยานิพนธ์ของเธอ นักศึกษาปริญญาตรีได้ลงรหัสทารกคนหนึ่งที่ถูกทารุณกรรมโดยจัดว่าอยู่ในกลุ่มมั่นใจ (B) เพราะทารกมีพฤติกรรมที่"ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงหรือการคละ เธอได้แสดงอาการคอแข็งที่แสดงอาการเครียดตลอดสถานการณ์แปลกแต่ว่าพฤติกรรมที่มีอยู่ทั่วไปนี่แหละ เป็นตัวช่วยอย่างเดียวที่บอกถึงความเครียดของเธอ"[51]เริ่มต้นในปี 2526 ดร. คริตเท็นเด็นได้เสนอหมวดหมู่ย่อยของ A, C, และอื่น ๆ ดังที่จะกล่าวต่อไปส่วน ดร. เมนได้เพิ่มหมวดหมู่ที่ 4 คือ หมวด D โดยอาศัยพฤติกรรมที่ไม่เข้ากับหมวด A, B และ C[52]

ในสถานการณ์แปลก คาดว่าระบบความผูกพันจะทำงานเหตุการจากไปและกลับมาของผู้ดูแลถ้าพฤติกรรมของทารกไม่ปรากฏว่าประสานอย่างคล้องจองกันผ่านระยะต่าง ๆ เพื่อให้ได้ความใกล้ชิดหรือความใกล้ชิดโดยเปรียบเทียบกับผู้ดูแล ก็จะพิจารณาว่าอยู่ในหมวด "ไม่มีระเบียบ" ซึ่งบ่งถึงการขัดขวางหรือการท่วมท้นของระบบผูกพัน (เช่นโดยความกลัว)พฤติกรรมทารกในเกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลกที่ลงรหัสเป็น ไม่มีระเบียบ/ไม่มีจุดหมาย รวมทั้งการแสดงความกลัวอย่างโต้ง ๆการแสดงพฤติกรรมหรืออารมณ์ต่าง ๆ ที่ขัดแย้งกัน โดยแสดงออกพร้อม ๆ กัน หรือตามลำดับกันการเคลื่อนไหวอย่างเป็นแบบอย่าง (stereotypic) อย่างอสมมาตร (asymmetric) อย่างมีจุดหมายผิดพลาด (misdirected) หรือกระตุก ๆหรือตัวแข็งและแยกตัวจากสถานการณ์ (dissociation)แต่ก็มีนักวิชาการที่เตือนว่า "ควรเข้าใจว่า 52% ของทารกในกลุ่มไม่มีระเบียบก็ยังเข้าหาผู้ดูแล หาการปลอบโยน และจะหยุดเป็นทุกข์โดยไม่มีพฤติกรรมแบบคละหรือหลีกเลี่ยงอย่างชัดเจน"[53]

มีความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเรื่องความผูกพันแบบไม่มีระเบียบทั้งจากผู้รักษาพยาบาล ผู้กำหนดนโยบาย และนักวิจัย[54]แต่ว่า หมวดไม่มีระเบียบ/ไม่มีจุดหมาย (D) ถูกวิจารณ์ว่ากว้างเกินไป รวมทั้งโดย ดร. เอนสเวอร์ธเอง[55]คือในปี 2533 ดร. เอนสเวอร์ธเขียนให้การรับรองหมวดหมู่ D แม้ว่าเธอจะเน้นว่า การเพิ่มควรพิจารณาว่า "ยังเป็นประเด็นไม่ยุติ เพราะอาจจะเพิ่มหมวดย่อยต่าง ๆ" คือเธอกังวลว่า รูปแบบพฤติกรรมหลายอย่างมากเกินไปจะปฏิบัติเหมือนกับเป็นอย่างเดียวกัน[56]และจริง ๆ แล้ว หมวด D รวมเอาทารกที่ใช้กลยุทธ์แบบมั่นใจ (B) แบบขาด ๆ กับทารกที่ดูจะสิ้นหวังและแสดงพฤติกรรมผูกพันที่น้อยมากมันยังรวมเด็กทารกที่วิ่งไปซ่อนเมื่อเห็นคนดูแลในหมวดเดียวกันกับทารกที่แสดงพฤติกรรมแบบหลีกเลี่ยง (A) ในการกลับมาเจอกันครั้งแรก และแบบคละ-ขัดขืน (C) ในการกลับมาเจอกันครั้งที่สองโดยอาจเป็นการตอบสนองต่อประเด็นเช่นนี้ จึงมีผู้เขียนที่แบ่งรหัสกลุ่ม D โดยปฏิบัติต่อพฤติกรรมบางอย่างว่าเป็น "กลยุทธ์แบบสิ้นหวัง" (strategy of desperation) และแบบอื่นว่าระบบความผูกพันถูกท่วมท้นไปด้วยความรู้สึก เช่นความกลัวความโกรธเป็นต้น[57]

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีผู้ที่อ้างว่า พฤติกรรมบางอย่างที่จัดหมวดว่าไม่มีระเบียบ/ไม่มีจุดหมาย สามารถมองว่าเป็นรูปแบบฉุกเฉินของกลยุทธ์หลีกเลี่ยงหรือคละ-ขัดขืน และทำหน้าที่เพื่อรักษาการป้องกันจากคนดูแลโดยระดับหนึ่งและก็มีผู้ที่เห็นด้วยว่า "แม้แต่พฤติกรรมผูกพันแบบไม่มีระเบียบ (การเข้าหาและหลีกเลี่ยงพร้อม ๆ กัน ตัวแข็ง เป็นต้น) ก็ยังสามารถให้อยู่ใกล้ ๆ ในระดับหนึ่งเมื่อเผชิญกับพ่อแม่ที่น่ากลัวหรือเข้าใจยาก"[58]แต่ว่า "การสมมุติว่า แบบย่อยของแบบไม่มีระเบียบหลายอย่างเป็นด้านต่าง ๆ ของรูปแบบที่มีระเบียบไม่ได้ห้ามการยอมรับแนวคิดเกี่ยวกับความไม่มีระเบียบ โดยเฉพาะในกรณีที่ความซับซ้อนและความเป็นอันตรายของภัยเกินสมรรถภาพของเด็กที่จะตอบสนอง"[59]ยกตัวอย่างเช่น "เด็กที่ยกให้คนอื่นเลี้ยง โดยเฉพาะเมื่อทำมากกว่าครั้งเดียว บ่อยครั้งมีความคิด/ความรู้สึกที่ขัดแย้งกันที่พบในวิดีโอของเกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลก ความคิด/ความรู้สึกมักจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กที่ถูกปฏิเสธ/ถูกละทิ้งจะเข้าหาคนแปลกหน้าเพราะต้องการให้ปลอบ ควบคุมตัวไม่ได้แล้วล้มลงที่พื้น เพราะรับความกลัวต่อคนที่ไม่รู้จัก อาจเป็นอันตราย และแปลกหน้าไม่ได้"[60]

ดร. เมนและเพื่อนร่วมงาน[61]พบว่า มารดาของเด็กเหล่านี้โดยมากเกิดความสูญเสียหรือการบาดเจ็บทางกายใจก่อนหรือหลังทันทีที่คลอดทารก และได้มีปฏิกิริยาโดยมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง[62]และจริง ๆ แล้ว แม่ 56% ที่พ่อแม่คนใดคนหนึ่งเสียชีวิตก่อนจบโรงเรียนมัธยมปลาย ต่อมาจะมีลูกที่มีความผูกพันแบบไม่มีระเบียบ[61]แต่งานศึกษาต่อ ๆ มา แม้ว่าจะเน้นความสำคัญที่เป็นไปได้ของการสูญเสียที่รู้สึกอย่างไม่จบ ก็ได้ให้ข้อแม้ต่อการค้นพบเยี่ยงนี้[63]ยกตัวอย่างเช่น นักจิตวิทยาคู่หนึ่งพบว่า การสูญเสียของแม่อย่างรู้สึกไม่จบสิ้นมักจะสัมพันธ์กับความผูกพันแบบไม่มีระเบียบในทารก ก็ต่อเมื่อถ้าแม่ประสบกับความบาดเจ็บทางกายใจอื่นที่ยังไม่จบก่อนการสูญเสียนั้น[64]

รูปแบบภายหลังและอื่น ๆ

มีการพัฒนาเทคนิคที่ช่วยให้สามารถตัดสินภาวะทางใจของเด็กเกี่ยวกับความผูกพันได้ยกตัวอย่างเช่น การให้เติมเรื่อง ที่เล่านิทานในเบื้องต้นเกี่ยวกับปัญหาความผูกพันแล้วให้เด็กเล่าต่อให้จบสำหรับเด็กที่โตกว่า วัยรุ่น และผู้ใหญ่ อาจใช้การสัมภาษณ์กึ่งมีโครงที่วิธีการสื่ออาจจะสำคัญเท่ากับสิ่งที่สื่อเอง[65]แต่ว่า ก็ยังไม่มีการวัดความผูกพันในวัยเด็กช่วงกลางหรือวัยรุ่นช่วงต้น (อายุประมาณ 7-13 ปี) ที่ตรวจสอบความสมเหตุสมผลแล้ว[66]

งานศึกษาในเด็กโตกว่าบางงานได้กำหนดหมวดความผูกพันอื่น ๆดร. เมนและเพื่อนร่วมงานให้ข้อสังเกตว่า พฤติกรรมแบบไม่มีระเบียบในวัยทารก อาจพัฒนาเป็นพฤติกรรมแบบควบคุมหรือแบบลงโทษเพื่อบริหารผู้ดูแลที่ช่วยอะไรไม่ได้หรือเอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างเป็นอันตรายในกรณีเช่นนี้ พฤติกรรมของเด็กมีระเบียบ แต่นักวิจัยปฏิบัติต่อมันเหมือนกับไม่มี (กลุ่ม D) เพราะว่า ลำดับในครอบครัวไม่ได้จัดตามอำนาจของพ่อแม่อีกต่อไป[67]

ดร. แพทริเซีย คริตเท็นเด็น ได้ขยายหมวดหมู่เพื่อรวมรูปแบบพฤติกรรมผูกพันแบบหลีกเลี่ยงและคละแบบอื่น ๆรวมทั้งพฤติกรรมควบคุมและลงโทษตามที่ ดร. เมนได้พบ (กลุ่ม A3 และ C3 ตามลำดับ) แต่ก็รวมรูปแบบอื่น ๆ เช่น การถูกบังคับให้ทำตามโดยพ่อหรือแม่ที่น่ากลัว (A4)[68]

แนวคิดของ ดร. คริตเท็นเด็นมาจากคำเสนอของโบลบี้ว่า "ในสถานการณ์ทุกข์ยากบางอย่างในวัยเด็ก การเลือกเว้นข้อมูลบางอย่างอาจเป็นการปรับตัวที่ดีแต่ว่า เมื่อถึงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไป และการเว้นข้อมูลประเภทเดียวกันอย่างคงยืนอาจจะเป็นการปรับตัวผิด"[69]

ดร. คริตเท็นเด็นเสนอว่า องค์ประกอบพื้นฐานของความรู้สึกมีภัยในมนุษย์เป็นข้อมูลสองชนิด[70]

  1. ข้อมูลทางอารมณ์ (Affective information) เป็นอารมณ์ที่ก่อขึ้นโดยสิ่งที่อาจเป็นอันตราย อารมณ์เช่นความโกรธหรือความกลัว ในวัยเด็กนี่อาจรวมอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการไม่อยู่ของผู้ที่ผูกพันโดยไม่มีคำอธิบาย เมื่อทารกต้องเผชิญการดูแลของพ่อแม่แบบไม่ไวต่อความต้องการหรือแบบปฏิเสธ กลยุทธ์อย่างหนึ่งเพื่อรักษาการอยู่ใกล้ ๆ คนที่ผูกพันก็คือพยายามกำจัดจากจิตใจหรือจากพฤติกรรมที่แสดงออก ซึ่งการแสดงอารมณ์ที่อาจมีผลให้ถูกปฏิเสธ
  2. ความรู้เรื่องเหตุหรือเหตุการณ์ที่เป็นไปตามลำดับอื่น ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยและอันตรายที่อาจเป็นไปได้ ในวัยเด็ก นี่อาจจะรวมความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมที่บ่งว่า ผู้ที่ติดพันเข้าหาได้เพื่อความปลอดภัยหรือไม่ ถ้าความรู้เรื่องพฤติกรรมแสดงว่า การอยู่เป็นเสาหลักของผู้ที่ผูกพันอาจจะไม่คงยืน ทารกก็จะพยายามรักษาความสนใจของผู้ดูแลไว้โดยเกาะติดหรือโดยพฤติกรรมก้าวร้าว หรือสลับพฤติกรรมทั้งสองอย่างนั้น

พฤติกรรมที่ว่าอาจเพิ่มการเข้าหาคนที่ผูกพันได้ ผู้ที่ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะตอบสนองอย่างไม่สม่ำเสมอหรืออย่างชวนให้เข้าใจผิดต่อพฤติกรรมผูกพันของทารก ซึ่งแสดงความเชื่อถือไม่ได้ของการป้องกันและความปลอดภัย[3]ดร. คริตเท็นเด็นเสนอว่า ข้อมูลทั้งสองชนิดสามารถระงับไม่ใส่ใจหรือไม่แสดงออกทางพฤติกรรม โดยเป็นกลยุทธ์เพื่อรักษาความเข้าหาผู้ที่ผูกพันไว้ได้คือ "กลยุทธ์แบบ A (แบบหลีกเลี่ยง) สันนิษฐานว่า อาศัยการลดความรู้สึกว่ามีภัย เพื่อลดความต้องการจะตอบสนอง (แบบผูกพัน)ส่วนแบบ C (แบบวิตกกังวล-คละ) สันนิษฐานว่า อาศัยการเพิ่มความรู้สึกว่ามีภัย เพื่อเพิ่มความต้องการที่จะตอบสนอง"[71]คือ กลยุทธ์แบบ A เอาความรู้สึกว่ามีภัยออกจากใจ และแบบ C ไม่สนใจความรู้เกี่ยวกับว่าผู้ที่ผูกพันสามารถเข้าถึงได้แค่ไหนและทำไมโดยเปรียบเทียบกัน กลยุทธ์แบบ B (แบบมั่นใจ) ใช้ข้อมูลทั้งสองแบบโดยไม่บิดเบือนข้อมูล[72]

ยกตัวอย่างเช่น เด็กรุ่นหัดเดินคนหนึ่งอาจกลายมาอาศัยกลยุทธ์แบบ C คือมีอารมณ์เกรี้ยวกราดเพื่อรักษาคนที่ผูกพันไว้ใกล้ ๆ ผู้ที่ความเข้าถึงได้อย่างไม่แน่นอนทำให้เด็กไม่เชื่อหรือบิดเบือนเหตุผลทางพฤติกรรมของผู้ดูแลที่เห็นได้ซึ่งอาจทำให้คนดูแลเข้าใจความต้องการดีขึ้นและให้การตอบสนองที่สมควรต่อพฤติกรรมผูกพันและเมื่อประสบกับข้อมูลที่เชื่อถือได้พยากรณ์ได้เกี่ยวกับการเข้าถึงได้ของผู้ดูแล เด็กก็จะไม่ต้องใช้พฤติกรรมแบบบังคับเพื่อรักษาความเข้าถึงได้ของผู้ดูแลอีกต่อไป แล้วจึงสามารถพัฒนาความผูกพันแบบมั่นใจเพราะเชื่อว่าความต้องการและการสื่อสารของตนจะได้การตอบสนอง

ความสำคัญของรูปแบบ

งานวิจัยที่ใช้ข้อมูลจากงานศึกษาตามยาว เช่น National Institute of Child Health and Human Development Study of Early Child Care และ Minnesota Study of Risk and Adaption from Birth to Adulthood และข้อมูลจากงานศึกษาตามขวางแสดงอย่างคล้องจองกันถึงความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบความผูกพันในเบื้องต้นของชีวิต กับความสัมพันธ์กับเพื่อนต่อ ๆ มาทั้งโดยปริมาณและโดยคุณภาพยกตัวอย่างเช่น นักจิตวิทยาผู้หนึ่งพบว่า "สำหรับพฤติกรรมถอยห่าง (withdrawing behavior) ที่แม่แสดงเพิ่มขึ้นแต่ละอย่างตอบสนองต่อพฤติกรรมผูกพันของทารกในระหว่างเกณฑ์วิธีสถานการณ์แปลก โอกาสที่แพทย์จะส่งต่อเพื่อการรักษาเพิ่มขึ้น โดย 50%"[73]

มีงานวิจัยมากมายที่แสดงความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างรูปแบบความผูกพันกับการใช้ชีวิตของเด็กในหลาย ๆ ด้าน[74]ความผูกพันแบบไม่มั่นใจในชีวิตเบื้องต้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีปัญหา แต่มันเป็นโอกาสเสี่ยงต่อเด็ก โดยเฉพาะถ้าพฤติกรรมของพ่อแม่เป็นอย่างเดียวกันตลอดวัยเด็ก[75]เทียบกับเด็กที่ผูกพันอย่างมั่นใจ การปรับตัวของเด็กที่ไม่มั่นใจในหลาย ๆ ด้านของชีวิตอาจจะไม่มั่นคง ทำให้ความสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ ของเด็กในอนาคตอาจเป็นอันตรายแม้ว่าความสัมพันธ์ที่ว่ายังไม่สามารถสรุปได้โดยงานวิจัย และก็ยังมีปัจจัยที่มีอิทธิพลอื่น ๆ นอกจากความผูกพัน แต่เด็กที่ผูกพันอย่างมั่นใจมีโอกาสสูงกว่าที่จะมีสมรรถภาพทางสังคมที่ดีกว่าเพื่อนที่ไม่มั่นใจและความสัมพันธ์ที่มีกับเพื่อนมีอิทธิพลต่อการได้ทักษะทางสังคม พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญา และการสร้างเอกลักษณ์ทางสังคม

การจัดหมวดเด็กโดยสถานะทางสังคม (เพื่อนนิยม เพื่อนไม่สนใจ เพื่อนไม่ยอมรับ) พบว่าสามารถพยากรณ์การปรับตัวในด้านต่าง ๆ ได้[65]เด็กที่ไม่มั่นใจโดยเฉพาะแบบหลีกเลี่ยง เสี่ยงต่อเหตุที่เกิดในครอบครัวสูงพฤติกรรมทางสังคมและทางพฤติกรรมของเด็กอาจจะดีขึ้นหรือแย่ลงตามทักษะการเลี้ยงเด็กของพ่อแม่แต่ว่า ความผูกพันแบบมั่นใจตั้งแต่ต้น ๆ ดูเหมือนจะมีผลป้องกันโดยระยะยาว[76]และเหมือนกับความผูกพันกับพ่อแม่ ประสบการณ์ต่อ ๆ มาก็อาจจะเปลี่ยนวิถีพัฒนาการของเด็กได้ด้วย[65]

งานศึกษาต่าง ๆ แสดงว่า ทารกที่มีโอกาสเสี่ยงโรคออทิซึม (Autism Spectrum Disorders) สูง อาจแสดงความผูกพันต่างจากทารกที่มีโอกาสเสี่ยงน้อย[77]

มีนักวิชาการที่ตั้งข้อสงสัยกับไอเดียว่า การพัฒนาอนุกรมวิธานของหมวดหมู่ที่สะท้อนความแตกต่างกันของความผูกพันสามารถเป็นไปได้จริง ๆเพราะว่า งานที่ตรวจสอบข้อมูลจากเด็กอายุ 15 เดือน 1,139 คนแสดงว่า การแปรผันของรูปแบบความผูกพันเป็นแบบกระจายไปทั่วแทนที่จะเป็นกลุ่ม ๆ[78]ซึ่งตั้งคำถามสำคัญในเรื่องหมวดหมู่ของความผูกพันและกลไกทางกายภาพที่เป็นมูลฐานของพฤติกรรมแต่ว่า นี่ไม่เป็นปัญหาต่อทฤษฎีโดยตรง เพราะว่าทฤษฎี "ไม่ได้บังคับให้มีหรือพยากรณ์รูปแบบความผูกพันที่รวมเป็นกลุ่ม ๆ"[79]

มีหลักฐานบ้างว่าความแตกต่างระหว่างเพศเกี่ยวกับรูปแบบความผูกพัน จะเริ่มเกิดขึ้นในวัยเด็กตอนกลางความผูกพันแบบไม่มั่นใจและความเครียดทางจิตสังคมในระยะต้น ๆ เป็นตัวชี้ว่า เด็กมีความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม (เช่น ความยากจน ความผิดปกติทางจิต ชีวิตไม่มีเสถียรภาพ ความเป็นชนกลุ่มน้อย ปัญหาความรุนแรง)ความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมสามารถเป็นเหตุความผูกพันแบบไม่มั่นใจ และยังกดดันให้มีเพศสัมพันธ์เร็วอีกด้วยโดยกลยุทธ์การสืบพันธุ์ที่ต่างกันระหว่างหญิงชาย จะทำให้ปรับตัวต่างกัน ชายที่ไม่มั่นใจมักจะใช้กลยุทธ์แบบหลีกเลี่ยง เทียบกับหญิงที่ไม่มั่นใจที่มักใช้กลยุทธ์แบบวิตกกังวล-คละนอกจากจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ความเสี่ยงสูงมากมีการเสนอว่าพัฒนาการทางเพศช่วง Adrenarche เป็นกลไกทางต่อมไร้ท่อที่เปลี่ยนรูปแบบความผูกพันในวัยเด็กตอนกลาง รวมทั้งความผูกพันแบบไม่มั่นใจด้วย[80]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ทฤษฎีความผูกพัน http://web.ebscohost.com/ehost/detail?vid=3&hid=7&... http://www.psychology.sunysb.edu/attachment/index.... http://www.psychology.sunysb.edu/attachment/online... http://www.psychology.sunysb.edu/attachment/online... http://www.garfield.library.upenn.edu/classics1986... //lccn.loc.gov/00266879 //lccn.loc.gov/2005019272 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2690512 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3041266 //www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3861901