ลาวอิสระ (1945–1949)
เขมรอิสระ[6] อาสาสมัครจากประเทศญี่ปุ่น
Supported by:
[8] สหภาพโซเวียต[9] จีน (1949–1954)
[9] เยอรมนีตะวันออก[10][11] กัมพูชา (1953–1954)
ราชอาณาจักรลาว (1953–1954)
รัฐเวียดนาม (1949–1954)
Supported by:
สหรัฐ[12] (1950–1954)
รัฐเวียดนามสงครามอินโดจีนครั้งที่หนึ่งเริ่มใน
อินโดจีนฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1946 และกินเวลาจนวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1954 การสู้รบระหว่างกำลังฝรั่งเศสและคู่ต่อสู้
เวียดมินห์ในทางใต้เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1945 ความขัดแย้งนี้มีกำลังต่าง ๆ ซึ่งรวม
กองทัพรบนอกประเทศภาคพื้นตะวันออกไกลฝรั่งเศสของ
สหภาพฝรั่งเศส ซึ่งมี
ฝรั่งเศสเป็นผู้นำ และมี
กองทัพแห่งชาติเวียดนามของ
สมเด็จพระจักรพรรดิบ๋าว ดั่ยสนับสนุนต่อ
เวียดมินห์ซึ่งมี
โฮจิมินห์เป็นผู้นำและ
กองทัพประชาชนเวียดนามซึ่งมี
หวอ เงวียน ซ้าปเป็นผู้นำ การสู้รบส่วนใหญ่เกิดในตังเกี๋ยในเวียดนามเหนือ แม้ความขัดแย้งกลืนทั่วประเทศและยังลามไป
รัฐในอารักขาอินโดจีนฝรั่งเศสเพื่อนบ้าน
ลาวและ
กัมพูชาณ
การประชุมพ็อทซ์ดัมในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1945 เสนาธิการร่วม (Combined Chiefs of Staff) ตัดสินใจว่าอินโดจีนใต้ละติจูด 16 องศาเหนือ จะรวมอยู่ในกองบัญชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้
พลเรือเอกเมานต์แบ็ทแตนชาวบริติช กำลังญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่ทางใต้เส้นนั้นยอมจำนนต่อเขาและกำลังญี่ปุ่นเหนือเส้นนั้นยอมจำนนต่อจอมทัพ
เจียง ไคเช็ก ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1945 กำลังจีนเข้าตังเกี๋ยและกำลังรบเฉพาะกิจบริติชขนาดเล็กขึ้นบกที่
ไซ่ง่อน จีนยอมรับรัฐบาลเวียดนามภายใต้โฮจิมินห์ ซึ่งกำลังต่อต้านเวียดมินห์ตั้ง ซึ่งขณะนั้นครองอำนาจอยู่ในกรุง
ฮานอย ฝ่ายบริเตนไม่ยอมตามในไซ่ง่อน และยอมให้ฝรั่งเศสที่นั่นตั้งแต่ต้น ซึ่งต่อต้านการสนับสนุนเวียดมินห์ที่ดูเช่นนั้นโดยผู้แทน
โอเอสเอสของอเมริกา ในวันวี-เจ 2 กันยายน โฮจิมินห์ประกาศสถาปนา
สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามในกรุงฮานอย
สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามปกครองเป็นรัฐบาลพลเรือนเดียวในเวียดนามทั้งหมดเป็นเวลาประมาณ 20 วัน หลังจักรพรรดิบ๋าว ดั๋ยสละราชสมบัติ ซึ่งปกครองในการปกครองของญี่ปุ่น ฉะนั้นเวียดมินห์จึงถือเป็น "หุ่นเชิดญี่ปุ่น" วันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1945 ด้วยทราบถึงผู้บัญชาการบริติชในไซ่ง่อน กำลังฝรั่งเศสโค่นรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนเวียดนามท้องถิ่น และประกาศฟื้นฟูอำนาจของฝรั่งเศสใน
โคชินจีน การสงครามกองโจรพลันเริ่มรอบไซ่ง่อน
[23]ปีแรก ๆ ของสงครามเป็นการก่อการกำเริบในชนบทระดับต่ำต่อทางการฝรั่งเศส ทว่า หลังคอมมิวนิสต์จีนถึงชายแดนเวียดนามด้านเหนือใน ค.ศ. 1949 ความขัดแย้งเปลี่ยนเป็นสงครามตามแบบระหว่างสองกองทัพที่มีอาวุธสมัยใหม่ที่สหรัฐและสหภาพโซเวียตจัดหา
[24] กำลังสหภาพฝรั่งเศสมีทหารอาณานิคมจากทั้งอดีตจักรวรรดิ (โมร็อกโก แอลจีเรีย ตูนิเซีย ลาว กัมพูชาและชนกลุ่มน้อยเวียดนาม) กำลังอาชีพฝรั่งเศสและหน่วย
กองทหารต่างด้าวฝรั่งเศส การใช้กำลัง
ฝรั่งเศสแผ่นดินใหญ่เกณฑ์ถูกรัฐบาลห้ามเพื่อป้องกันมิให้สงครามยิ่งไม่ได้รับความนิยมมากขึ้นอีกในประเทศแม่ ปัญญาชนฝ่ายซ้ายในประเทศฝรั่งเศสเรียกสงครามนี้ว่า "สงครามสกปรก"
[25]ยุทธศาสตร์ผลักดันเวียดมินห์ให้โจมตีฐานที่มีการป้องกันดีในส่วนห่างไกลของประเทศ ณ ปลายเส้นทางลอจิสติกของเวียดมินห์สมเหตุสมผลที่
ยุทธการที่หน่าสาน ทว่า ฐานนี้ค่อนข้างอ่อนแอเพราะขาดวัสดุก่อสร้างอย่างคอนกรีตและเหล็กกล้า รถถังหุ้มเกาะซึ่งมีประโยชน์จำกัดในสิ่งแวดล้อมป่า การขาดกองทัพอากาศที่เข้มแข็งสำหรับการคุ้มกันทางอากาศและการทิ้งระเบิดปูพรมและการใช้กำลังต่างด้าวเกณฑ์จากอาณานิคมฝรั่งเศสอื่นที่เกิดจากความไม่เป็นที่นิยมของสงครามนี้ในประเทศฝรั่งศสซึ่งห้ามการใช้ทหารเกณฑ์ชาวฝรั่งเศสประจำการ อีกด้านหนึ่ง ซ้าปใช้ยุทธวิธีที่มีประสิทธิภาพและใหม่ปืนใหญ่ยิงตรง (direct fire artillery) การซุ่มโจมตีขบวนคุ้มกันและปืนต่อสู้อากาศยานที่รวบรวมเพื่อขัดขวางการส่งกำลังบำรุงทางบกหรืออากาศร่วมกับยุทธศาสตร์ที่ยึดการเกณฑ์กองทัพประจำการขนาดพอสมควรที่อำนวยจากการสนับสนุนของประชาชนอย่างกว้างขวาง ลัทธิการสงครามกองโจรและการสอนที่พัฒนาในประเทศจีนและการใช้วัสดุสงครามเรียบง่ายและเชื่อถือได้ที่สหภาพโซเวียตจัดหา ทั้งหมดนี้รวมกันพิสูจน์แล้วว่าเป็นหายนะสำหรับการป้องกันฐานนี้ ลงเอยด้วยความปราชัยของฝรั่งเศสอย่างเด็ดขาดใน
ยุทธการที่เดียนเบียนฟู[26]ณ
การประชุมเจนีวาระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 1954 รัฐบาลฝรั่งเศสสังคมนิยมใหม่และเวียดมินห์ทำความตกลงซึ่งถูกรัฐบาลเวียดนามและสหรัฐประณาม แต่ให้คอมมิวนิสต์ควบคุมเวียดนามเหนือเหนือ
เส้นขนานที่ 17 ยกการควบคุมเวียดนามเหนือให้เวียดมินห์ภายใต้โฮจิมินห์ และเวียดนามใต้ยังอยู่ภายใต้จักรพรรดิบ๋าว ดั๋ย ปีต่อมา บ๋าว ดั่ยถูกนายกรัฐมนตรี
โง ดิ่ญ เสี่ยมปลด สถาปนา
สาธารณรัฐเวียดนาม ไม่นาน เกิดการก่อการกำเริบที่เวียดนามเหนือสนับสนุนต่อรัฐบาลเดี่ยม ความขัดแย้งค่อย ๆ บานปลายเป็น
สงครามเวียดนาม