ภาษาผสม

การปนของภาษา คือการที่เราใช้ภาษา 2 ภาษาหรือมากกว่านั้นปนกัน การปนของภาษาเริ่มขึ้นตั้งแต่การ เข้ามาของอาณานิคม ต่างชาติในไทย โดยเริ่มการปนของภาษาในราชสำนักไทย ที่มีการติดต่อกันของเชื้อพระวงศ์ไทย หรือแม้กระทั่งขุนนางชั้นสูงที่จบการศึกษามาจากต่างประเทศ แม้กระทั่งรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ในการที่ทรงเขียนจดหมายถึง พระโอรส เชื้อพระวงศ์ ต่างๆ ก็ทรงมีการใช้คำไทยปนกับ การใช้คำอังกฤษมาตั้งแต่สมัยนั้น หลังจากนั้นก็มีการใช้ภาษาที่ปนกันในหมู่คนชั้นสูง ที่ได้รับการศึกษาสูง จนกลายเป็นค่านิยมว่าหากใครพูดไทยคำ อังกฤษคำ จะดูเท่ โก้หรู เป็นเครื่องบ่งว่ามีการศึกษาสูงจวบจนกระทั่งทุกวันนี้ทัศนคติของการใช้ภาษาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด ซ้ำร้ายกลับมากขึ้นทุกที จนทำให้เกิดการกร่อนของภาษาไทยเรา หรือมีการใช้ภาษาที่ผิดไป ที่เรียกว่าภาษาวิบัตินั่นเอง สังคมไทยนั้นเป็นสังคมที่เปิดรับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย รับเอาวัฒนธรรมต่างๆ ของต่างชาติมามากเกินไป จนลืมที่จะรักษาวัฒนธรรมตน ลืมรักษาภาษาของตน จุดเริ่มต้นมาจากชนชั้นสูง จนกระทั่งการศึกษาได้กว้างขึ้นแพร่หลายขึ้น มีผลให้มีการปนภาษามากขึ้นโดยมีการทับศัพท์นั่นเองการใช้ทับศัพท์นั้นมีข้อดีอยู่ที่ว่าศัพท์อังกฤษ บางคำมีความหมายไทย ที่ยาวยืด ไม่สะดวกต่อการพูดและเขียน ในบางกรณีจึงนิยมใช้ทับศัพท์มากกว่า หรือบางครั้งราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติศัพท์ที่ค่อนข้างแปลกหูแปลกตา หรืออาจดูเชยจนเกินไปในหมู่วัยรุ่น เราจึงนิยมใช้คำทับศัพท์มากกว่า เช่นคำว่า software ที่บัญญัติคำไทยว่า ส่วนชุดคำสั่ง, hardware บัญญัติว่า ส่วนอุปกรณ์ หรือแม้กระทั่ง joy stick ที่ใช้คำไทยว่า ก้านควบคุม นั้น คำเหล่านี้มักไม่เป็นที่นิยมใช้ และไม่เป็นที่คุ้นเคย คนไทยเราจึงใช้คำทับศัพท์เป็น ฮาร์ดแวร์, ซอฟต์แวร์, จอยสติก ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าดังนั้นการที่มีการปนของภาษาเกิดขึ้นนั้น อาจจะเกิดจากการไหลเข้ามาของวัฒนธรรมและเทคโนโลยีจากต่างชาติ ค่านิยมต่าง ๆ ของคนรุ่นใหม่ การเอาอย่างของวัยรุ่น หรือแม้กระทั่งคนที่เกี่ยวข้องกับภาษาของชาติ ทุกฝ่าย ที่เป็นผู้บัญญัติคำศัพท์และความหมายในภาษา เหล่านี้ต่างก็มีส่วนที่ทำให้เกิดการปนของภาษาในประเทศ