ยันต์และการแก้ ของ นัยน์ตาปีศาจ

การพยายามที่จะป้องกันจากนัยน์ตาปีศาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการใช้เครื่องรางกันหลายวัฒนธรรม เครื่องรางประเภทนี้จัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “apotropaic” (ที่มาจากภาษากรีกว่า “prophylactic” หรือ “ป้องกัน”) ที่แปลตรงตัวว่าเครื่องรางที่ “หันเหไปทางอื่น” หรือปัดอันตรายไปทางอื่น

สิ่งที่ง่ายที่สุดในการป้องกันในประเทศยุโรปที่เป็นคริสเตียนคือกาทำสัญญาณกางเขนด้วยนิ้วมือไปยังแหล่งที่มาของอันตราย หรือ ผู้โดยอันตรายที่บรรยายในบทแรกของนวนิยายเรื่อง “แดรคคิวลา” โดยแบรม สโตเคอร์ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1897:

เมื่อเราเริ่ม ฝูงชนรอบประตูโรงเตี๊ยมซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่พอควร และต่างคนก็ทำสัญญาณกางเขน และชี้นิ้วมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถามเพื่อนผู้โดยสารให้ช่วยอธิบายอย่างขลุกขลักว่าหมายความว่าอย่างไร ซึ่งก็ไม่ได้ตอบทันที แต่เมื่อทราบว่าข้าพเจ้าเป็นคนอังกฤษ จึงได้อธิบายว่าเป็นการแสดงสัญญาณเพื่อกันจากนัยน์ตาปีศาจ[8]

แป้นหรือลูกกลมที่เป็นวงน้ำเงินรอบวงกลมขาว ที่รอบนอกมักจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตามด้วยสีน้ำเงินอ่อน, ขาว และ น้ำเงินเข้ม เป็นสัญลักษณ์ของนัยน์ตาปีศาจที่เป็นที่นิยมใช้เป็นยันต์ในตะวันออกกลางที่อาจจะพบที่หัวเรือในเรือที่ใช้ในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนและที่อื่นๆ ตามตำนานแล้วตายันต์ที่จ้องเป็นสิ่งที่หันเหนการจ้องด้วยความประสงค์ร้ายกลับไปยังผู้จ้อง

เครื่องยันต์ดังกล่าวเรียกว่า “nazar” (ตุรกี: nazar boncuğu หรือ nazarlık) ที่จะเป็นเครื่องยันต์ที่เห็นกันอย่างแพร่หลายในตุรกี ที่จะพบในหรือหน้าบ้าน หรือบนรถยนต์ หรือสรวมใส่เป็นสร้อยลูกปัด

ตาสีฟ้าอาจจะพบในรูปแบบอื่นเช่น “มือฮัมซา” ซึ่งมีรูปร่างเป็นมือที่มีตาอยู่บนฝ่ามือที่พบในตะวันออกกลาง นอกจากนั้นคำว่า “hamsa” อาจจะสะกดเป็น “khamsa” หรือ “hamesh” คือ “ห้า” ที่หมายถึงนิ้วห้านิ้ว ในฆราวัสวัฒนธรรมของชาวยิว ฮัมซาเรียกว่า “มือของมิเรียม” และในวัฒนธรรมมุสลิมเรียกว่า “มือของฟาติมะห์”

กรีซ

นัยน์ตาปีศาจในภาษากรีกเรียกว่า “ματι” ที่ใช้เป็นเครื่องยันต์มาตั้งแต่อย่างน้อยก็ในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ที่พบเสมอบนภาชนะสำหรับดื่ม[9] ในกรีซนัยน์ตาปีศาจถูกกำจัดโดย “ξεμάτιασμα” (“xematiasma”) โดยผู้ทำการจะท่องมนต์คาถาลับที่ได้มาจากญาติโยมอาวุโสเพศตรงข้ามที่มักจะเป็นปู่ย่า คาถาจะได้รับก็เมื่อมีสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงเกิดขึ้น เพราะผู้ที่ถ่ายทอดคาถาเมื่อถ่ายทอดแล้วตนเองก็จะหมดอำนาจในการขจัดภัยจากนัยน์ตาปีศาจ

คาถาเหล่านี้ก็แตกต่างกันไปตามแต่ท้องถิ่น แต่บทที่นิยมใช้กันก็จะเป็นคาถาที่อ้างถึงพระแม่มารี ที่ท่องสามครั้ง กล่าวกันว่าถ้าผู้ใดถูกมนต์ของนัยน์ตาปีศาจเข้าทั้งผู้ถูกมนต์และผู้รักษาก็จะมีอาการหาวอย่างต่อเนื่องกัน ผู้รักษาก็จะทำสัณญาณกางเขนสามครั้ง และ ถุยน้ำลายขึ้นไปสามครั้ง

การ “ทดสอบ” อีกอย่างหนึ่งคือการเช็คคือการเช็คน้ำมัน ตามปกติแล้วน้ำมันมะกอกจะลอยในน้ำเพราะน้ำมันเบากว่าน้ำ การทดสอบก็ทำได้โดยเอาน้ำมันหยดหนึ่งใส่ลงไปในแก้วน้ำโดยเฉพาะน้ำมนต์ ถ้าหยดน้ำมันลอยก็แปลว่าไม่ได้ถูกมนต์จากนัยน์ตาปีศาจ แต่ถ้าน้ำมันไม่ลอยขึ้นมาก็แปลว่าต้องมนต์ อีกวิธีหนึ่งเอาน้ำมันสองหยดใส่ลงไปในแก้วน้ำแยกกัน ถ้าน้ำมันทั้งสองหยดยังคงไม่มารวมกันก็แปลว่าน้ำมันนั้นไม่ต้องมนต์ แต่ถ้ามารวมกันเป็นหยดเดียวกันก็แปลว่าต้องมนต์ การทดลองนี้มักจะทำกับผู้สูงอายุที่ต้องสงสัยว่าเป็นผู้มีอำนาจในการรักษา

คริสต์ศาสนปราชญ์ของกรีกยอมรับความเชื่อเรื่องนัยน์ตาปีศาจเกี่ยวกับปีศาจ และ ความอิจฉา ในเทววิทยาของกรีกนัยน์ตาปีศาจ หรือ “βασκανία” (vaskania) ถือว่าเป็นสิ่งที่มีอันตรายต่อผู้ที่แสดงใช้ความอิจฉาในการสร้างอันตรายต่อผู้อื่นนอกไปจากผู้ที่ถูกต้องมนต์เอง ลัทธิกรีกออร์โธด็อกซ์มีบทสวดมนต์สำหรับป้องกันจาก “βασκανία”จากหนังสือสวดมนต์ อ “Μέγαν Ιερόν Συνέκδημον” (Mega Hieron Syenekdymon).

โรม

มือฮัมซา คือ ยันต์ที่ใช้ในการป้องกันนัยน์ตาปีศาจ

ในสมัยโรมันโบราณมีผู้ที่เชื่อว่าเครื่องรางองคชาต และ สิ่งตกแต่งเป็นสิ่งที่ใช้กันนัยน์ตาปีศาจ เครื่องรางดังกล่าวในภาษาละตินเรียกว่า “Fascinus” หรือ “หน่อองคชาต” ที่มาจากคำกิริยา “Fascinare” (ต้นรากของคำว่า “Fascinate” ในภาษาอังกฤษ) ที่แปลว่า “แช่งชัก” เช่นเดียวการใช้นัยน์ตาปีศาจ

ตัวอย่างหนึ่งของเครื่องรางดังกล่าวก็ได้แก่ “เครื่องรางคอร์นิเชลโล” (cornicello) ที่แปลตรงตัวว่า “เขาเล็ก” ในภาษาอิตาลีสมัยใหม่เรียกว่า “Cornetti” หรือบางที่ก็เรียกว่า “Cornuto” หรือ “Corno” ที่ต่างก็แปลว่าเขา ซึ่งเป็นเครื่องรางรูปเขาที่บิดม้วนเล็กน้อย เครื่องรางคอร์นิเชลโลมักจะแกะจากปะการังสีแดงหรือจากเงินหรือทอง เขาที่ใช้เป็นทรงที่เลียนแบบเขาแกะหรือแพะ แต่อันที่จริงแล้วบิดเหมือนเขาละมั่งแอฟริกาหรือสัตว์ตระกูลเดียวกันมากกว่า

ในบรรดาชนชาติในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียนที่ไม่ใช้เครื่องยันต์ที่เป็นองค์ชาติก็อาจจะใช้สัญลักษณ์ที่ทำด้วยมือแทนโดยการชูนิ้วชี้และนิ้วก้อย ในลาตินอเมริกางานสลักของกำมือที่หัวแม่มือกดระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางก็ยังใช้เป็นเครื่องรางนำโชคกันอยู่

ในหนังสือ “A History of Oral Interpretation” (ประวัติของการตีความหมาย) โดยยูจีน บาห์น และ มาร์กาเร็ต แอล. บาห์นกล่าวว่า “'วัตถุประสงค์สำคัญของคำพูดคือการพิทักษ์จากนัยน์ตาปีศาจ และแม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีบทขับสำหรับป้องกันจากความโชคร้ายในสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง” ที่มีสาเหตุมาจาก “อุปกรณ์เพื่อยับยั้งความอิจฉาของจิตวิญญาณที่มีอำนาจเหนือชะตาของมนุษย์. . .”

ศาสนายูดาห์

“นัยน์ตาปีศาจ” ได้รับการกล่าวถึงหลายครั้งใน “Ethics of Our Fathers” (หลักจริยธรรมของบรรพบุรุษ) โดย Pirkei Avot ในบทที่ 2 กล่าวถึงลูกศิษย์ห้าคนของราไบโยคานัน เบน ซาไคที่ให้ข้อแนะนำเกี่ยวกับการดำรงชีวิตในแนวทางที่ดีและเลี่ยงการทำความชั่ว ราไบเอลิเอเซอร์กล่าวว่านัยน์ตาปีศาจเลวร้ายกว่าเพื่อน หรือ เพื่อนบ้านที่เลว หรือ ผู้ประสงค์ร้าย ศาสนายูดาห์เชื่อว่า “ตาดี” เป็นตาที่ส่งความประสงค์ดีและความกรุณาต่อผู้อื่น ผู้ที่มีทัศนคติดังกล่าวจะมีความสุขกับการได้ดีของผู้อื่น และเป็นผู้มีความประสงค์ดีต่อเพื่อนมนุษย์ ส่วน “นัยน์ตาปีศาจ” เป็นทัศนคติตรงกันข้าม ผู้ที่เป็นเจ้าของ “นัยน์ตาปีศาจ” นอกจากจะเป็นผู้ที่มีแต่ความทุกข์และจะมีความทุกข์ทรมานเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดี แต่จะมีความสุขเมื่อเห็นผู้ใดประสบเคราะห์ ผู้ที่มีบุคลิกดังกล่าวเป็นอันตรายต่อความบริสุทธิ์ของจริยธรรมของคนทั่วไป[10] นี่คือทัศนคติโดยทั่วไปของศาสนายูดาห์เกี่ยวกับ “นัยน์ตาปีศาจ” ผู้ที่มีความเชื่อในคาบาลาห์หรือตำนานความเชื่อเรื่องลึกลับของยิวเชื่อว่าการใช้ด้ายแดงจะช่วยกันภัยจาก “นัยน์ตาปีศาจ” และกล่าวกันว่าการเห็นด้ายแดงตัดกับสีผิวก็ควรจะเป็นเครื่องเตือนเกี่ยวกับบทเรียนของเรเชล และสนับสนุนให้เราประพฤติตัวในวิถีทางที่จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตในทางที่ถูกที่ควร

อินเดีย

อินเดีย “นัยน์ตาปีศาจ” ที่เรียกว่า “drishtidosham” (แปลตรงตัวว่า “ตาแช่ง”) หรือ “nazar” เป็นตาที่ถอดจาก “Aarti” กระบวนการถอดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แล้วแต่ผู้ถูกถอด ถ้าเป็นการถอด “นัยน์ตาปีศาจ” ของมนุษย์ก็จะมีการทำพิธีไฟศักดิ์สิทธิ์บนถาดตามประเพณีฮินดู โดยการวนถาดหน้าผู้นั้นเพื่อดึงความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นออกจากผู้นั้น บางครั้งผู้ถูกแก้มนต์ก็อาจจะต้องถ่มน้ำลายลงบนกองพริกบนถาด แล้วเอาไปโยนเข้ากองไฟ ถ้ามีควันขึ้นมามากผู้นั้นก็จะถูกเย้ยหยันและจะไม่มีใครจ้องด้วยนัยน์ตาปีศาจได้ แต่ถ้าไม่มีควัน ผู้นั้นก็จะปลอดจาก “นัยน์ตาปีศาจ” แต่ถ้าเป็นยานพาหนะก็จะใช้มะนาวแทนพริก โดยให้รถแล่นทับมะนาวจนแตกเละ แล้วเอามะนาวลูกใหม่แขวนไว้กับพริกเพื่อกัน “นัยน์ตาปีศาจ” ที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต การแขวนดังกล่าวอาจจะพบในร้านค้าหรือบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ที่มักจะแขวนกันตรงประตู เจ้าของร้านชาวอินเดียบางคนก็อาจจะเผากระดาษหนังสือพิมพ์แล้วโบกเวียนก่อนที่จะปิดร้านกลับบ้าน

นอกจากตั้นก็อาจจะมีการใช้แป้งสีคุมคุมบนแก้คู่บ่าวสาวหรือเด็กก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการขจัดอำนาจของ “นัยน์ตาปีศาจ” ทารกหรือเด็กโดยทั่วไปจะถือว่ามีความบริสุทธิ์และจะดึงดูด “นัยน์ตาปีศาจ” แม่จึงมักแต้มจุดบนแก้มหรือหน้าผากของเด็กเพื่อให้เป็นตำหนิที่กันจาก “นัยน์ตาปีศาจ” หรืออาจจะผูกสายด้ายสีดำรอบเอวเด็กเพื่อจุดประสงค์เดียวกัน บางครั้งก็อาจจะแขวนห้อยหรือเครื่องรางบนสายคาดเอ็วด้วยก็ได้

อิสลาม

ตามธรรมเนียมมุสลิมบางอย่างถ้าจะมีการเยินยอกัน ผู้ทำการเยินยอก็จะใช้คำว่า “ما شاء الله”(Masha'Allah) ที่แปลว่า “ถ้าเป็นสิ่งพระเจ้ามีพระสงค์” เพื่อกันจากอันตรายของ “นัยน์ตาปีศาจ” ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่ดีหรือร้ายที่จะเกิดขึ้นก็ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้พูดภาษาดารีในอัฟกานิสถานใช้วลี “Nam-e Khoda” ที่แปลว่า “ในนามของพระเจ้า” แทน “ما شاء الله” หรือ “Chashmi bad dur” ที่แปลว่า “ขอให้ “นัยน์ตาปีศาจ” ไปอยู่ไกลๆ” และในภาษาอูรดู หรือในภาษาทาจิคที่เพี้ยนไปเล็กน้อย

ตุรกี

ดูบทความหลักที่: Evil eye in Turkish Culture
เรือบินตุรกีที่มี “Nazar boncuğu” หรือ “นัยน์ตาปีศาจ”

ในตุรกี เครื่องประดับ “นัยน์ตาปีศาจ” และ ของกระจุกกระจิกเป็นที่มีกันแพร่หลาย ประคำหลากสี, กำไล, สร้อยคอ, กำไลข้อเท้า และ เครื่องตกแต่งอื่นๆ ต่างก็ใช้สัญลักษณ์ “นัยน์ตาปีศาจ” ในการตกแต่งที่รวมทั้งเรือบิน

บังกลาเทศ

เด็กในบังกลาเทศมักจะมีจุดดำบนหน้าผากเพื่อกันจากความชั่งร้ายของ “นัยน์ตาปีศาจ” เด็กหญิงที่มักจะได้คำชมว่าสวยมักจะมีจุดดำหลังใบหู เพื่อไม่ให้ใครเห็น

อิหร่านและภูมิภาคเพื่อนบ้าน

อิหร่าน, อิรัก, ทาจิกิสถาน และ อัฟกานิสถานจะเผาต้นฮาร์มาล (Peganum harmala หรือเรียกว่าเอสฟานด์ หรือ เอสพันด์ด้วยถ่าน[11] ที่เมื่อปะทุก็จะโชยควันหอมที่ใช้โบกเหนือศีรษะผู้ที่ต้องสงสัยว่าโดนมนต์ หรือโดนจ้องโดยคนแปลกหน้า จากนั้นก็จะท่องบทสวดมนต์โซโรอัสเตอร์ขจัด “Bla Band” บทสวดมนต์ดังกล่าวท่องโดยทั้งมุสลิมและผู้ถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ในบริเวณที่มีการใช้เอสฟานด์ในการขจัดความชั่วร้าย ในอิหร่านบางครั้งก็จะมีการทำพิธีนี้ในภัตตาคาร ที่ลูกค้าอาจจะถูกจ้องโดยคนแปลกหน้า บางครั้งก็จะมีการใช้เอสฟานด์แห้งในบางบริเวณในตุรกี

ทิเบตและภูมิภาคหิมาลัย

ลูกปัดซีของทิเบต

ในทิเบตและบริเวณใกล้เคียงลูกปัดซี (Dzi bead) ถือกันว่าเป็นเครื่องรางในการขจัดภัยจาก “นัยน์ตาปีศาจ” และเป็นเครื่องรางที่นำโชค ขึ้นอยู่กับลวดลายและจำนวนตา ลูกปัดซีโบราณเป็นลูกปัดที่มีราคาสูงที่สุดเท่าที่ทราบกันมา หินซีเริ่มปรากฏขึ้นราว 2000 ถึง 1000 ปีก่อนคริสต์ศักราชในทิเบตโบราณ กล่าวกันว่าลูกปัดหลายแสนลูกถูกนำกลับมาโดยนักรบทิเบตจากภูมิภาคบัคเทรียเหนือเทือกเขาฮินดูกูชหรือทาจิกิสถานโบราณระหว่างที่ไปทำการปล้นรบ หรือ ต่อมายึดครอง ความกลัวอำนาจของ “นัยน์ตาปีศาจ” เป็นเรื่องที่จริงจังในหมู่ชนทิเบต ซึ่งทำให้เกิดการสร้างเครื่องรางในการป้องกันภัยอันเกิดจากอำนาจของ “นัยน์ตาปีศาจ” ขึ้นที่เป็นรูปตาเช่นกัน ลูกปัดซีสร้างด้วยโมราตกแต่งด้วยเส้นและวงโดยใช้วิธีโบราณอันเป็นเอกลักษณ์ เช่นทำสีให้เข้มขึ้นโดยการใช้น้ำตาลพืช และ ทำให้ร้อนและลอกให้สีอ่อนลง และเส้นตัดสีขาวทำด้วยนาทรอนโบราณ หรือด่างชนิดอื่น บางส่วนก็ทิ้งเอาไว้โดยไม่ก็ใช้ไขมัน, ดินเหนียว, ขี้ผึ้ง หรือ สารประเภทดังกล่าว วิธีการทำในสมัยโบราณได้แต่เพียงสันนิษฐานกันเท่านั้น

ลูกปัดซีมีด้วยกันสองหรือสามชนิด ชนิดหนึ่งมีเส้นของและ “ตา” และที่มีตาตามธรรมชาติของหิน ลูกปัดซีมักจะมีทรงกลมรีแต่ก็มีบ้างที่เป็นรูปเหรียญ

ลาตินอเมริกา

ในเม็กซิโก และ อเมริกากลาง ทารกจะมีอัตราเสี่ยงต่ออันตรายจาก “นัยน์ตาปีศาจ” สูงและมักจะให้ใส่กำไลเครื่องรางเพื่อพิทักษ์ โดยเฉพาะที่มีจุดเหมือนตา วิธีป้องกันอีกวิธีหนึ่งคือให้ผู้ชื่นชมกับเด็กได้จับต้องตัวเด็ก

วิธีรักษาอีกวิธีหนึ่งในเม็กซิโกก็โดย “curandero” (พ่อมด) จะลูบตัวผู้ต้องมนต์ด้วยฟองไข่ไก่ดิบเพื่อกำจัดอำนาจของผู้ที่มีอำนาจในการใช้ “นัยน์ตาปีศาจ” แล้วก็เอาไข่ไก่ไปทุบใส่ชามแก้วเพื่อตรวจสอบรูปร่าง รูปทรงไข่แดงเชื่อกันว่าสามารถบอกได้ว่าผู้มีเวทมนตร์เป็นชายหรือหญิง ตามธรรมเนียมฮิสปานิคของทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา และบางส่วนของเม็กซิโก เมื่อลูบตัวเสร็จ ผู้ต้องมนต์ก็จะตอกไข่ในชามน้ำ แล้วคลุมด้วยฟาง เอาไปวางไว้ใต้หัวของคนไข้ขณะที่ยังคงหลับ หรืออาจจะให้ไข่กลับโดยการทำเป็นเครื่องหมายกางเขน จากนั้นก็จะทำการตรวจตราใข่ในชามเพื่อจะดูว่าสำเร็จไปได้แค่ไหนเท่าใด[12]

ในบางส่วนของอเมริกาใต้ การทำ “Ojear” หรือที่แปลว่า “ก่ออันตรายโดยนัยน์ตาปีศาจ” ให้กับเด็ก, สัตว์โดยการจ้อง การกระทำเช่นนี้อาจจะก่อให้เกิดความเจ็บป่วย หรือการใช้งานไม่ได้ถ้าเป็นสิ่งของหรือยานยนตร์ นอกจากนั้นแล้วก็ยังเชื่อกันว่า “การจ้อง” เป็นการกระทำโดยไม่จงใจ ฉะนั้นการป้องกันก็อาจจะทำได้โดยการผูกริบบอนสีแดงกับสัตว์, เด็ก หรือสิ่งของ เพื่อหันเหความสนใจให้ไปจ้องริบบอนแทน[13]

บราซิล

ในบราซิลสิ่งที่คล้ายคลึงกับ “นัยน์ตาปีศาจ” คือ “olho gordo” (แปลง่ายๆ ว่า “ตาโต”) เชื่อกันว่าเมื่อถ้าผู้ใดชมสิ่งของที่เป็นของผู้อื่น เจ้าของก็ควรจะระมัดระวังว่าผู้ชมคือใคร ถ้าการชมเป็นไปด้วยความประสงค์ดีก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามสิ่งของนั้นก็อาจจะตกไปเป็นของผู้นั้นหรือสูญหายไป ถ้าสิ่งของได้รับความเสียหายในอนาคตก็เชื่อกันว่าเกิดจากการกระทำของผู้ที่มีความอิจฉาผู้กล่าวชมสิ่งของนั้น

สหรัฐอเมริกา

นัยนาของโฮรัส

ในปี ค.ศ. 1946 นักมายากลเฮนรี กามาชีตีพิมพ์หนังสือชื่อ “Terrors of the Evil Eye Exposed!” (เผยความกลัว “นัยน์ตาปีศาจ”!) ที่บอกวิธีป้องกันตนเองจาก “นัยน์ตาปีศาจ” งานเขียนของกามาชีเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง “นัยน์ตาปีศาจ” แก่นักปฏิบัติวูดูแอฟริกันอเมริกันทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา

อียิปต์

นัยนาของโฮรัส - โฮรัสเป็นเทพแห่งท้องฟ้าของอียิปต์โบราณที่มาในรูปของเหยี่ยว ตาขวาเป็นสัญลักษณ์ของตาเหยี่ยวและเครื่องหมายรอบตา ที่บางครั้งก็จะรวมทั้งรอยน้ำตาใต้ตา ตาขวาของโฮรัสตามความเชื่อของวัฒนธรรมอียิปต์โบราณเชื่อกันว่ามีอำนาจในการป้องกันอันตรายจาก “นัยน์ตาปีศาจ” ในอียิปต์สมัยใหม่ก็จะใช้เครื่องรางเช่น “มือฮัมซา” ในการป้องกัน

แหล่งที่มา

WikiPedia: นัยน์ตาปีศาจ http://www.evileyebead.com http://www.forteantimes.com/features/articles/241/... http://books.google.com/books?id=KuGhL9L79jsC&pg=P... http://books.google.com/books?id=cwB8Hfkjpx0C&pg=P... http://books.google.com/books?id=slCv57rekusC&pg=P... http://www.hermetic.com/bey/evil_eye.html http://www.luckymojo.com/aspand.html http://www.luckymojo.com/evileye.html http://makedua.com/display_dua.php?sectionid=118 http://www.sacred-texts.com/evil/tee/index.htm