นกอัลบาทรอสคิ้วดำ
นกอัลบาทรอสคิ้วดำ

นกอัลบาทรอสคิ้วดำ

นกอัลบาทรอสคิ้วดำ (อังกฤษ: Black-browed albatross; ชื่อวิทยาศาสตร์: Thalassarche melanophrys หรือ melanophris[2]) เป็นนกทะเลขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง จำพวกนกอัลบาทรอส (Diomedeidae)นกอัลบาทรอสคิ้วดำ เป็นนกอัลบาทรอสขนาดกลาง มีส่วนหัวที่ใหญ่กว่าลูกเบสบอลเล็กน้อย มีคิ้วสีดำที่โดดเด่นคาดเหนือดวงตาสีดำขลับ จะงอยปากยาวประมาณ 10 เซนติเมตร มีโทนสีไล่กันจากโคนสีเหลืองนวลเป็นสีชมพูอ่อนและชมพูเข้มตอนปลาย นกในช่วงวัยรุ่นจะมีจะงอยปากสีเข้ม [3] นกขนาดโตเต็มที่มีความยาวลำตัว 80–95 เซนติเมตร (31–37 นิ้ว) ความกว้างปีก 200–240 เซนติเมตร (79–94 นิ้ว) น้ำหนักโดยเฉลี่ย 2.9–4.7 กิโลกรัม (6.4–10 นิ้ว) และมีอายุขัยได้มากกว่า 70 ปี[4]นกอัลบาทรอสคิ้วดำ กระจายพันธุ์อยู่ในซีกโลกใต้ ทั้งมหาสมุทรแอตแลนติก และแปซิฟิก โดยเฉพาะในหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ และอาจพบได้ถึงเกาะแคมป์เบลล์ ในนิวซีแลนด์ นกวัยรุ่นจะกลับเข้าหาฝั่งเป็นครั้งแรกหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในทะเลนาน 4-5 ปี เพื่อหาคู่ โดยจะอวดท่วงท่าลีลา รำแพนหาง และส่งเสียงขันคู หรือโก่งคอเข้าหาคู่และเอียงจะงอยปากแนบกัน เพื่อแสดงความพร้อมในการผสมพันธุ์ การหาคู่มักใช้เวลานานราว 2 ปี นกที่เข้าคู่กันได้ดีและนั่งอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน เพื่อทำความรู้จักและเข้าคู่กัน เพราะการเลี้ยงลูกต้องอาศัยทั้งตัวผู้และตัวเมีย โดยทำรังบนหน้าผาชายฝั่ง [3]นกอัลบาทรอสคิ้วดำ จำนวน 399,000 คู่ หรือ 2 ใน 3 ของนกอัลบาทรอสคิ้วดำทั่วโลกจะบินมาวางไข่ที่หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ แต่จำนวนของนกลดลงอย่างน่าใจหาย เนื่องจากการประมงเบ็ดราวและอวนลากในมหาสมุทรของซีกโลกใต้ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2003 สหภาพระหว่างประเทศว่าด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) ประกาศให้เป็นสัตว์อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน[3]นกอัลบาทรอสคิ้วดำ ได้รับการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ครั้งแรกว่า Diomedea melanophris โดย คอนราด จาค็อบ แทมมินค์ นักสัตววิทยาชาวดัตช์ ในปี ค.ศ. 1828 โดยได้ต้นแบบมาจากแหลมกูดโฮป[5]โดยที่คำว่า melanophrus มาจากภาษากรีก 2 คำ คือ "melas" หรือ "melanos" หมายถึง "ดำ" และ "ophrus" หมายถึง "คิ้ว" ที่หมายถึงขนสีดำคล้ายคิ้วรอบดวงตานก[6]