เมนูนำทาง
น้ำตาลในเลือด การวัดระดับกลูโคสกลูโคสสามารถวัดได้จากในเลือดครบส่วน (whole blood) พลาสมา หรือ ซีรัม ในอดีตการตรวจระดับกลูโคสจะหมายถึงการตรวจในเลือดครบส่วน แต่ในปัจจุบันห้องปฏิบัติการทางการแพทย์โดยส่วนมากจะตรวจจากซีรัมแทน เนื่องจากในเม็ดเลือดแดงนั้นมีความเข้มข้นของโปรตีน เช่น ฮีโมโกลบิน ในระดับที่สูงมากกว่าในซีรัม ในขณะที่ซีรัมนั้นประกอบด้วยน้ำมากกว่าซึ่งทำให้กลูโคสจะละลายได้ในซีรัมมากกว่าในเลือดครบส่วน ดังนั้น ในการเปลี่ยนค่าระดับกลูโคสในเลือดครบส่วนเป็นระดับกลูโคสในซีรัมหรือพลาสมาให้คูณด้วย 1.15
การเก็บเลือดในหลอดสำหรับแยกซีรัม (clot tubes) เพื่อใช้ในการตรวจทางเคมีคลินิกนั้น กระบวนการเผาผลาญกลูโคสจะยังดำเนินการอยู่โดยเซลล์เม็ดเลือดจนกว่าจะทำการปั่นแยกเสียก่อน ปริมาณเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงที่สูงผิดปกติสามารถทำให้เกิดกระบวนการ glycolysis ในสิ่งส่งตรวจซึ่งจะมีผลทำให้ระดับกลูโคสที่ได้น้อยกว่าความเป็นจริงได้หากเราไม่ทำการแยกซีรัมออกมาอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ อุณหภูมิในการเก็บรักษาสิ่งส่งตรวจก่อนที่จะทำการปั่นเหวี่ยงและแยกซีรัมหรือพลาสมาก็มีผลต่อระดับกลูโคสเช่นกัน โดยถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นระดับกลูโคสจะค่อนข้างเสถียรอยู่ได้เป็นเวลาหลายชั่วโมง การสูญเสียกลูโคสในสิ่งส่งตรวจสามารถป้องกันได้โดยใช้หลอดที่ใส่สารฟลูออไรด์ (เช่น หลอดฝาสีเทา) ซึ่งฟลูออไรด์จะทำการยับยั้งการเกิด glycolysis อย่างไรก็ตาม ควรใช้เมื่อต้องทำการขนย้ายสิ่งส่งตรวจจากห้องปฏิบัติการทางการแพทย์หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หลอดที่มีฝาสีแดงสำหรับแยกซีรัม หลอดที่มีฝาสีแดงสำหรับแยกซีรัมนั้นก็สามารถรักษาสภาพของกลูโคสได้เช่นกันหลังจากแยกซีรัมออกจากเซลล์แล้ว
การป้องกันการปนเปื้อนของสิ่งส่งตรวจจากของเหลวทดแทนทางหลอดเลือด (intravenous fluids) ควรเก็บเลือดจากแขนที่ตรงข้ามกับแขนที่เสียบสายให้ของเหลวทดแทนทางหลอดเลือดอยู่ หรือถ้าต้องเก็บเลือดจากแขนข้างที่เสียบสาย IV ควรเก็บเลือดหลังจากหยุดการให้ของเหลวทาง IV แล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 5 นาทีและยกแขนขึ้นเพื่อให้ของเหลวนั้นระบายออกไปจากหลอดเลือดดำเสียก่อน หากละเลยในข้อนี้จะส่งผลให้ค่าของระดับกลูโคสที่วัดได้มีความผิดพลาดอย่างมาก โดยถ้าเกิดการปนเปื้อนเพียง 10% จาก 5% ของสารละลารกลูโคส (D5W) จะทำให้ระดับกลูโคสที่วัดได้สูงถึง 500 mg/dl หรือมากกว่า พึงระลึกไว้เสมอว่าความเข้มข้นของกลูโคสที่แท้จริงนั้นมีระดับที่ต่ำมากถึงแม้จะอยู่ในภาวะน้ำตาลในเลือดสูงก็ตาม
การตรวจระดับกลูโคสก่อนการรับประทานจากหลอดเลือดแดง หลอดเลือดฝอย และหลอดเลือดดำจะมีค่าที่ใกล้เคียงกันในแต่ละบุคคล แต่หลังจากรับประทานอาหารแล้วระดับกลูโคสที่ตรวจจากหลอดเลือดดำจะมีค่าต่ำกว่าหลอดเลือดแดงหรือหลอดเลือดฝอยประมาณ 10%
การตรวจระดับกลูโคสมีอยู่ 2 วิธีหลัก วิธีแรก คือ วิธีทางเคมีที่ใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติ nonspecific reducing ของกลูโคสซึ่งตัวบ่งชี้จะเปลี่ยนแปลงสีเมื่อเกิดปฏิกิริยาขึ้น วิธีนี้ยังคงมีการใช้อยู่ในบางแห่ง แต่เนื่องจากสารประกอบอื่นๆ ในเลือดก็มีคุณสมบัติ reducing ได้ เช่น ยูเรีย ทำให้วิธีนี้สามารถเกิดความผิดพลาดได้ในบางกรณี (ประมาณ 5 - 15 mg/dl) อีกวิธีหนึ่ง คือ การใช้เอนไซม์ที่มีความจำเพาะต่อกลูโคส โดยเอนไซม์พื้นฐานที่สุดที่ใช้สำหรับวิธีนี้ คือ glucose oxidase และ hexokinase
การตรวจด้วยระบบสารเคมีโดยทั่วไปจะอยู่ในรูปแบบของแถบตรวจซึ่งสามารถใส่เข้าไปในเครื่องอ่านและหยอดลงไป สำหรับรูปร่างของแถบตรวจและการจัดวางองค์ประกอบของเคมีจะแตกต่างกันระหว่างเครื่องอ่านและไม่สามารถใช้ด้วยกันได้ แต่เดิมนั้นแถบตรวจกลูโคสจะถูกอ่านด้วยตาและแปลผลโดยเทียบกับสีข้างขวดใส่แถบตรวจ แถบตรวจชนิดนี้ยังใช้สำหรับการตรวจระดับกลูโคสในปัสสาวะ แต่สำหรับการตรวจกลูโคสในเลือดถือว่าเป็นสิ่งที่ล้าสมัย เนื่องจากอัตราความผิดพลาดของมันค่อนข้างสูง
การตรวจกลูโคสในปัสสาวะเป็นประโยชน์น้อย เนื่องจากในสภาวะการทำงานของไตที่ปกตินั้นเราไม่สามารถตรวจพบกลูโคสได้ การตรวจพบกลูโคสในปัสสาวะนั้นแสดงว่าอยู่ในภาวะระดับกลูโคสสูงอย่างรุนแรงแล้ว นอกจากนี้ ปัสสาวะที่เก็บอยู่ในกระเพาะปัสสาวะนั้นเป็นระดับกลูโคสที่ผลิตขึ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้นแ ถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเมทาบอลิซึมอย่างรวดเร็วการตรวจระดับกลูโคสจากปัสสาวะจึงเป็นการได้ข้อมูลที่ล่าช้าและไม่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่นัก การตรวจระดับกลูโคสจากเลือดจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าทั้งในแง่ทางคลินิกและการสามารถตรวจได้เองที่บ้าน ระดับกลูโคสในปัสสาวะของผู็ที่มีสุขภาพดีถูกนำมาใช้เป็นค่ามาตรฐานและตีพิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1965 [7] โดย Hans Renschler
I. วิธีทางเคมี | ||
A. Oxidation-reduction reaction | ||
G l u c o s e + A l k a l i n e c o p p e r t a r t a r a t e → R e d u c t i o n C u p r o u s o x i d e {\displaystyle \mathrm {Glucose} +\mathrm {Alkaline\ copper\ tartarate} {\xrightarrow {\mathrm {Reduction} }}\mathrm {Cuprous\ oxide} } | ||
1. Alkaline copper reduction | ||
Folin-Wu method | C u + + + P h o s p h o m o l y b d i c a c i d → O x i d a t i o n P h o s p h o m o l y b d e n u m o x i d e {\displaystyle \mathrm {Cu} ^{++}+\mathrm {Phosphomolybdic\ acid} {\xrightarrow {\mathrm {Oxidation} }}\mathrm {Phosphomolybdenum\ oxide} } | ผลผลิตสุดท้ายให้สีฟ้า |
---|---|---|
Benedict's method |
| |
Nelson-Somogyi method | C u + + + A r s e n o m o l y b d i c a c i d → O x i d a t i o n A r s e n o m o l y b d e n u m o x i d e {\displaystyle \mathrm {Cu} ^{++}+\mathrm {Arsenomolybdic\ acid} {\xrightarrow {\mathrm {Oxidation} }}\mathrm {Arsenomolybdenum\ oxide} } | ผลผลิตสุดท้ายให้สีฟ้า |
Neocuproine method | C u + + + N e o c u p r o i n e → O x i d a t i o n C u + + n e o c u p r o i n e c o m p l e x {\displaystyle \mathrm {Cu} ^{++}+\mathrm {Neocuproine} {\xrightarrow {\mathrm {Oxidation} }}\mathrm {Cu} ^{++}\mathrm {neocuproine\ complex} } * | Yellow-orange color neocuproine[8] |
Shaeffer-Hartmann-Somogyi |
| |
2. Alkaline Ferricyanide Reduction | ||
Hagedorn-Jensen | G l u c o s e + A l k a l i n e f e r r i c y a n i d e ⟶ F e r r o c y a n i d e {\displaystyle \mathrm {Glucose} +\mathrm {Alkaline\ ferricyanide} \longrightarrow \mathrm {Ferrocyanide} } | ผลผลิตสุดท้ายไม่มีสี; ปฏิกิริยาสามารถถูกรบกวนได้จากสาร reducing อื่น ๆ |
B. Condensation | ||
Ortho-toluidine method |
| |
Anthrone (phenols) method |
| |
II. วิธีทางเอนไซม์ | ||
A. Glucose oxidase | ||
G l u c o s e + O 2 → O x i d a t i o n g l u c o s e o x i d a s e C u p r o u s o x i d e {\displaystyle \mathrm {Glucose} +\mathrm {O} _{2}{\xrightarrow[{\mathrm {Oxidation} }]{\mathrm {glucose\ oxidase} }}\mathrm {Cuprous\ oxide} } | ||
Saifer–Gerstenfeld method | H 2 O 2 + {\textit {O}}-dianisidine → O x i d a t i o n p e r o x i d a s e H 2 O + o x i d i z e d c h r o m o g e n {\displaystyle \mathrm {H_{2}O_{2}} +{\textrm {{\textit {O}}-dianisidine}}{\xrightarrow[{\mathrm {Oxidation} }]{\mathrm {peroxidase} }}\mathrm {H_{2}O} +\mathrm {oxidized\ chromogen} } | ถูกยับยั้งด้วยสาร reducing เช่น BUA, bilirubin, glutathione, ascorbic acid |
Trinder method |
| |
Kodak Ektachem |
| |
Glucometer |
| |
B. Hexokinase | ||
G l u c o s e + A T P → P h o s p h o r y l a t i o n H e x o k i n a s e + M g + + G-6PO 4 + A D P G-6PO 4 + N A D P → O x i d a t i o n G-6PD G-Phosphogluconate + N A D P H + H + {\displaystyle {\begin{alignedat}{2}&\mathrm {Glucose} +\mathrm {ATP} {\xrightarrow[{\mathrm {Phosphorylation} }]{\mathrm {Hexokinase} +\mathrm {Mg} ^{++}}}{\textrm {G-6PO}}_{4}+\mathrm {ADP} \\&{\textrm {G-6PO}}_{4}+\mathrm {NADP} {\xrightarrow[{\mathrm {Oxidation} }]{\textrm {G-6PD}}}{\textrm {G-Phosphogluconate}}+\mathrm {NADPH} +\mathrm {H} ^{+}\\\end{alignedat}}} | ||
| ||
การตรวจหาระดับกลูโคสในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมงเป็นการตรวจที่พื้นฐ่นมากสำหรับบ่งชี้การรักษาสมดุลของกลูโคสเนื่องจากไม่มีการรบกวนจากการรับประทานอาหารเข้ามาเกี่ยวข้อง ผลกระทบของระดับกลูโคสแสดงในตารางด้านล่าง ซึ่งภาวะผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของกลไกการควบคุมระดับกลูโคส
การประเมินภาวะของการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตสามารถทำได้โดยการวัดระดับกลูโคสหลังจากการรับประทานอาหารหรือได้รับกลูโคสเป็นเวลา 2 ชั่วโมง รวมทั้ง การตรวจ glucose tolerance test ซึ่งจะทำการตรวจวัดระดับกลูโคสหลายครั้งหลังจากรับประทานกลูโคสที่มีปริมาณมาตรฐานเข้าไป การตรวจนี้มีจุดมุ่งหมายสำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานสำหรับการตรวจวัดระบบควบคุมอินซูลิน/กลูโคส แต่มีขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้เวลา รวมทั้ง ต้องทำการตรวจเลือดหลายครั้ง เมื่อเปรียบเทียกับการตรวจกลูโคสหลังจากการอดอาหาร หรือที่เรียกว่า fasting blood glucose test ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าเนื่องจากมีปัจจัยที่ทำให้เกิดความแปรปรวนมากกว่า เช่น ปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารที่รับประทานและการใช้พลังงานก่อนเข้ารับการตรวจวัด ผู้เข้ารับบริการที่อยู่ในภาวะก่อนเป็นโรคเบาหวานรวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถมีระดับกลูโคสในเลือดหลังจากการอดอาหารในระดับที่ต่อกว่าเกณฑ์ได้ ถ้าพวกเขารับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำและสามารถเผาผลาญกลูโคสก่อนเข้ารับการตรวจ นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีผลต่อการวัดระดับกลูโคสในเลือด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ค่าที่ได้ออกมามีความน่าเชื่อถือ
อัตราการผิดพลาดของการวัดระดับกลูโคสจะมีความแตกต่างกันไปขึ้นกับห้องปฏิบัติการและวิธีการวัดของแต่ละแห่ง การวัดโดยวิธีการวัดจากสีนั้นสามารถทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนจากสีที่เปลี่ยนไปบนแถบตรวจได้ (อาจจะเกิดจากการปนเปื้อนที่เกิดจากอากาศหรือนิ้วมือ) หรือเกิดจากสิ่งรบกวน (เช่น สีปนเปื่อน) ที่เกิดกับแหล่งกำเนิดแสงหรือตัวจับแสง สำหรับการตรวจระดับกลูโคสด้วยตัวเองที่บ้านนั้นก็มีแนวโน้มที่จะมีความผิดพลาดอยู่บ้าง ถ้าหากการตรวจนั้นมีความผิดพลาดประมาณ 10% ผลกระทบก็อาจจะเกิดขึ้นไม่มากนัก ตราบเท่าที่การเปลี่ยนแปลงมีการติดตามอย่างถูกต้อง เช่น เนื่องจากการออกกำลังกายหรือปรับเปลี่ยนยารักษาโรค ในสหรัฐอเมริกา เครื่องมือที่ใช้ตรวจระดับกลูโคสในเลือดต้องผ่านการตรวจสอบจากกรรมการอาหารและยาของรัฐบาลกลางก่อนจึงขายได้
ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอย่างเรื้อรัง | ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงอย่างชั่วคราว | ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างเรื้อรัง | ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างชั่วคราว |
---|---|---|---|
ช่วงค่าอ้างอิง, FBG: 70–110 mg/dl | |||
Diabetes mellitus | Pheochromocytoma | Insulinoma | Acute alcohol ingestion |
Adrenal cortical hyperactivity Cushing's syndrome | Severe liver disease | Adrenal cortical insufficiency Addison's disease | Drugs: salicylates, antituberculosis agents |
Hyperthyroidism | Acute stress reaction | Hypopituitarism | Severe liver disease |
Acromegaly | Shock | Galactosemia | Several glycogen storage diseases |
Obesity | Convulsions | Ectopic insulin production from tumors | Hereditary fructose intolerance |
เมนูนำทาง
น้ำตาลในเลือด การวัดระดับกลูโคสใกล้เคียง
น้ำตา น้ำตาล น้ำตาลในเลือด น้ำตากามเทพ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลแดง น้ำตาลขอนแก่น น้ำตาลครบุรี น้ำตาลไม่หวาน น้ำตาลรีดิวซ์แหล่งที่มา
WikiPedia: น้ำตาลในเลือด http://www.abbottdiabetescare.com.au/diabetes-faq-... http://hazard.com/msds/mf/baker/baker/files/d6824.... http://www.ajcn.org/content/67/6/1186.full.pdf http://www.faqs.org/faqs/diabetes/faq/part1/sectio... http://www.online-medical-dictionary.org/4-Aminoph...