แต่ก็มีการแบ่งย่อยในเขตอื่น ๆ ที่ต่าง ๆ กันใน
สมัยไพลสโตซีนตอนต้นและตอนปลายโดยแบ่งออกเป็นช่วงยุคน้ำแข็งและช่วงคั่นยุคน้ำแข็งยุคน้ำแข็งสุดท้ายยุติไปพร้อมกับช่วงอายุหิน Younger Dryas
สมัยไพลสโตซีน[1](
อังกฤษ: Pleistocene
[2]เครื่องหมาย PS
[3])เป็น
ธรณีกาลระหว่าง 2,588,000-11,700 ปีก่อนที่มียุคน้ำแข็งเกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันชาลส์ ไลเอลล์ บัญญัติคำนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1839 เพื่ออธิบายชั้นหินที่พบใน
เกาะซิซิลีที่มีพรรณสัตว์ไฟลัม
มอลลัสกากว่า 70% ที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันซึ่งแตกต่างจาก
สมัยไพลโอซีน ที่ไลเอลล์ดั้งเดิมคิดว่าเป็นชั้นหินใหม่ที่สุดโดยบัญญัติคำว่า Pleistocene (แปลว่า ใหม่ที่สุด) จาก
ภาษากรีก πλεῖστος, pleīstos ซึ่งแปลว่า "ที่สุด" และ καινός, kainós (cænus) ซึ่งแปลว่า "ใหม่"
[4]เทียบกับสมัยไพลโอซีน (Pleiocene) ซึ่งเป็นสมัยที่มาก่อนโดยติด ๆ กัน ซึ่งแปลว่า "ใหม่กว่า" โดยมาจากคำว่า πλείων, pleíōn ซึ่งแปลว่า "กว่า" และ kainós (ใหม่)และเทียบกับสมัย
โฮโลซีน (แปลว่า "ใหม่สิ้นเชิง" จากคำว่า ὅλος, hólos แปลว่า "สิ้นเชิง" และคำว่า kainós) ซึ่งอยู่ถัดมา โดยเป็นสมัยที่รวมปัจจุบันสมัยไพลสโตซีนเป็นสมัยแรก (epoch) ของ
ควอเทอร์นารีหรือสมัยที่ 6 ของ
มหายุคซีโนโซอิก[5]ส่วนจุดยุติของสมัยไพลสโตซีนก็คือจุดยุติของช่วงธารน้ำแข็งสุดท้ายและเป็นจุดยุติของ
ยุคหินเก่าตาม
โบราณคดีอีกด้วยในช่วงกาลเวลาที่กำหนดโดยองค์กรมาตรฐานสากลคือ International Classification for Standards สมัยไพลสโตซีนแบ่งออกเป็น 4 ช่วงอายุหิน (stage หรือ age) คือ Gelasian, Calabrian, Ionian และ Tarantianชั้นหินเหล่านี้มีกำหนดที่ชัดเจนใน
ยุโรปใต้แต่ว่า นอกเหนือไปจากการแบ่งตามมาตรฐานสากลเช่นนี้ ภูมิภาคต่าง ๆ จะมีการแบ่งย่อยเฉพาะตน ๆก่อนการกำหนดขององค์กรสากล International Union of Geological Sciences (สหภาพธรณีวิทยาสากล ตัวย่อ IUGS) ในปี พ.ศ. 2552 ช่วงต่อระหว่างสมัยไพลสโตซีนและสมัยไพลโอซีนก่อนหน้านั้นกำหนดที่ 1.806 ล้านปีก่อน เทียบกับที่กำหนดปัจจุบันเป็น 2.588 ล้านปีก่อน ดังนั้น
วรรณกรรมที่พิมพ์ก่อนปีนั้นอาจจะใช้นิยามที่ไม่เหมือนกับในปัจจุบัน