พระมหากษัตริย์ไทย เป็นประมุขของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตามระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์และ
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ถึงแม้ว่าพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จะลดลงหลัง
การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 และถูกจำกัดโดย
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังคงได้รับความเคารพนับถือจากประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 กับทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับว่า พระมหากษัตริย์ "ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้" นอกจากนั้น พระมหากษัตริย์ยังทรงได้รับความคุ้มครองด้วยกฎหมายอาญา ทำให้การวิพากษ์วิจารณ์พระองค์เป็น
ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์พระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุขแห่งรัฐ ทรงใช้
อำนาจอธิปไตยผ่านคณะรัฐมนตรี รัฐสภา และศาล ทรงเป็นจอมทัพไทย พุทธมามกะ และอัครศาสนูปถัมภก มีพระราชอำนาจสถาปนาและพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์กับฐานันดรศักดิ์ พระราชทาน
อภัยโทษ ประกาศสงครามและสงบศึก รวมตลอดถึงพระราชอำนาจอื่น ๆ ซึ่งจะทรงใช้ได้ก็แต่โดยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ยกเว้นพระราชอำนาจบางประการที่ทรงใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัย คือ ตั้งและถอดองคมนตรีกับบรรดาข้าราชการในพระองค์พระมหากษัตริย์ไทยแห่ง
ราชวงศ์จักรีเป็นประมุขราชวงศ์ มีที่ประทับอย่างเป็นทางการคือ
พระบรมมหาราชวัง กรุงเทพมหานคร พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันคือ
พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงตอบรับการขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559 แต่ในทางนิตินัยถือว่าพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559
[1]รัชทายาทของพระมหากษัตริย์ไทยมีตำแหน่งเรียกว่า
สยามมกุฎราชกุมาร การสืบพระราชสันติวงศ์ของพระมหากษัตริย์เป็นไปตาม
กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 โดยมีลักษณะเป็นการโอนจากบิดาสู่บุตรตามหลัก
บุตรคนหัวปีเฉพาะที่เป็นชาย แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรฉบับปัจจุบันเปิดให้เสนอพระนามพระราชธิดาขึ้นสืบราชบัลลังก์ได้ ในกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงตั้งรัชทายาทไว้
[2][3] [4]