ประวัติศาสตร์โลกหรือ
ประวัติศาสตร์มนุษยชาติเริ่มต้นที่
ยุคหินเก่า ประวัติศาสตร์โลกไม่รวม
ประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่ไม่ใช่มนุษย์และ
ประวัติศาสตร์ธรณีวิทยา ยกเว้นตราบเท่าที่โลกธรรมชาตินั้นกระทบต่อชีวิตมนุษย์เป็นอย่างมาก ประวัติศาสตร์โลกประกอบด้วยการศึกษาทางโบราณคดีและหลักฐานลายลักษณ์อักษรตั้งแต่สมัยโบราณ ประวัติศาสตร์โบราณที่มีบันทึกเริ่มต้นจากการประดิษฐ์
การเขียน ทว่า รากเหง้าแห่งอารยธรรมมีมาแต่ก่อนการประดิษฐ์การเขียน สมัยก่อนประวัติศาสตร์เริ่มต้นในยุคหินเก่า ต่อด้วย
ยุคหินใหม่และ
การปฏิวัติเกษตรกรรม (ระหว่าง 8000 ถึง 5000 ปีก่อนคริสตกาล) ใน
พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ (Fertile Crescent) การปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นเครื่องหมายการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยมนุษย์เริ่มต้นทำการเกษตร คือ กสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ
[1][2][3] เมื่อเกษตรกรรมก้าวหน้าขึ้น มนุษย์ส่วนมากเปลี่ยนจากวิถีชีวิตเร่ร่อนมาเป็นตั้งถิ่นฐานเป็นเกษตรกรในนิคมถาวร การเร่ร่อนยังมีอยู่ในบางที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีพืชที่เพาะปลูกได้ไม่กี่ชนิด
[4] แต่ความมั่นคงสัมพัทธ์และผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากกสิกรรมทำให้ชุมชนมนุษย์ขยายเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่า ซึ่งความก้าวหน้าในการขนส่งก็มีส่วนช่วยเมื่อกสิกรรมพัฒนา การเพาะปลูกธัญพืชมีความซับซ้อนขึ้นและทำให้มี
การแบ่งงานกันทำเพื่อเก็บอาหารระหว่างฤดูเพาะปลูก จากนั้นการแบ่งงานทำให้เกิดชนชั้นสูงที่สุขสบายและพัฒนาการ
นคร สังคมมนุษย์ที่ซับซ้อนมากขึ้นทำให้ระบบการเขียนและการบัญชีมีความจำเป็น หลายนครพัฒนาบนตลิ่งทะเลสาบและแม่น้ำ ตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตกาล เกิดนิคมโดดเด่นและมีการพัฒนา เช่นใน
เมโสโปเตเมีย ริมตลิ่ง
แม่น้ำไนล์แห่งอียิปต์ และหุบ
แม่น้ำสินธุ อาจมีอารยธรรมคล้ายกันพัฒนาขึ้นตามแม่น้ำสำคัญในจีน แต่หลักฐานทางโบราณคดีของการสร้างเมืองอย่างกว้างขวางในที่นั้นชัดแจ้งน้อยกว่าแต่ปัจจุบัน พบหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโบราณสถานเหอหมู่ตู้ ในประเทศจีน หรือ 7,000 ปีมาแล้ว ได้พบข้าวโบราณจำนวน 12 ตัน และเครื่องมือแปรรูปธัญพืช 170 กว่าชิ้น ในโบราณสถานเหอหมู่ตู้ เมืองอวี๋หยาว ต่อมามีการพบขุดพบ “เม็ดข้าวคาร์บอน” หนึ่งเม็ดที่มีอายุมากกว่า 12,000 ปี ที่อวี้ฉานเหยียน อำเภอเต้า มณฑลหูหนาน ประเทศจีน ซึ่งเป็นยุคสมัยที่เก่าแก่กว่าโบราณสถานทุกแห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้วิจัยเรียงลำดับของยีนในข้าวเจ้า พบว่า“ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงของจีนคือแหล่งกำเนิดเพียงแห่งเดียวของข้าวเจ้าเมื่อ 8,500 ปีก่อน”[ที่มา cim.chinesecio]ประวัติศาสตร์
โลกเก่า (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน) โดยทั่วไปแบ่งเป็น
ยุคโบราณ ถึง ค.ศ. 476,
สมัยกลาง ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 15 ซึ่งรวม
ยุคทองของอิสลาม (ประมาณ ค.ศ. 750-1258) และ
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยายุโรปตอนต้น (เริ่มต้นประมาณ ค.ศ. 1300),
ยุคใหม่ตอนต้น ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งรวม
ยุคเรืองปัญญา และ
ยุคใหม่ตอนปลาย นับแต่
การปฏิวัติอุตสาหกรรมถึงปัจจุบัน รวมทั้ง
ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ตะวันออกใกล้โบราณ กรีซโบราณและโรมโบราณมีความโดดเด่นในยุคโบราณ ในประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันตก การเสียกรุงโรมมักยึดเป็นการสิ้นสุดของยุคโบราณและการเริ่มต้นของสมัยกลาง ขณะที่ยุโรปตะวันออกมีการเปลี่ยนผ่านจาก
จักรวรรดิโรมันเป็น
จักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งรุ่งเรืองต่อมาอีกเป็นเวลานาน กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 การประดิษฐ์
การพิมพ์สมัยใหม่ของ
โยฮันน์ กูเทนแบร์ก[5] ซึ่งใช้
การสื่อสารแบบเคลื่อนที่ได้และเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เป็นจุดสิ้นสุดของยุคกลางและนำไปสู่
การปฏิวัติวิทยาศาสตร์[6] เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 การสะสมความรู้และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ได้ถึงจำนวนวิกฤต (critical mass) อันนำมาซึ่ง
การปฏิวัติอุตสาหกรรม[7]ในส่วนอื่นของโลก เช่น ตะวันออกใกล้โบราณ จีนโบราณ และอินเดียโบราณ [[เมื่อกล่าวถึงจีนโบราน จะหมายถึง:เทียนอ่องสี หรือ ฝูซี (Fuxi)อี้จิ้ง 8 ทิศ ผู้วางรากฐาน ของตัวอักษรภาพ ตี่อ่องสี หรือ เสินหนง (Shennong)ฉักกะลักษณ์ 64 ขยาย อี้จิ้ง ริเริ่มนำใบชานั้นไปต้มกับน้ำ ผู้วางรากฐาน ของตัวอักษรเลขฐานสอง จักรพรรดิเหลืองหวงตี้(Haung Di)กำเนิดตัวอักษร,เข็มทิศ,เครื่องปั่นดินเผา และการปลูหหม่อนเลี้ยงไหม]]เส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ได้คลี่ออกต่างกัน อย่างไรก็ดี จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการค้าโลกที่ขยายตัวและการล่าอาณานิคม ทำให้ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมโลกส่วนมากสานเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ในช่วงสองร้อยกว่าปีล่าสุด การเติบโตของความรู้ เทคโนโลยี การพาณิชย์ และศักยภาพการทำลายล้างของสงครามได้เร่งให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดโอกาสและอันตรายซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญชุมชนมนุษย์ที่อยู่อาศัยบนดาวเคราะห์ดวงนี้
[8][9]