เศรษฐกิจ ของ ประเทศฟิลิปปินส์

สัดส่วนสินค้าออกของฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 2012การเก็บเกี่ยวสับปะรดในจังหวัดตีโมกโคตาบาโตโรงงานน้ำตาลแห่งหนึ่งในจังหวัดคันลูรังเนโกรส

เศรษฐกิจฟิลิปปินส์มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 34 ของโลก โดยในปี ค.ศ. 2017 มีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (ราคาตลาด) โดยประมาณอยู่ที่ 348,593 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[63] สินค้าส่งออกหลักได้แก่ ผลิตภัณฑ์สารกึ่งตัวนำและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ บริภัณฑ์ขนส่ง เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์ทองแดง ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำมันมะพร้าว และผลไม้[64] คู่ค้ารายใหญ่ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง เยอรมนี ไต้หวัน และไทย[64] หน่วยเงินตราของประเทศคือเปโซฟิลิปปินส์

ในฐานะประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ระบบเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ได้เปลี่ยนผ่านจากระบบที่พึ่งพิงเกษตรกรรมไปสู่ระบบที่เน้นการบริการและการผลิตมากขึ้น จากจำนวนผู้อยู่ในกำลังแรงงานทั้งหมดประมาณ 40.81[64] ภาคเกษตรกรรมมีสัดส่วนการจ้างงานคิดเป็นร้อยละ 30 และสร้างมูลค่าคิดเป็นร้อยละ 14 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนการจ้างงานร้อยละ 14 และสร้างมูลค่าร้อยละ 30 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ในขณะที่ร้อยละ 47 เป็นแรงงานในภาคบริการซึ่งสร้างมูลค่าร้อยละ 56 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ[65][66]

อัตราการว่างงานของฟิลิปปินส์ ณ วันที่ 14 ธันวาคม ค.ศ. 2014 อยู่ที่ร้อยละ 6.0[67][68] ในขณะเดียวกัน เนื่องจากสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานมีราคาถูกลง อัตราเงินเฟ้อจึงขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 3.7 ในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน[69] ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ณ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2013 มีมูลค่า 83,201 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[70] อัตราส่วนหนี้สินต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง จากสถิติสูงสุดที่ร้อยละ 78 ในปี ค.ศ. 2004[71] มาอยู่ที่ร้อยละ 38.1 ณ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2014[72][73] ฟิลิปปินส์เป็นประเทศผู้นำเข้าสุทธิ[66] แต่ก็เป็นประเทศเจ้าหนี้เช่นกัน[74]

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ฟิลิปปินส์ได้รับการจัดให้เป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เป็นรองเพียงญี่ปุ่นเท่านั้น[75][76][77] จนกระทั่งในคริสต์ทศวรรษ 1960 สมรรถนะทางเศรษฐกิจของประเทศจึงเริ่มถูกแซง เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะชะงักงันภายใต้การปกครองแบบเผด็จการของประธานาธิบดีเฟร์ดีนันด์ มาร์โคส เนื่องจากระบอบมาร์โคสได้บ่มเพาะปัญหาการจัดการเศรษฐกิจที่ไม่ดีและความผันผวนทางการเมืองเอาไว้[75][77] ระบบเศรษฐกิจเติบโตทางอย่างเชื่องช้าและประสบภาวะถดถอยเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งในคริสต์ทศวรรษ 1990 จึงเริ่มฟื้นตัวตามแผนการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ[75][77]

ฟิลิปปินส์ต้องเผชิญวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย ค.ศ. 1997 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ค่าเงินเปโซลดลงอย่างต่อเนื่องและราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาหลายจุดในช่วงแรกของวิกฤตการณ์ แต่ผลกระทบที่ฟิลิปปินส์ได้รับนั้นไม่หนักเท่าในประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากนโยบายการคลังแบบอนุรักษนิยมของรัฐบาล และบางส่วนเป็นผลมาจากการเฝ้าระวังและการควบคุมดูแลทางการเงินเป็นเวลาหลายสิบปีโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในขณะที่บรรดาประเทศเพื่อนบ้านได้ใช้เงินมหาศาลเพื่อกระตุ้นความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว[78] จากนั้นเป็นต้นมาระบบเศรษฐกิจก็ส่งสัญญาณกระเตื้องขึ้น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเติบโตขึ้นร้อยละ 6.4 ในปี ค.ศ. 2004 และร้อยละ 7.1 ในปี ค.ศ. 2007 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วที่สุดในรอบสามทศวรรษ[79][80] อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศรายปีโดยเฉลี่ยต่อหัวในช่วงปี ค.ศ. 1966–2007 อยู่ที่ร้อยละ 1.45 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยร้อยละ 5.96 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกโดยรวม รายได้ต่อวันของประชากรฟิลิปปินส์ร้อยละ 45 ยังคงน้อยกว่า 2 ดอลลาร์สหรัฐ[81][82][83]

การส่งเงินกลับของแรงงานฟิลิปปินส์ในต่างประเทศเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมาก โดยมีมูลค่าเกินกว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในฐานะแหล่งเงินตราต่างประเทศ การส่งเงินกลับประเทศขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี ค.ศ. 2010 โดยมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 10.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และอยู่ที่ร้อยละ 8.6 ในปี ค.ศ. 2012 และในปี ค.ศ. 2014 ฟิลิปปินส์ได้รับเงินส่งกลับจากแรงงานในต่างประเทศทั้งสิ้น 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[84][85] อย่างไรก็ตาม การพัฒนาในระดับภูมิภาคยังไม่เท่าเทียมกัน โดยมากความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ ๆ ยังกระจุกตัวอยู่ที่เกาะลูซอน (โดยเฉพาะเมโทรมะนิลา) จึงต้องแลกมากับโอกาสในการพัฒนาภูมิภาคอื่น ๆ[86][87] แม้ว่ารัฐบาลจะดำเนินมาตรการกระจายความเจริญด้วยการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อื่น ๆ ของประเทศแล้วก็ตาม ถึงจะมีข้อจำกัดต่าง ๆ แต่อุตสาหกรรมบริการ เช่น การท่องเที่ยว การจ้างคนนอกทำกระบวนการธุรกิจ ก็ได้รับการระบุว่าเป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีโอกาสดีที่สุดสำหรับการเติบโตของประเทศ[66][88]

สถาบันการเงินโกลด์แมนซากส์ได้รวมฟิลิปปินส์อยู่ในรายชื่อ "11 ประเทศถัดไป" ที่มีศักยภาพสูงที่จะมีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 21[89][90] แต่จีนและอินเดียก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นกัน[91] โกลด์แมนซากส์ยังคาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี ค.ศ. 2050 เศรษฐกิจฟิลิปปินส์จะมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 20 ของโลก[92] ส่วนธนาคารเอชเอสบีซีก็คาดการณ์ว่า เมื่อถึงปี ค.ศ. 2050 เศรษฐกิจของประเทศนี้จะมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 16 ของโลก ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย และที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[93][94][95] ฟิลิปปินส์เป็นประเทศสมาชิกธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ องค์การการค้าโลก ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองมันดาลูโยง) แผนโคลัมโบ กลุ่ม 77 และกลุ่ม 24 ในบรรดากลุ่มและสถาบันความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ[64]

การท่องเที่ยว

หาดทรายขาวบนเกาะโบราไค

ภาคการเดินทางและท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจฟิลิปปินส์ โดยสร้างมูลค่าเพิ่มแก่ระบบเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 7.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในปี ค.ศ. 2013[96] และสร้างตำแหน่งงาน 1,226,500 ตำแหน่ง หรือร้อยละ 3.2 ของการจ้างงานทั้งหมด[97] ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2017 ฟิลิปปินส์ได้ต้อนรับผู้มาเยือนชาวต่างชาติทั้งหมด 2,882,737 คน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.43 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ค.ศ. 2016) ผู้มาเยือนจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้รวมกันคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.72 ในขณะที่ผู้มาเยือนจากทวีปอเมริกาและจากทวีปยุโรปมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 18.52 และร้อยละ 11.26 ตามลำดับ[98] หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการและส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์คือกระทรวงการท่องเที่ยว

ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศเป็นหนึ่งในบรรดาจุดดึงดูดความสนใจหลัก ๆ ของการท่องเที่ยว โดยมีชายหาด ภูเขา ป่าดิบชื้น เกาะ และจุดดำน้ำอยู่ในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม เนื่องจากฟิลิปปินส์มีสภาพภูมิศาสตร์เป็นกลุ่มของเกาะประมาณ 7,500 เกาะ จึงมีชายหาด ถ้ำ และการก่อตัวของหินรูปทรงแปลกตามากมาย โบราไคซึ่งมีหาดทรายขาวสะอาดได้รับการลงคะแนนจากผู้อ่านนิตยสารแทรเวลแอนด์เลเชอร์ให้เป็นเกาะที่ดีที่สุดในโลกประจำปี ค.ศ. 2012[99] จุดเด่นด้านการท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้แก่ นาขั้นบันไดบานาเวในจังหวัดอีฟูเกา นครประวัติศาสตร์วีกันในจังหวัดตีโมกอีโลโคส เนินเขาช็อกโกแลตในจังหวัดโบโฮล กางเขนของมาเจลลันในจังหวัดเซบู และพืดหินปะการังตุบบาตาฮาในจังหวัดปาลาวัน

แหล่งที่มา

WikiPedia: ประเทศฟิลิปปินส์ http://crocodilian.blogspot.com.au/2011/11/accurat... http://www.environment.gov.au/soe/2001/publication... http://www.wiki.answers.com/Q/FAQ/2802 http://www.atimes.com/atimes/Southeast_Asia/HE10Ae... http://www.britannica.com/EBchecked/topic/456399/P... http://www.businessinsider.com/goldmans-world-gdp-... http://www.businessinsider.com/these-economies-wil... http://www.cebucitytour.com/about-cebu/history/ http://www.cityofpines.com/ http://www.cityofpines.com/baguioquake/quake.html