ราชวงศ์โก้นบอง (
พม่า: ကုန်းဘောင်ခေတ်, ออกเสียง: [kóʊɴbàʊɴ kʰɪʔ]) หรือ
ราชวงศ์อลองพญา เป็นราชวงศ์ที่ 3 ในประวัติศาสตร์
พม่า และเป็นราชวงศ์สุดท้ายของพม่า ก่อนที่จะตกเป็นเมืองขึ้นของ
สหราชอาณาจักร และสิ้นสุดการปกครองระบอบ
ราชาธิปไตยของพม่าราชวงศ์อลองพญานั้นได้รับการสถาปนาขึ้นโดยการเสวยราชสมบัติของ
พระเจ้าอลองพญาในปี พ.ศ. 2295 พระองค์ขับไล่ชาวมอญและยึดครองอาณาจักรมอญได้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2302 ภายหลังการล่มสลายของ
ราชวงศ์ตองอู ทั้งยังสามารถกลับเข้ายึดครองเมือง
มณีปุระได้ในช่วงเวลาเดียวกัน ทรงสถาปนาเมือง
ชเวโบขึ้นเป็นราชธานี ก่อนจะย้ายไปที่
อังวะและทรงพัฒนาเมือง
ย่างกุ้ง หมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ขึ้นเป็นเมืองท่าสำคัญต่อมาพระเจ้าอลองพญาได้ทรงนำทัพบุก
กรุงศรีอยุธยา เนื่องจากทางอยุธยาได้ให้การสนับสนุนมอญที่ลี้ภัยสงครามเข้ามาพึ่งกษัตริย์ไทย ซึ่งตรงกับรัชสมัย
สมเด็จพระเจ้าเอกทัศและไม่พอใจที่อยุธยายึดเรือสินค้าที่จะเดินทางมาค้าขายกับพม่าที่เมือง
มะริด โดยเดินทัพเข้ามาทาง
ด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จและสิ้นพระชนม์หลังจากการทำสงครามครั้งนั้น
พระเจ้ามังระผู้เป็นพระราชโอรสของพระองค์ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของพระราชบิดาต่อ โดยได้ส่งทัพใหญ่มา 2 ทางล้อมกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2307 ทางหนึ่งให้
เนเมียวสีหบดีนำพลเข้ามาทางเหนือด้วยการตี
ล้านนา ล้านช้างและหัวเมืองเหนือก่อน และอีกทางหนึ่งให้มังมหานรธานำกองทัพเข้ามาทางใต้ ทั้ง 2 ทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้นานถึง 1 ปีครึ่งแม้ผ่านฤดูน้ำหลากก็ไม่ยกทัพกลับ ภายหลังแม่ทัพฝ่ายใต้ คือ มังมหานรธา เสียชีวิตลงก็ส่งแม่ทัพคนใหม่จากเมือง
เมาะตะมะชื่อ เมงเยเมงละอูสะนา เข้ามาทำหน้าที่แทนจนในที่สุดก็สามารถตีกรุงศรีอยุธยาแตกได้ในปี พ.ศ. 2310 แต่กองทัพพม่าก็อยู่ได้ไม่นานเนื่องจาก
พระเจ้ามังระทรงให้เร่งทำการและรีบกลับเพื่อทำ
สงครามกับจีนในรัชสมัยของ
จักรพรรดิเฉียนหลงถึงแม้อาณาจักรอยุธยาจะถูกทำลายแต่
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก็ทรงสถาปนาศูนย์กลางอำนาจขึ้นมาใหม่ที่
กรุงธนบุรี พระเจ้ามังระจึงทรงส่งแม่ทัพคนใหม่มา คือ
อะแซหวุ่นกี้ นำทัพใหญ่เข้ามาปราบปรามฝ่ายธนบุรีในปี พ.ศ. 2318 อะแซหวุ่นกี้สามารถตีหัวเมือง
พิษณุโลกแตกและกำลังจะยกทัพตามลงมาตาม
แม่น้ำเจ้าพระยา แต่ก็ต้องยกทัพกลับเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้ามังระในปี พ.ศ. 2319 จากนั้นก็เกิดการแย่งชิงราชสมบัติราว 4–5 ปี ก่อนที่จะกลับมามีความมั่นคงขึ้นอีกครั้งในรัชสมัยของ
พระเจ้าปดุง พระองค์ทรงยกทัพเข้าตีดินแดน
ยะไข่ได้สำเร็จ ซึ่งไม่เคยมีกษัตริย์พม่าพระองค์ใดทำได้มาก่อน ทำให้พระองค์เกิดความฮึกเหิม ยกกองทัพใหญ่มา 9 ทัพ 5 เส้นทาง ที่เรียกว่า
สงครามเก้าทัพ ในรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ในรัชสมัย
พระเจ้าจักกายแมง พม่าได้ยึดครอง
แคว้นอัสสัมของ
อินเดียได้สำเร็จ ทำให้พม่าต้องเผชิญหน้ากับ
จักรวรรดิอังกฤษซึ่งกำลังล่าอาณานิคมอยู่ในขณะนั้น ก่อให้เกิดเป็นสงครามที่เรียกว่า "
สงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่หนึ่ง" กินระยะเวลา 2 ปี คือ พ.ศ. 2367–2369 สงครามจบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เหนือกว่า มหาบัณฑุละ แม่ทัพพม่าที่เลื่องชื่อก็เสียชีวิตลง ทำให้ต้องลงนามในสนธิสัญญาชื่อ
สนธิสัญญารานตะโบ พม่าจำต้องยกเมืองที่สำคัญให้แก่อังกฤษ เช่น
มณีปุระ ยะไข่ ตะนาวศรีต่อมาได้มีการละเมิดสนธิสัญญาฉบับนี้ทำให้เกิด
สงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่สองและจบลงด้วยชัยชนะของอังกฤษ ในรัชสมัยของ
พระเจ้ามินดงพระองค์พยายามที่จะฟื้นฟูความเข้มแข็งของอาณาจักรขึ้นมาอีกครั้ง โดยสถาปนา
มัณฑะเลย์ขึ้นเป็นราชธานีมีการสร้างพระราชวังอย่างใหญ่โต แต่ในรัชสมัยของพระโอรสของพระองค์ คือ
พระเจ้าธีบอ พระองค์ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งในและนอกประเทศไว้ได้ทำให้นำไปสู่การทำสงครามกับอังกฤษอีกครั้ง และครั้งนี้อังกฤษสามารถครอบครองพม่าไว้ได้หมดทั้งประเทศในปี พ.ศ. 2428 ทำให้พระเจ้าธีบอถูกบังคับให้สละราชสมบัติและเนรเทศไปอยู่ที่อินเดียหลังสิ้น
สงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่สาม ทรงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าและเป็นการสิ้นสุดระบอบกษัตริย์ในพม่าที่มีมายาวนานราชวงศ์โก้นบอง มีกษัตริย์ทั้งหมด 11 พระองค์ กินระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2295 จนถึงปี พ.ศ. 2428 มีเมืองหลวงหลายเมือง ทั้ง
ชเวโบ ซะไกง์ อังวะ อมรปุระ และ
มัณฑะเลย์