ประวัติศาสตร์ ของ ประชาธิปไตย

ยุคโบราณ

คำว่า ประชาธิปไตย ปรากฏขึ้นครั้งแรกในแนวคิดทางการเมืองและทางปรัชญาในกรีซโบราณ ปราชญ์เพลโตเปรียบเทียบประชาธิปไตยซึ่งเขาเรียกว่าเป็น "การปกครองโดยผู้ถูกปกครอง" ว่าเป็นรูปแบบทางเลือกสำหรับระบอบราชาธิปไตย คณาธิปไตย และเศรษฐยาธิปไตย[17] แม้ถือว่าประชาธิปไตยแบบเอเธนส์เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยทางตรง แต่เดิมประชาธิปไตยแบบเอเธนส์มีลักษณะเด่นอยู่สองประการ คือ มีการคัดเลือกพลเมืองธรรมดาจำนวนมากเข้าสู่ระบบราชการและศาล[18] และมีการชุมนุมของพลเมืองทุกชนชั้น[19]

พลเมืองทุกคนมีสิทธิอภิปรายและลงมติในสภาซึ่งเป็นที่ออกกฎหมายของนครรัฐ ทว่า ความเป็นพลเมืองเอเธนส์นั้นรวมเฉพาะชายทุกคนซึ่งเกิดจากบิดาที่เป็นพลเมือง และผู้ที่กำลัง "รับราชการทหาร" ระหว่างอายุ 18-20 ปีเท่านั้น ซึ่งไม่รวมผู้หญิง ทาส คนต่างชาติ (กรีก: μετοίκος, metoikos) และชายอายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ จากจำนวนผู้อยู่อาศัยกว่า 250,000 คน มีผู้ได้รับสถานะพลเมืองเพียง 30,000 คน และมีเพียง 5,000 คนเท่านั้นที่มักปรากฏตัวในสมัชชาประชาชน เจ้าพนักงานและผู้พิพากษาของรัฐบาลจำนวนมากเป็นการกำหนดเลือก มีเพียงเหล่าแม่ทัพและเจ้าพนักงานเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มาจากการเลือกตั้ง[1]

อ้างว่าเกาะอาร์วัด (ปัจจุบันคือประเทศซีเรีย) ซึ่งชาวฟินิเซียก่อตั้งขึ้นเมื่อสหัสวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล เป็นตัวอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยที่พบในโลก[20] ซึ่งที่นั่น ประชาชนถืออำนาจอธิปไตยของตน และอีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าเป็นไปได้ คือ ประชาธิปไตยยุคเริ่มแรกอาจมาจากนครรัฐสุเมเรียน[21] ฝ่ายเวสาลี ซึ่งปัจจุบันคือรัฐพิหาร ประเทศอินเดีย เป็นรัฐบาลแรก ๆ ของโลกที่มีองค์ประกอบอันพิจารณาได้ว่ามีการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นแห่งแรกของโลก (แต่มีบางคนโต้แย้งว่าการปกครองของเวสาลีนั้นไม่เป็นราชาธิปไตยก็จริง แต่น่าจะมีลักษณะเป็นคณาธิปไตยมากกว่าประชาธิปไตย) และยังปรากฏว่ามีการปกครองที่คล้ายคลึงกับประชาธิปไตยหรือคณาธิปไตยเกิดขึ้นชั่วคราวโดยชาวเมเดส ช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล แต่ถึงคราวสิ้นสุดเมื่อถึงรัชกาลพระเจ้าดาไรอัสมหาราชแห่งราชวงศ์อาร์เคเมนิด ผู้ทรงประกาศว่า ระบอบราชาธิปไตยที่ดีนั้นย่อมเหนือกว่าระบอบคณาธิปไตยและระบอบประชาธิปไตยทุกรูปแบบ[22]

นอกจากนั้น ยังมีการอ้างถึงสถาบันทางประชาธิปไตยในยุคเริ่มแรก โดยถือว่าเป็น "สาธารณรัฐ" อิสระในประเทศอินเดีย อย่างเช่น พระสงฆ์ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 4 แต่หลักฐานที่พบนั้นเลื่อนลอยและไม่สามารถหาแหล่งอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้แน่ชัด นอกจากนั้น ไดโอโดรุส ปราชญ์ชาวกรีกในรัชกาลพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช กล่าวถึงรัฐอิสระซึ่งปกครองระบอบประชาธิปไตยในอินเดีย[23] แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม นักวิชาการสมัยใหม่กล่าวว่า คำว่า ประชาธิปไตย ในสมัยศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลถูกลดความน่าเชื่อถือ และอาจหมายถึงรัฐอิสระซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปกครองของประชาชนเลยแม้แต่น้อย[24][25]

ภาพวาดของสภาซีเนตโรมัน อันเป็นองค์กรทางการเมืองที่สำคัญในสมัยสาธารณรัฐโรมัน

แม้ในยุคสาธารณรัฐโรมันจะมีการสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย เช่น การออกกฎหมาย ทว่าก็มิได้เป็นประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ ชาวโรมันเลือกผู้แทนตนเข้าสู่สภาก็จริง แต่ไม่รวมถึงสตรี ทาสและคนต่างด้าวจำนวนมหาศาล และยังมอบน้ำหนักให้กับเหล่าเศรษฐีและเจ้าหน้าที่ระดับสูง ซึ่งการเป็นสมาชิกวุฒิสภามักมาจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยจำนวนน้อยเท่านั้น[26]

ยุคกลาง

ในยุคกลางมีหลายรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งหรือสมัชชา แม้ว่าบ่อยครั้งจะเปิดโอกาสให้ประชาชนเพียงส่วนน้อย อย่างเช่น เครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ในนครรัฐเวนิซ ช่วงอิตาลียุคกลาง รัฐในไทรอลเยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์ รวมไปถึงนครพ่อค้าอิสระซะไกในญี่ปุ่นสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 เนื่องจากการปกครองรูปแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นประชาชนมีส่วนร่วมเพียงส่วนน้อย จึงมักถูกจัดเป็นคณาธิปไตยมากกว่า และดินแดนทวีปยุโรปสมัยนั้นยังปกครองภายใต้นักบวชและขุนนางในยุคเจ้าขุนมูลนายเป็นส่วนมาก

รูปแบบการปกครองซึ่งใกล้เคียงกับลักษณะประชาธิปไตยสมัยใหม่ยิ่งขึ้นไปอีก คือ ระบบของกลุ่มสาธารณรัฐคอสแซ็คในยูเครนระหว่างคริสต์ศัตวรรษที่ 16-17: คอสแซ็คเฮ็ตมันนาเตและซาโปริเซียน ซิค โดยเปิดโอกาสให้ผู้แทนจากตำบลต่าง ๆ ของเคานตีเลือกตำแหน่งสูงสุด ซึ่งเรียกว่า "เฮ็ตมัน" (Hetman) แต่ด้วยความที่กลุ่มสาธารณรัฐคอสแซ็คเป็นรัฐทหารเต็มตัว สิทธิของผู้ร่วมในการเลือก "เฮ็ตมัน" จึงมักจำกัดอยู่แต่ผู้รับราชการในกองทหารคอสแซ็คเท่านั้น และต่อมายิ่งจำกัดเป็นเฉพาะนายทหารระดับสูง

มหากฎบัตรของอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1215

ฝ่ายรัฐสภาอังกฤษมีรากฐานการจำกัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์มาจากมหากฎบัตร รัฐสภาซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้งครั้งแรก คือ รัฐสภาของเดอ มงฟอร์ต ใน ค.ศ. 1265 แต่อันที่จริง มีเพียงประชาชนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่แสดงความคิดเห็น โดยรัฐสภาได้รับการคัดเลือกจากประชาชนคิดเป็นน้อยกว่า 3% ใน ค.ศ. 1780[27] และยังเกิดปัญหากับรูปแบบการปกครองดังกล่าว ที่เรียกว่า "เขตเลือกตั้งเน่า" (rotten boroughs) โดยอำนาจการจัดตั้งรัฐสภานั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอพระทัยของพระมหากษัตริย์ หลังการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ใน ค.ศ. 1688 และการบังคับใช้พระราชบัญญัติสิทธิ ใน ค.ศ. 1689 ซึ่งประมวลหลักสิทธิและเพิ่มพูนอิทธิพลของรัฐสภา[27] แล้วสิทธิการเลือกสมาชิกรัฐสภาก็เพิ่มขึ้นทีละน้อย จนพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเพียงประมุขแต่ในนาม[28]

รูปแบบประชาธิปไตยยังปรากฏในระบบชนเผ่า เช่น สหพันธ์ไอระควอย (Iroquois Confederacy) อย่างไรก็ตาม เฉพาะสมาชิกเพศชายของชนเผ่าที่ขึ้นเป็นผู้นำได้ และบ้างยังถูกยกเว้นอีก มีเพียงสตรีที่อาวุโสที่สุดในชนเผ่าเดียวกันเท่านั้นที่สามารถเลือกและถอดถอนหัวหน้าชนเผ่าได้ซึ่งเป็นการกีดกันประชากรจำนวนมาก รายละเอียดที่น่าสนใจกล่าวว่าการตัดสินใจแต่ละครั้งใช้ความคิดเห็นเอกฉันท์ของเหล่าผู้นำ มิใช่การสนับสนุนของเสียงส่วนใหญ่จากการลงคะแนนเสียงของสมาชิกชนเผ่า[29][30]

ในสังคมระดับกลุ่ม อย่างเช่น บุชแมน ซึ่งแต่ละกลุ่มมักประกอบด้วย 20-50 คน ไม่ค่อยมีหัวหน้าเท่าใดนักและการตัดสินใจต่าง ๆ อาศัยความเห็นชอบจากคนส่วนใหญ่มากกว่า ในเมลานีเซีย เดิมชุมชนหมู่บ้านกสิกรรมมีความเท่าเทียมกัน และมีการปกครองแบบเอกาธิปไตยที่แข็งแรงจำนวนน้อย แม้อาจมีคนใดคนหนึ่งมีอิทธิพลเหนือกว่าผู้อื่นซึ่งอิทธิพลดังกล่าวมีผลต่อการแสดงทักษะความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่อง และความประสงค์ของชุมชน ทุกคนถูกคาดหวังให้แบ่งปันหน้าที่ในชุมชน และให้สิทธิร่วมการตัดสินใจของชุมชน อย่างไรก็ตาม แรงกดดันอย่างหนักของสังคมกระตุ้นให้เกิดความลงรอยกันและลดการตัดสินใจเพียงลำพัง[31]

คริสต์ศตวรรษที่ 18-19

จำนวนของประเทศระหว่าง ค.ศ. 1800-2003 ซึ่งได้คะแนนเท่ากับหรือมากกว่า 8 โดยชุดข้อมูลรัฐ ซึ่งเป็นเกณฑ์การวัดความเป็นประชาธิปไตยอย่างกว้างขวาง

แม้ไม่มีคำจำกัดความของคำว่าประชาธิปไตย แต่เหล่าผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกาได้กำหนดรากฐานแนวปฏิบัติของอเมริกาเกี่ยวกับอิสรภาพตามธรรมชาติและความเท่าเทียม[32] รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ ค.ศ. 1788 กำหนดให้มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ตลอดจนการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน แต่ทีแรกครอบคลุมเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในยุคอาณานิคมก่อนหน้า ค.ศ. 1776 และบางช่วงหลังจากนั้น มีเพียงเหล่าบุรุษเจ้าของที่ดินผิวขาวที่มีสิทธิเลือกตั้ง ขณะที่ทาสผิวดำ อิสรชนผิวดำและสตรียังไม่ได้รับอนุญาตให้เลือกตั้ง ในวิทยานิพนธ์เทอร์เนอร์ ประชาธิปไตยกลายเป็นวิถีชีวิต และความเท่าเทียมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองอย่างกว้างขวาง[33] อย่างไรก็ตาม ทาสเป็นสถาบันทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิบเอ็ดรัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการก่อตั้งองค์การจำนวนมากเพื่อสนับสนุนให้คนผิวดำจากสหรัฐอเมริกาไปยังสถานที่อื่นซึ่งพวกเขาจะได้รับอิสรภาพและความเท่าเทียมเพิ่มขึ้น โดยในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1820-1830 สมาคมการอพยพอเมริกันส่งคนผิวดำจำนวนมากไปยังไลบีเรีย[34]

เมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1840 การจำกัดทรัพย์สินทั้งหมดยุติลง และพลเมืองชายผิวขาวเกือบทุกคนสามารถเลือกตั้งได้แล้ว ซึ่งโดยเฉลี่ย มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ระดับรัฐ และระดับชาติระหว่าง 60-80% จากนั้น ระบบการปกครองได้เปลี่ยนจากประชาธิปไตยแบบเจฟเฟอร์สันเป็นประชาธิปไตยแบบแจ็กสันอย่างช้า ๆ เมื่อ ค.ศ. 1860 จำนวนทาสผิวดำในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านคน[35] และเมื่อปลายคริสต์ทศวรรษ 1860 ระหว่างการบูรณะสหรัฐอเมริกาภายหลังสงครามกลางเมืองอเมริกา ทาสชายที่ได้รับการปล่อยเป็นอิสระก็กลายเป็นพลเมืองและมีสิทธิการเลือกตั้งตามกฎหมาย แต่กว่าพวกเขาจะได้รับสิทธิอย่างมั่นคงก็ต้องรอจน ค.ศ. 1965

ใน ค.ศ. 1789 หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส มีการประกาศใช้คำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง และแม้มีอายุสั้น แต่บุรุษทุกคนเลือกตั้งสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ. 1792[36] ก็นับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตย มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปของชายในประเทศฝรั่งเศส ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1848 ห้วงหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1848[37]

ประชาธิปไตยเสรียังมีอายุสั้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และหลายประเทศมักอ้างว่าตนให้สิทธิการเลือกตั้งแก่พลเมืองทั้งหมดแล้ว ในอาณานิคมออสเตรเลียเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ขณะที่เซาท์ออสเตรเลียเป็นรัฐบาลแห่งแรกของโลกที่ให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งแก่สตรีในปี ค.ศ. 1861 ส่วนในประเทศนิวซีแลนด์ ได้ให้สิทธิการเลือกตั้งแก่ชาวมาวรีพื้นเมืองใน ค.ศ. 1867 ชายผิวขาวใน ค.ศ. 1876 และผู้หญิงใน ค.ศ. 1893 ซึ่งนับเป็นประเทศแรกที่ให้ให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปกับพลเมืองทั้งหมด แม้สตรียังไม่ได้รับอนุญาตให้สมัครรับเลือกตั้งจน ค.ศ. 1919

คริสต์ศตวรรษที่ 20

กราฟแสดงให้เห็นถึงการประเมินจำนวนประเทศที่จัดแบ่งเรียงตามประเทศต่าง ๆ ของฟรีดอมเฮาส์ ระหว่างการสำรวจเมื่อ ค.ศ. 1973-2013:
  มีเสรีภาพเต็มที่
  มีเสรีภาพบางส่วน
  ไม่มีเสรีภาพ

ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยจำนวนมาก จนทำให้เกิด "กระแสประชาธิปไตย" ซึ่งประสบความสำเร็จในหลายพื้นที่ของโลก มักเป็นผลจากสงคราม การปฏิวัติ การปลดปล่อยอาณานิคม และสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและศาสนา

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยุติ และจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีและจักรวรรดิออตโตมันล่มสลาย ทำให้เกิดรัฐชาติจำนวนมากในทวีปยุโรปซึ่งส่วนใหญ่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ระบอบประชาธิปไตยเจริญขึ้น แต่ผลของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทำให้ความเจริญดังกล่าวหยุดชะงัก และประเทศแถบทวีปยุโรป ละตินอเมริกา และทวีปเอเชียเปลี่ยนแปลงรูปแบบเป็นเผด็จการมากขึ้น ทำให้เกิดฟาสซิสต์ ในนาซีเยอรมนี อิตาลี สเปนและโปรตุเกส รวมไปถึงรัฐเผด็จการในแถบคาบสมุทรบอลติก คาบสมุทรบอลข่าน บราซิล คิวบา สาธารณรัฐจีนและญี่ปุ่น เป็นต้น[38]

ทว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ทำให้เกิดผลกระทบในด้านตรงกันข้ามในยุโรปตะวันตก ความสำเร็จของการสร้างระบอบประชาธิปไตยในเขตยึดครองเยอรมนีของสหรัฐอเมริกา อังกฤษและฝรั่งเศส ออสเตรีย อิตาลี และญี่ปุ่นสมัยยึดครอง ซึ่งได้เป็นต้นแบบของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง

อย่างไรก็ตาม กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก รวมถึงเขตยึดครองของโซเวียตในเยอรมนีซึ่งถูกบังคับให้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ตามกลุ่มตะวันออก หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดยังส่งผลให้เกิดการปลดปล่อยอาณานิคม และประเทศเอกราชใหม่ส่วนใหญ่สนับสนุนให้ปกครองระบอบประชาธิปไตย และอินเดียกลายมาเป็นประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในโลก และดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง[39]

ในช่วงหนึ่งทศวรรษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชาติตะวันตกที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยส่วนใหญ่มีระบบเศรษฐกิจแบบผสม และดำเนินการตามรูปแบบรัฐสวัสดิการ สะท้อนให้เห็นถึความสอดคล้องกันระหว่างราษฎรกับพรรคการเมือง ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 เศรษฐกิจทั้งในกลุ่มประเทศตะวันตกและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ต่อมาเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลลดลง เมื่อถึง ค.ศ. 1960 รัฐชาติส่วนใหญ่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย แม้ประชากรส่วนใหญ่ของโลกยังมีการจัดการเลือกตั้งแบบตบตา และการปกครองในรูปแบบอื่น ๆ อยู่

กระแสการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าของรูปแบบประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยในหลายรัฐชาติ เริ่มจากสเปน โปรตุเกส ใน ค.ศ. 1974 รวมไปถึงอีกหลายประเทศในทวีปอเมริกาใต้ เมื่อถึงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการทหารเป็นรัฐบาลพลเรือน ตามด้วยประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ ระหว่างต้นถึงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 และเนื่องจากความเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจของสหภาพโซเวียต รวมไปถึงความขัดแย้งภายใน ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย และนำไปสู่จุดสิ้นสุดของสงครามเย็น ตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองภายในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกในกลุ่มตะวันออกเดิม

นอกเหนือจากนั้น กระแสระบอบประชาธิปไตยได้แพร่ไปถึงทวีปแอฟริกาบางส่วน ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอฟริกาใต้ ความพยายามบางประการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองยังพบเห็นอยู่ในอินโดนีเซีย ยูโกสลาเวีย จอร์เจีย ยูเครน เลบานอนและคีร์กีซสถาน

จนถึงปัจจุบัน ทั่วโลกมีประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยจำนวน 123 ประเทศ (ค.ศ. 2007) และกำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ[40] ซึ่งมีการคาดเดากันว่า กระแสดังกล่าวจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ซึ่งประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยจะกลายเป็นมาตรฐานสากลสำหรับสังคมมนุษยชาติ สมมุติฐานดังกล่าวเป็นหัวใจหลักของทฤษฎี "จุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์" โดยฟรานซิส ฟุกุยะมะ ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวเป็นการวิพากษ์วิจารณ์บรรดาผู้ที่เกรงกลัวว่าจะมีวิวัฒนาการของประชาธิปไตยที่เคารพสิทธิของเสียงข้างมากไปยังยุคหลังประชาธิปไตย และผู้ที่ชี้ให้เห็นประชาธิปไตยเสรี

แหล่งที่มา

WikiPedia: ประชาธิปไตย http://www.humanities.mq.edu.au/Ockham/y6704.html http://www.dwatch.ca http://annourbis.com/Ancient-Rome/8rome10.html http://the-fear-of-freedom.blogspot.com/2008/11/pl... http://www.britannica.com/EBchecked/topic/157129/d... http://www.conservativeclassics.com/books/libertyb... http://www.economist.com/markets/rankings/displays... http://www.enterstageright.com/archive/articles/01... http://www.gegenstandpunkt.com/english/state/toc.h... http://books.google.com/books?id=4BL5WqHHVrwC&pg=P...