แนวคิดของ
เยอรมนีในฐานะที่เป็นภูมิภาคที่แตกต่างในยุโรปกลางสามารถเชื่อมโยงไปถึงผู้บัญชาการทหารโรมัน
จูเลียส ซีซาร์ ผู้ที่กล่าวอ้างถึงพื้นที่ดินแดนที่ยังไม่ได้ถูกพิชิตทางด้านตะวันออกของแม่น้ำไรน์คือเจอร์มาเนีย(Germania) ดังนั้นจึงมีความแตกต่างจาก
พวกกอล(ฝรั่งเศส), ซึ่งเขาพิชิตลงได้ การได้รับชัยชนะของ
ชนเผ่าเจอร์มานิคใน
ยุทธการที่ป่าทอยโทบวร์ก(Teutoburg Forest)(ปีค.ศ. 9) ได้ขัดขวางการผนวกดินแดนโดย
จักรวรรดิโรมัน แม้ว่า
มณฑลของโรมันของ
เกร์มาเนียซูเปรีออร์และ
เกร์มาเนียอินเฟรีออร์จะถูกสร้างขึ้นตามแนว
แม่น้ำไรน์ ภายหลัง
การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก พวกแฟรงก์ได้พิชิตชนเผ่าเจอร์มานิคทางตะวันตกอื่นๆ เมื่อ
จักรวรรดิแฟรงก์ได้ถูกแบ่งแยกระหว่างทายาทของ
ชาร์เลอมาญในปีค.ศ. 843 ส่วนทางด้านตะวันออกได้กลายเป็น
อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก ในปี ค.ศ. 962
พระเจ้าออทโทที่ 1 ได้กลายเป็น
จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์องค์แรกของ
จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นรัฐเยอรมันในสมัยยุคกลางในช่วงปลายยุคกลาง ดยุกของแคว้น เจ้าชายและบิชอปต่างได้รับอำนาจจากค่าใช่จ่ายอันสิ้นเปลืองของจักรพรรดิ
มาร์ติน ลูเธอร์ได้นำ
การปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ต่อต้านศาสนจักรคาทอลิก หลังปี ค.ศ. 1517 เนื่องจากรัฐทางตอนเหนือได้กลายเป็นพวกนับถือนิกายโปรเตสแตนต์ ในขณะที่รัฐทางตอนใต้ที่เหลือเป็นพวกนับถือนิกายคาทอลิก ทั้งสองฝ่ายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้เกิดการปะทะกันใน
สงครามสามสิบปี (ค.ศ. 1618-1648) ซึ่งเป็นความพินาศย่อยยับแก่พลเรือนยี่สิบล้านคนที่อาศัยอยู่ในทั้งสองฝ่าย สงครามสามสิบปีได้นำไปสู่การทำลายล้างแก่เยอรมนีอย่างมาก; มากกว่า 1/4 ของประชากรและ 1/2 ของประชากรชายในรัฐเยอรมันได้ถูกฆ่าตายโดยความวิบัติสงคราม ปีค.ศ. 1648 ได้มีผลทำให้การสิ้นสุดลงของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และจุดเริ่มต้นของระบบรัฐชาติที่ทันสมัย ด้วยเยอรมนีได้แบ่งแยกออกเป็นรัฐอิสระหลายแห่ง เช่น
ปรัสเซีย บาวาเรีย แซกโซนี ออสเตรียและรัฐอื่นๆ ซึ่งยังคงควบคุมดินแดนนอกพื้นที่ที่ถือว่าเป็น"เยอรมนี"ภายหลัง
การปฏิวัติฝรั่งเศสและ
สงครามนโปเลียน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1803-1815 ระบบศักดินาได้หมดไปและเสรีนิยมและชาตินิยมได้ปะทะกันด้วยผลสะท้อน การปฏิวัติเยอรมัน ปี ค.ศ. 1848-49 ได้ล้มเหลวลง
การปฏิวัติอุสาหกรรมได้ทำให้เกิดความทันสมัยของเศรษฐกิจเยอรมัน ได้นำไปสู่การเติบโตอย่างรวดเร็วของเมืองและอุบัติการ์ณของขบวนการสังคมนิยมในเยอรมนี ปรัสเซีย, กับเมืองหลวงคือ
เบอร์ลิน, ได้เติบโตขึ้นในอำนาจ มหาวิทยาลัยของเยอรมันได้กลายเป็นศูนย์กลางชั้นนำของโลกสำหรับวิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ในขณะที่ดนตรีและศิลปะได้เจริญขึ้น
การรวมชาติเยอรมัน(ยกเว้นเพียงออสเตรียและพื้นที่ที่พูดเป็นภาษาเยอรมันของประเทศสวิตเซอร์แลนด์)ได้ประสบความสำเร็จภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี
อ็อทโท ฟ็อน บิสมาร์ค ด้วยการก่อตั้ง
จักรวรรดิเยอรมันในปี ค.ศ. 1871 ซึ่งได้เสนอวิธีแก้ไข
ปัญหาเยอรมันออกเป็นสองทางคือ อนุประเทศเยอรมัน(Kleindeutsche Lösung) ทางออกขนาดเล็กของเยอรมัน(เยอรมนีโดยปราศจากออสเตรีย) หรือมหาประเทศเยอรมัน(Großdeutsche Lösung), ทางออกขนาดใหญ่ของเยอรมัน(เยอรมนีรวมเข้ากับออสเตรีย), ในอดีตที่ผ่านมา
รัฐสภาไรส์ทาคใหม่ เป็นรัฐสภาการเลือกตั้ง ได้มีบทบาทที่จำกัดในรัฐบาลจักรวรรดิ, เยอรมันได้เข้าร่วมกับมหาอำนาจอื่นๆใน
การขยายอาณานิคมในทวีปแอฟริกาและมหาสมุทรแปซิฟิกเยอรมนีได้เป็นประเทศที่มีอำนาจเหนือกว่าทวีปยุโรป ในปี ค.ศ. 1900 การขยายตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมโดยผ่านอังกฤษ ทำให้สามารถแข่งขันทางเรือได้ เยอรมนีได้นำ
ฝ่ายมหาอำนาจกลางใน
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง(ค.ศ. 1914-1918) เข้าต่อสู้รบกับฝรั่งเศส, บริเตนใหญ่ รัสเซีย และ(ในปี ค.ศ. 1917)สหรัฐอเมริกา ด้วยความปราชัยและการครอบครองพื้นที่บางส่วน เยอรมนีได้ถูกบังคับให้จ่าย
ค่าปฏิกรรมสงครามโดย
สนธิสัญญาแวร์ซายและถอนตัวออกจากดินแดนอาณานิคมเช่นเดียวกับพื้นที่ที่ถูกกำหนดให้สร้างโปแลนด์ขึ้นมาใหม่และอาลซัส-ลอแรน
การปฏิวัติเยอรมันในปีค.ศ. 1918-19 ได้ปลดจักรพรรดิและกษัตริย์ต่างๆและเจ้าชาย ได้นำไปสู่การก่อตั้ง
สาธารณรัฐไวมาร์ ที่เป็นรัฐสภาระบอบประชาธิปไตยที่ไม่มั่นคงในช่วงต้นปี ค.ศ. 1930 ด้วย
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลกได้โจมตีเยอรมนีอย่างหนัก เนื่องจากการว่างงานเพิ่มขึ้นสูงและประชาชนได้สูญเสียความเชื่อมั่นในรัฐบาล ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1933
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้รับการแต่งตั้งเป็น
นายกรัฐมนตรีเยอรมนี พรรคนาซีได้เริ่มที่จะกำจัดศัตรูทางการเมืองทั้งหมดและรวมรวบอำนาจไว้ ฮิตเลอร์ได้สร้าง
ระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จได้อย่างรวดเร็ว เริ่มต้นขึ้นในปลายปี ค.ศ. 1930
นาซีเยอรมนีได้ทำให้เกิดความก้าวร้าวมากขึ้นเรื่อยๆในการเรียกร้องดินแดน การข่มขู่ว่าจะทำสงคราม หากพวกเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ช่วงแรกที่ได้มาถึงคือ
การส่งทหารกลับเข้าไปยังไรน์ลันท์ ในปี ค.ศ. 1936 การผนวกรวมออสเตรียใน
อันชลุสและส่วนหนึ่งของเชโกสโลวาเกียด้วย
ข้อตกลงมิวนิกในปี ค.ศ. 1938(แม้ว่าในปี ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์ได้
ผนวกรวมดินแดนทั้งหมดของเชโกสโลวาเกีย) เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 เยอรมนีได้เริ่ม
สงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรปด้วย
การบุกครองโปแลนด์ หลังจากที่ได้ทำ
ข้อตกลงกับสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1939 ฮิตเลอร์และสตาลินได้แบ่งแยกทวีปยุโรปตะวันออก ภายหลัง
สงครามลวงในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เยอรมันได้เข้ายึดครองประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์, ประเทศแผ่นดินต่ำและฝรั่งเศส ทำให้เยอรมนีเข้าควบคุมเกือบทั้งหมดของยุโรปตะวันตก ฮิตเลอร์ได้สั่งให้กองทัพ
เข้ารุกรานสหภาพโซเวียตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941ด้วยการเหยียดเชื้อชาติ, โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ
การต่อต้านชาวยิว เป็นศูนย์กลางของระบอบการปกครอง. ในเยอรมนี, แต่ส่วนใหญ่ใน
พื้นที่ดินแดนที่ถูกยึดครองโดยเยอรมัน โครงการ
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบที่รู้จักกันคือ
ฮอโลคอสต์ ได้สังหารชาวยิวจำนวนหกล้านคน เช่นเดียวกับอื่นๆอีกห้าล้านคน รวมทั้งชาวเยอรมันที่ไม่เห็นด้วย ชาวยิปซี คนพิการ ชาวโปล ชาวโรมานี ชาวโซเวียต(ผู้ที่เป็นชาวรัสเซียและไม่ใช่รัสเซีย) และอื่นๆ ในปี ค.ศ. 1942 การบุกครองสหภาพโซเวียตของเยอรมนีต้องหยุดชะงักลง, และภายหลังจากสหรัฐอเมริกาได้เข้าร่วมสงคราม อังกฤษได้กลายเป็นฐานสำหรับการทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ของอังกฤษและอเมริกันลงใส่เมืองเยอรมัน เยอรมนีต้องต่อสู้รบในสงครามหลายแนวรบในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1942-1944 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรได้
บุกครองนอร์ม็องดี(เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944) กองทัพเยอรมันได้ถูกผลักดันกลับทั้งหมดของแนวรบจนกระทั่งท้ายที่สุดต้องล่มสลายลงในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1945ภายใต้
การยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตร ดินแดนเยอรมนีได้ถูกแบ่งแยก, ออสเตรียได้เป็นประเทศที่แยกตัวออกมาอีกครั้ง
โครงการการขจัดนาซีได้เกิดขึ้น และ
สงครามเย็นได้ส่งผลทำให้ส่วนหนึ่งของประเทศได้แตกแยกออกเป็นสองฝ่ายได้แก่
เยอรมนีตะวันตกอันมีระบอบประชาธิปไตยและ
เยอรมนีตะวันออกอันมีระบอบคอมมิวนิสต์ ชนเชื้อชาติเยอรมันนับล้านคนได้ถูกขับไล่หรือหนีออกจากพื้นที่คอมมิวนิสต์ไปยังเยอรมนีตะวันตก ซึ่งจากประสบการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว, และกลายเป็นเศรษฐกิจที่มีบทบาทสำคัญในยุโรปตะวันตก เยอรมนีได้รับการติดตั้งอาวุธใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1950 ภายใต้การดูแลของ
องค์นาโต้ แต่ไม่สามารถมีอาวุธนิวเคลียร์ได้ ความสัมพันธ์มิตรภาพระหว่างฝรั่งเศส-เยอรมนีได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับการรวมตัวกันทางการเมืองของยุโรปตะวันตกใน
สหภาพยุโรป ในปี ค.ศ. 1989
กำแพงเบอร์ลินได้ถูกทำลายลง, สหภาพโซเวียตล่มสลายลงและเยอรมนีตะวันออกก็ได้
รวมเข้ากับเยอรมนีตะวันตกในปีค.ศ. 1990 ในปีค.ศ. 1998-1999 เยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศที่ก่อตั้ง
ยูโรโซน เยอรมนียังคงเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของทวีปยุโรป ได้มีส่วนร่วมประมาณหนึ่งในสี่ปของ
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศทุกประจำปีของยูโรโซน ในช่วงต้นปีค.ศ. 2010 เยอรมนีได้มีบทบาทสำคัญในการพยายามที่จะแก้ไขวิกฤตการณ์ของยูโรที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะกรีซและประเทศอื่นๆใน
ยุโรปตอนใต้ ในช่วงกลางทศวรรษ, ประเทศได้เผชิญ
วิกฤตการณ์ผู้ย้ายถิ่นยุโรป ที่เป็นผู้รับที่สำคัญของผู้ลี้ภัยจากซีเรียและภูมิภาคอื่นๆที่ตกทุกข์ได้ยาก