ทฤษฎี ของ ประชาธิปไตย

เพลโตและอริสโตเติล

ภาพวาดเพลโตและอริสโตเติล สองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ยุคกรีกโบราณ

สำหรับทั้งเพลโตและอริสโตเติลแล้ว นักปราชญ์ทั้งสองนี้ไม่เห็นด้วยกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เพลโตได้แสดงความเห็นถึงผู้นำของรัฐในอุดมคติในหนังสืออุตมรัฐ ว่า "ผู้นำของรัฐ ควรจะเป็นผู้นำกลุ่มน้อยที่ทรงภูมิความรู้และเปี่ยมด้วยคุณธรรม อุทิศตนเองให้กับรัฐ เมื่อรัฐมีผู้นำที่มีคุณภาพเช่นนี้ รัฐนั้นก็เจริญก้าวหน้า มีระบบการบริหารที่ดี ประชาชนจะมีชีวิตที่เป็นสุข"[54] โดยเขาเห็นว่านักปราชญ์และนักปกครองเป็นผู้นำที่ดี โดยถือว่าการปกครองแบบอภิชนาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด เนื่องจากเพลโตขมขื่นจากการตัดสินของกลุ่มคนที่ให้ประหารโสกราตีส[55]

ส่วนทางด้านอริสโตเติลได้เปรียบเทียบแบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็นสามรูปแบบ ได้แก่ การปกครองโดยบุคคลเพียงคนเดียว (สมบูรณาญาสิทธิราช/ทรราช) การปกครองโดยคณะบุคคลส่วนน้อย (อภิชนาธิปไตย/คณาธิปไตย) และการปกครองโดยคนส่วนใหญ่ (โพลิตี/ประชาธิปไตย) ซึ่งรูปแบบที่กล่าวมานั้น อริสโตเติลได้จัดแบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็นรูปแบบที่ดีและเลวตามลำดับ และเขาได้พิจารณาว่าระบอบประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่ไม่ดีเมื่อเทียบกับการปกครองโดยชนชั้นกลาง[56][57]

เขาเชื่อว่ารากฐานของระบอบประชาธิปไตยนั้นมาจากเสรีภาพ ซึ่งมีเพียงการปกครองแบบดังกล่าวเท่านั้นที่พลเมืองสามารถแบ่งปันเสรีภาพร่วมกันได้ ซึ่งเขาก็ได้โต้แย้งว่านี่เป็นวัตถุประสงค์ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยทิศทางหลักของเสรีภาพ ประกอบด้วย ภาวะผู้นำและภาวะผู้ตามที่ดี เนื่องจากทุกคนมีความเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการเหลื่อมล้ำทางฐานะ ความสามารถ ชาติกำเนิด และสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้

"เดี๋ยวนี้หลักการมูลฐานพื้นฐานของรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตย คือ เสรีภาพ นั่นคือ สิ่งที่ถูกยืนยันตามปกติ โดยบอกเป็นนัยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะเป็นส่วนในเสรีภาพ เพราะพวกเขายืนยันเสรีภาพนี้ว่าเป็นเป้าหมายของทุกประชาธิปไตย แต่ปัจจัยหนึ่งของเสรีภาพ คือ การปกครองและการถูกปกครองในขณะเดียวกัน เพราะหลักความยุติธรรมที่ได้รับความนิยมคือ ความเท่าเทียมกันตามจำนวน มิใช่ความมั่งมี และหากนี่เป็นหลักความยุติธรรมที่แพร่หลาย มหาชนจำต้องเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและการตัดสินใจของเสียงข้างมากนั้นต้องเป็นที่สุดและต้องกอปรด้วยความยุตธรรม เพราะพวกเขาว่า พลเมืองแต่ละคนควรมีส่วนแบ่งเท่าเทียมกัน เพื่อที่มันจะส่งลให้ในประชาธิปไตย คนจนทรงอำนาจกว่าคนรวย เพราะมีคนจนมากว่าและอะไรก็ตามที่เสียงข้างมากตัดสินนั้นต้องอยู่สูงสุด จากนั้น นี่เป็นเครื่องหมายหนึ่งของเสรีภาพซึ่งนักประชาธิปไตยตัดสินว่าเป็นหลักของรัฐธรรมนูญ หนึ่ง คือ ความเป็นอิสระของมนุษย์ที่จะดำเนินชีวิตตามใจชอบ เพราะเขาว่าเป็นการทำหน้าที่ของเสรีภาพ เพราะการดำเนินชีวิตอย่างที่มนุษย์คนหนึ่งไม่ชอบนั้นเป็นชีวิตของชายที่ตกเป็นทาส นี่เป็นหลักประชาธิปไตยข้อสอง และจากข้อนี้ เนื่องจากมีการกล่าวอ้างว่าจะต้องไม่ถูกปกครองโดยบุคคลใด ๆ ก็ตาม หรือการปกครองและถูกปกครองในเวลาเดียวกันนั้นไม่เป็นผล และนี่จะเป็นวิถีที่หลักข้อสองสนับสนุนเสรีภาพสมภาค[3]"

ทฤษฎีรูปแบบอื่น

สำหรับนักทฤษฎีการเมืองแล้ว ได้มีการเสนอรูปแบบของประชาธิปไตยอีกเป็นจำนวนมาก อันประกอบด้วย:

  • ประชาธิปไตยแบบรวมกัน (Agregative Democracy) ซึ่งเป็นกระบวนการประชาธิปไตยที่โอนเอียงเข้าหาข้อเรียกร้องของพลเมือง จากนั้นจึงนำข้อเรียกร้องดังกล่าวเพื่อมาตัดสินรูปแบบนโยบายทางสังคมที่สมควรนำไปปฏิบัติ ฝ่ายผู้ไม่เห็นด้วยได้แสดงความคิดเห็นว่า การมีส่วนร่วมในการปกครองรูปแบบประชาธิปไตยนั้นควรจะเน้นไปยังการเลือกตั้งอันเป็นสิทธิพื้นฐาน ซึ่งนโยบายที่มีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมากก็จะได้รับการนำไปปฏิบัติ ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบ
    • ตามแนวคิดจุลนิยมแล้ว ประชาธิปไตย คือ รูปแบบการปกครอง ซึ่งประชาชนได้มอบสิทธิในการใช้อำนาจให้กับผู้นำทางการเมืองตามระยะเวลาการเลือกตั้งคราวหนึ่ง ตามแนวคิดจุลนิยม ประชาชนไม่สามารถและไม่มีสิทธิในการปกครอง เนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาส่วนใหญ่ของมนุษยชาตินั้นไม่มีวิสัยทัศน์หรือถ้ามีก็เลว ซึ่งโจเซฟ ชุมเปเตอร์ได้เสนอมุมมองของเขาในหนังสือเรื่อง Capitalism, Socialism, and Democracy อันโด่งดังของเขา[58] โดยมีผู้สนับสนุน ได้แก่ วิลเลียม เอช. ไรเกอร์ อดัม ปร์เซวอร์สกี และริชาร์ด พอสเนอร์
    • อีกฝ่ายหนึ่ง แนวคิดประชาธิปไตยทางตรง ยึดมั่นในแนวคิดที่ว่าประชาชนควรมีส่วนร่วมในกระบวนการการร่างกฎหมายและนโยบายของรัฐอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องใช้อำนาจผ่านผู้แทนราษฎร ผู้สนับสนุนประชาธิปไตยทางตรงได้ยกเหตุผลสนับสนุนระบอบดังกล่าวอยู่หลายข้อ จากการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองจะเป็นประโยชน์แก่พลเมืองของรัฐ เนื่องจากจะนำไปสู่การสร้างชุมชนและการศึกษา การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนยังจะเป็นการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และเหตุผลที่สำคัญที่สุด พลเมืองมิได้ปกครองตนเองนอกเหนือจากการตัดสินใจร่างกฎหมายและร่างนโยบายโดยตรงเท่านั้น
    • รัฐบาลมักออกกฎหมายและนโยบายซึ่งใกล้เคียงกับแนวคิดสายกลาง ซึ่งแท้จริงแล้ว ผลกระทบอันพึงปรารถนาเมื่อแสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ส่วนตนและการกระทำที่ปล่อยปละละเลย เพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงของประชาชน ซึ่งแอนโทนี ดาวนส์ได้เสนอว่าควรจะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองในอุดมคติขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างปัจเจกบุคคลกับรัฐบาล โดยเขาได้แสดงแนวคิดของเขาในหนังสือ An Economic Theory of Democracy ใน ค.ศ. 1957[59]
    • โรเบิร์ต เอ. ดาห์ลได้โต้แย้งว่าหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยนั้น เมื่อเป็นการตัดสินใจร่วมกันอย่างผูกมัดแล้ว พลเมืองแต่ละคนในชุมชนก็สมควรจะได้รับประโยชน์ตามที่ตนได้กำหนดไว้ให้เป็นการพิจารณาอย่างเท่าเทียมกัน จึงไม่จำเป็นที่ประชากรทุกคนจะมีความพึงพอใจอย่างเสมอกันในการตัดสินใจของส่วนรวมนั้น เขาได้ใช้คำว่า "โพลีอาร์ชี" (poliarchy) เพื่อใช้แทนสังคม ซึ่งมีรูปแบบขนบธรรมเนียมและการปฏิบัติ อันจะนำไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง แต่สิ่งแรกที่จะต้องมาก่อนขนบธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้ คือ การเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม เพื่อเลือกผู้แทนซึ่งจะทำหน้าที่บริหารนโยบายส่วนร่วมทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดของสังคม อย่างไรก็ดี ระบบดังกล่าวอาจมิได้สร้างให้เกิดรูปแบบประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ได้ เช่น ความยากจนขัดสนซึ่งขัดขวางประชาธิปไตย[60] และยังมีคนบางกลุ่มที่มองเห็นถึงปัญหาที่เหล่าเศรษฐีกำลังมีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังต่อต้านการรณรงค์ปฏิรูปเศรษฐกิจ บางคนว่าการกำหนดนโยบายโดยใช้เสียงส่วนใหญ่นั้นเป็นการปกครองที่ตรงกันข้ามกับการปกครองโดยประชาชนทั้งหมด โดยเหตุผลดังกล่าวสามารถยกไปอ้างเพื่ออำนาจที่มีส่วนร่วมทางการเมือง เช่น การบังคับเลือกตั้ง หรือสำหรับการกระทำที่อดทนกว่านั้น โดยการอดทนขัดขวางอำนาจของรัฐบาล จนกระทั่งประชาชนส่วนใหญ่สมัครใจจะพูดในสิ่งที่ตนคิดออกมา
  • ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ (deliberative democracy) ตั้งอยู่บนแนวความคิดที่ว่าประชาธิปไตยเป็นการปกครองโดยการอภิปราย ผู้สนับสนุนยืนยันว่ากฎหมายและนโยบายควรจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลซึ่งประชาชนทุกคนสามารถรับได้ และในสนามการเมืองควรจะเป็นสถานที่ซึ่งผู้นำและพลเมืองสามารถถกเถียง รับฟัง และเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของตนได้
  • ประชาธิปไตยมูลฐาน (radical democracy) ตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวความคิดที่ว่า มีการแบ่งชนชั้นและการกดขี่เกิดขึ้นในสังคม บทบาทของประชาธิปไตยควรจะเปิดเผยและท้าทายต่อความสัมพันธ์ดังกล่าว โดยการเปิดโอกาสให้ความแตกต่างทางความคิดเพื่อนำมาใช้ประกอบในการตัดสินใจ

สาธารณรัฐ

ในอีกแง่มุมหนึ่ง คำว่า ประชาธิปไตย หมายถึง รัฐบาลที่ได้รับเลือกเข้ามาจากประชาชน โดยอาจเป็นประชาธิปไตยทางตรงหรือทางอ้อมก็ได้[61] ส่วนคำว่า สาธารณรัฐ สามารถตีความได้หลายความหมาย แต่ในปัจจุบันนี้ คำว่า สาธารณรัฐ หมายถึง ประชาธิปไตยทางอ้อมซึ่งสามารถเลือกตั้งประมุขแห่งรัฐได้โดยตรง โดยมีระยะเวลาบริหารประเทศที่จำกัด ซึ่งตรงกันข้ามกับรัฐที่ปกครองโดยราชวงศ์ซึ่งสืบทอดตำแหน่งโดยสายเลือด แม้ว่ารัฐเหล่านี้จะมีส่วนของประชาธิปไตยทางอ้อม ซึ่งมีการเลือกหรือแต่งตั้งหัวหน้ารัฐบาล คือ นายกรัฐมนตรี[62]

เหล่าบิดาผู้ก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ให้การยกย่องประชาธิปไตยน้อยครั้ง แต่วิพากษ์วิจารณ์ประชาธิปไตยบ่อยครั้ง เนื่องจากแนวคิดประชาธิปไตยในสมัยนั้น หมายความถึง ประชาธิปไตยทางตรง เจมส์ เมดิสัน ได้โต้แย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สหพันธรัฐนิยมหมายเลข 10 ว่าสิ่งใดที่เป็นความแตกต่างระหว่างประชาธิปไตยแตกต่างจากสาธารณรัฐ นั่นคือ ประชาธิปไตยจะค่อย ๆ อ่อนแอลงเมื่อมีพลเมืองมากขึ้น และจะได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นจากการแบ่งฝักฝ่าย ตรงกันข้ามกับสาธารณรัฐ ซึ่งจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีพลเมืองมากขึ้นและต่อกรกับฝักฝ่ายอื่น ๆ โดยใช้โครงสร้างสาธารณรัฐ

ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและสภาสูง

นับตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติอเมริกาแล้ว คำถามต่อมา คือ ประชาธิปไตยจะมีวิธีการอย่างไรในการควบคุมเสียงส่วนใหญ่ให้อยู่ในขอบเขต อันได้นำไปสู่แนวคิดของสภาสูง โดยสมาชิกอาจเลือกสมาชิกสภาสูงเข้ามาผู้มีความรู้ความสามารถ หรือเป็นขุนนางมาตลอดชีวิต หรือควรจะมีการจำกัดอำนาจของกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในบางประเทศนั้น ได้มาจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ หรือค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงฐานะทางการเมืองของกษัตริย์ให้เหลือเพียงสัญลักษณ์หรือศูนย์รวมจิตใจเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว สถาบันกษัตริย์มักจะถูกล้มล้างลง พร้อม ๆ กับเหล่าชนชั้นสูง และบางประเทศซึ่งขุนนางชั้นสูงได้สูญเสียอำนาจลงไป หรืออาจเปลี่ยนแปลงไปใช้ระบบการเลือกตั้งแทน

แหล่งที่มา

WikiPedia: ประชาธิปไตย http://www.humanities.mq.edu.au/Ockham/y6704.html http://www.dwatch.ca http://annourbis.com/Ancient-Rome/8rome10.html http://the-fear-of-freedom.blogspot.com/2008/11/pl... http://www.britannica.com/EBchecked/topic/157129/d... http://www.conservativeclassics.com/books/libertyb... http://www.economist.com/markets/rankings/displays... http://www.enterstageright.com/archive/articles/01... http://www.gegenstandpunkt.com/english/state/toc.h... http://books.google.com/books?id=4BL5WqHHVrwC&pg=P...