เมนูนำทาง
ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ การตอบโต้วิกฤติการณ์ของรัฐบาลเอฟ.เอส.เอล. ลิยอนส์บรรยายถึงการตอบโต้ต่อวิกฤติการณ์ของรัฐบาลบริติชในระยะแรกที่ทุพภิกขภัยยังไม่รุนแรงว่าเป็นการตอบโต้ที่ “ทันต่อเหตุการณ์และมีความสำเร็จพอสมควร”[54] เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรกรรมอย่างกว้างขวางในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1845 นายกรัฐมนตรีเซอร์โรเบิร์ต พีลก็ซื้อข้าวโพดอินเดียและข้าวโพดป่น (Cornmeal) อย่างลับๆ จากสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนเงิน £100,000 บริษัทแบริงบราเธอร์สต้องเป็นตัวแทนทำการซื้อขายในนามของรัฐบาล รัฐบาลมีความหวังว่าการซื้อขายครั้งนี้จะไม่เป็นการ “บีบคั้นกิจการของเอกชน” หรือ การกระทำดังกล่าวจะเป็นการหยุดยั้งโครงการช่วยเหลือระดับท้องถิ่น แต่สภาวะอากาศอันแปรปรวนทำให้เรือบรรทุกสินค้าข้าวโพดมิได้มาถึงไอร์แลนด์จนกระทั่งต้นเดือนกุมภาพันธ์ของปี ค.ศ. 1846[55]
เมื่อมาถึงเมล็ดข้าวโพดก็นำมาขายต่อในราคาปอนด์ละหนึ่งเพ็นนี[56] เมล็ดข้าวโพดแห้งที่ได้รับเป็นเมล็ดข้าวโพดที่ยังไม่ได้รับการป่นซึ่งทำให้ยังใช้บริโภคไม่ได้ นอกจากนั้นการป่นข้าวโพดเป็นกรรมวิธีที่ซับซ้อนและใช้เวลานานถ้าจะทำให้ถูกต้องซึ่งโอกาสที่จะทำกันได้ในท้องถิ่นนั้นไม่มี เมื่อป่นแล้วก็จะต้องหุงกันอีกเป็นเวลาพอสมควรจึงจะบริโภคได้ ผู้ที่กินเข้าไปแล้วบ่นว่าทำให้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง[55] การที่ข้าวโพดมีสีเหลืองและต้องบดสองครั้งก่อนที่จะกินได้จึงมาเป็นที่รู้จักกันในไอร์แลนด์ “กำมะถันพีล” ในปี ค.ศ. 1846 พีลก็ดำเนินการยกเลิกกฎหมายข้าวโพดซึ่งเป็นกฎหมายที่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อที่จะรักษาระดับราคาขนมปังให้อยู่ในราคาสูง วิกฤติการณ์ทุพภิกขภัยเลวร้ายลงระหว่างปี ค.ศ. 1846 และการยกเลิกกฎหมายอากรข้าวโพดในปีนั้นก็มีผลเพียงเล็กน้อยในการแก้ทุพภิกขภัยของชาวไอริช มาตรการนี้นำความแตกแยกมาสู่พรรคคอนเซอร์เวทีฟที่นำมาสู่การล่มของการเป็นนายกรัฐมนตรีของพีล[56] ในเดือนมีนาคมพีลก็ก่อตั้งโครงการการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะขึ้นในไอร์แลนด์ แต่พีลมาถูกบังคับให้ลาออกจากรัฐบาลในฐานะนายกรัฐมนตรีเสียก่อนเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน[57] การล่มของรัฐบาลเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน เมื่อพีลได้รับความพ่ายแพ้ในสภาสามัญชนเมื่อมีญัตติในการอ่านร่างพระราชบัญญัติเพื่อการรักษาความสงบในไอร์แลนด์เป็นครั้งที่สอง นักเขียนและสมาชิกของขบวนการยังไอร์แลนด์ไมเคิล โดเฮนีกล่าวว่าฝ่ายเสียงข้างมากที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพีลมีจำนวนเจ็ดสิบสามคนที่ประกอบด้วย “วิก, คอนเซอร์เวทีฟหัวรุนแรง, กลุ่มที่มีความคิดรุนแรง และผู้ต้องการเพิกถอนการรวมตัว” สิบวันหลังจากนั้นลอร์ดจอห์น รัสเซลล์ก็รับหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป[58]
มาตรการที่ลอร์ดรัสเซลล์นายกรัฐมนตรีคนต่อมากระทำก็ยังคงเป็นมาตรการที่ไม่เพียงพอในการพยายามกู้สถานการณ์ และโดยทั่วไปแล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายลงยิ่งขึ้นไปอีก รัฐบาลของรัสเซลล์เสนอโครงการการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างสาธารณะซึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1846 เป็นผลให้มีการจ้างชาวไอริชครึ่งล้านคน แต่กลายเป็นสิ่งที่ล้นมือในการทำการบริหาร[59] เซอร์ชาร์ลส์ เทรเวเลียนผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงการคลังผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารโครงการช่วยผู้ประสบทุพภิกขภัยของรัฐบาลจำกัดการช่วยเหลือเพราะมีความเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็น “การตัดสินของพระเจ้าในการส่งความภัยพิบัติลงมาเพื่อสั่งสอนชาวไอริชให้ได้รับบทเรียน” โครงการก่อสร้างเป็นโครงการสั่งทำที่ไม่มีผลประโยชน์จากสิ่งที่สร้างขึ้น—คือเป็นโครงการที่มิได้สร้างรายได้ที่นำมาใช้กู้รายจ่ายได้ จอห์น มิทเชลบรรยายว่าแรงงานเป็นพันเป็นหมื่นที่ผอมแห้งอดอยากต่างก็ทำงานดำเนินการงานก่อสร้างขุดถนนที่ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด[60]
พรรควิกภายใต้ผู้บริหารใหม่ลอร์ดรัสเซลล์ที่ถือปรัชญา “ไม่แทรกเซง” --ปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปจนแก้ไขตนเองในที่สุด--เชื่อว่าในที่สุดตลาดก็จะสามารถสร้างอาหารที่สนองความต้องการได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ละเลยการดำเนินการส่งอาหารออกไปยังอังกฤษต่อไป[61] แต่ยุติการส่งอาหารไปช่วยเหลือ และ ยุติโครงการก่อสร้าง ซึ่งเป็นการทิ้งให้ประชาชนจำนวนมากมายไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน และไม่มีอาหาร[62] ในเดือนมกราคมรัฐบาลก็ยุติโครงการต่างๆ และหันไปใช้วิธีการช่วยเหลือโดยตรงแบบผสมผเสระหว่าง “ในบ้าน” และ “นอกบ้าน” การช่วยเหลือ “ในบ้าน” ก็ได้แก่การก่อตั้งเคหสงเคราะห์และโรงทำงานขึ้นตามบทบัญญัติในกฎหมายประชาสงเคราะห์ และ “นอกบ้าน” ก็คือการจัดโรงแจกอาหาร (soup kitchen) ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการประชาสงเคราะห์ส่วนใหญ่มาจากเจ้าของที่ดินท้องถิ่น ผู้หันมาทดแทนเงินที่เสียไปโดยการขับไล่ผู้เช่าที่ดิน[59] ที่ทำได้ง่ายขึ้นโดย “พระราชบัญญัติว่าด้วยการขับไล่ผู้เช่าที่ดิน” (Cheap Ejectment Acts)[60] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1847 ข้อแก้ไขกฎหมายประชาสงเคราะห์ก็ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา เจมส์ ดอนเนลลีบรรยายการโต้ตอบของรัฐบาลใน “"Fearful Realities: New Perspectives on the Famine"” ("ความเป็นจริงอันน่าประหวั่น: ทัศนคติใหม่เกี่ยวกับทุพภิกขภัย")[63] ว่าเป็นการโต้ตอบที่สะท้อนปรัชญาพื้นฐานที่แพร่หลายในบริเตนที่ว่าทรัพย์สินของไอร์แลนด์ต้องใช้สนับสนุนความยากจนของไอร์แลนด์เอง ผู้มีที่ดินในไอร์แลนด์ถูกกล่าวหาในบริเตนว่าเป็นผู้ก่อให้เกิดสถานการณ์ที่นำไปสู่ทุพภิกขภัย แต่ก็ได้เพิ่มเติมว่ารัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักรตั้งแต่การใช้พระราชบัญญัติสหภาพก็มีส่วนในการรับผิดชอบต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น[63] ความคิดที่ว่านี้ปรากฏในหนังสือพิมพ์ “"Illustrated London News"” เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1847 ที่กล่าวว่า “ไม่มีกฎหมายใดที่จะไม่ผ่านตามคำขอของไอร์แลนด์ และไม่มีการข่มเหงใดที่ไม่มีการป้องกันให้เกิดขึ้น” เมื่อวันที่ 24 มีนาคมหนังสือพิมพ์ “ไทม์” รายงานว่าบริเตนเป็นเปิดโอกาสให้เกิดสถานการณ์ในไอร์แลนด์ที่เป็น “ความยากจนอันใหญ่หลวง ความละเลย และความเสื่อมโทรมอันไม่มีสิ่งใดที่จะเปรียบได้ในโลกเกิดขึ้น [บริเตน]เปิดโอกาสให้เจ้าของที่ดินดูดเลือดดูดเนื้อจากชาวไอริชผู้แสนเข็ญ”[63]
“อนุประโยคเกรกอรี” ของกฎหมายประชาสงเคราะห์ระบุห้ามผู้ที่มีที่ดินอย่างน้อยหนึ่งในสี่เอเคอร์จากการได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล[59] ข้อจำกัดนี้หมายความว่าเกษตรกรผู้ขายสินค้าทั้งหมดเพื่อนำมาเสียค่าเช่า ค่าธรรมเนียม และภาษี (ซึ่งเป็นการปฏิบัติกันโดยทั่วไป) จนหมดตัวและต้องการที่จะมาสมัครรับเงินช่วยเหลือ แต่ก็จะไม่มีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือเพราะมีที่ดินมากกว่าหนึ่งในสี่เอเคอร์ นอกไปจากว่าจะยกที่ดินให้เจ้าของที่ดินไป มิทเชลวิจารณ์กฎหมายนี้ว่าเป็นกฎหมายที่ “ทำให้ผู้ที่มีความสามารถแต่ไม่ยอมใช้ได้รับการเลี้ยงดู—ถ้าผู้ใดพยายามไถหว่านแม้แต่เพียงเล็กน้อยผู้นั้นก็จะอดตาย” วิธีการขับไล่ผู้เช่าที่ดินอย่างง่ายๆ นี้เรียกว่าเป็นการ “ส่งคนจนไปให้โรงแรงงาน” — ซึ่งเป็นระบบที่คนเข้าไปทางหนึ่งออกมาเป็นคนจนอีกทางหนึ่ง[60] ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้เป็นผลให้ชาวไอริชจำนวนมากถูกขับออกจากที่ดินที่ใช้ทำมาหากิน ในปี ค.ศ. 1849 มีผู้ถูกขับเป็นจำนวน 90,000 คน และในปี ค.ศ. 1850 เป็นจำนวนอีก 104,000 คน[59]
จากบันทึกพบว่าไอร์แลนด์ยังคงส่งอาหารออกแม้แต่ในปีที่วิกฤติการณ์ทุพภิกขภัยถึงขีดสูงสุด เมื่อไอร์แลนด์ประสบกับทุพภิกขภัยระหว่างปี ค.ศ. 1782 ถึงปี ค.ศ. 1783 ทางการก็ปิดเมืองท่าเพื่อรักษาอาหารที่ปลูกในไอร์แลนด์เอาไว้เลี้ยงชาวไอริชเอง ซึ่งทำให้ราคาอาหารลดต่ำลงทันที พ่อค้าพยายามเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรการแต่รัฐบาลของคริสต์ทศวรรษ 1780 ก็มิได้ยินยอมต่อพ่อค้า แต่ในคริสต์ทศวรรษ 1840 ทางการมิได้บังคับใช้มาตรการใดใดในการหยุดยั้งการส่งอาหารออกนอกไอร์แลนด์ทั้งสิ้น[64]
เซซิล วูดแดม-สมิธผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวิกฤติการณ์ทุพภิกขภัยในไอร์แลนด์กล่าวใน “The Great Hunger: Ireland 1845–1849” (ไทย: “ทุพภิกขภัยอันยิ่งใหญ่: ไอร์แลนด์ ค.ศ. 1845 ถึง ค.ศ. 1849”) ว่าไม่มีวิกฤติการณ์ใดที่สร้างความความโกรธและความขมขื่นให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและไอร์แลนด์เท่ากับวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เมื่อ “ไม่เป็นที่โต้แย้งได้ว่าอาหารเป็นจำนวนมากยังคงถูกส่งจากไอร์แลนด์ไปยังอังกฤษตลอดเวลาที่ประชากรของไอร์แลนด์ถูกคร่าชีวิตจากทุพภิกขภัย” และการการส่งอาหารเป็นสินค้าส่งออกหลักของไอร์แลนด์ก็ยังคงดำเนินอยู่ตลอดห้าปีของวิกฤติการณ์ดังกล่าว
คริสติน คินีลนีอาจารย์ของมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูลและนักเขียนตำราสองเล่มเกี่ยวกับวิกฤติการณ์ทุพภิกขภัย “Irish Famine: This Great Calamity” (ไทย: “ทุพภิกขภัยในไอร์แลนด์: ความทุกข์ยากครั้งใหญ่”) และ “A Death-Dealing Famine” (ไทย: “ความตายจากทุพภิกขภัย”) กล่าวว่าอันที่จริงแล้วในช่วงทุพภิกขภัยสินค้าออกของไอร์แลนด์ที่รวมทั้งลูกวัว ปศุสัตว์ (ยกเว้นหมู) เบคอน และ แฮมมีจำนวนสูงขึ้น การส่งออกต้องทำกันด้วยการป้องกันอย่างแข็งแรงจากบริเวณต่างๆ ของไอร์แลนด์ทีประสบกับวิกฤติการณ์ แต่จะอย่างไรก็ตามคนยากจนก็ยังไม่มีเงินพอที่จะหาซื้ออาหารดังกล่าวได้ และรัฐบาลก็มิได้ทำการหยุดยั้งการส่งออก
นักเขียนผู้เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักกันดีเจน ฟรานเซสคา เอลกีเขียนโคลงที่บรรยายสถานการณ์ที่พิมพ์ใน carried in the เดอะ เนชั่น[65]
“ | Weary men, what reap ye? Golden corn for the stranger. What sow ye? Human corpses that wait for the avenger. | ” |
“ | ท่านผู้อ่อนล้า, ท่านจะเก็บเกี่ยวอะไร? ข้าวโพดสำหรับคนแปลกหน้า ท่านจะหว่านอะไร? ร่างที่ไร้ชีวิตที่รอให้เป็นซาก | ” |
เมนูนำทาง
ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ การตอบโต้วิกฤติการณ์ของรัฐบาลใกล้เคียง
ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ ทุพภิกขภัย ทุพภิกขภัยในจะงอยแอฟริกา พ.ศ. 2554 ทุพภิกขภัยในประเทศเอธิโอเปีย พ.ศ. 2526–2528 ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ ค.ศ. 1315–1317 ทุพภิกขภัยในเกาหลีเหนือ ทุพภิกขภัยในประเทศรัสเซีย ค.ศ. 1921–1922 ทุพภิกขภัยในไอร์แลนด์แหล่งที่มา
WikiPedia: ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในไอร์แลนด์ http://www.doonbleisce.com/famine_in_doon.htm http://www.emigrantletters.com/IE/output.asp?Artic... http://www.fountainmagazine.com/articles.php?SIN=7... http://books.google.com/books?id=Q3crAAAACAAJ&dq=%... http://books.google.com/books?id=sk3o1irXY5oC&pg=P... http://books.google.com/books?q=%22irish+holocaust... http://www.historyplace.com/worldhistory/famine/co... http://www.internetspor.com/v3/futbol/haber.php?ha... http://www.mccorkellline.com/ http://www.physorg.com/news171720802.html