เศรษฐกิจ ของ สหภาพยุโรป

สหภาพยุโรปสถาปนาตลาดเดียวทั่วดินแดนของสมาชิกทั้งหมดซึ่งมีพลเมือง 508 ล้านคน ในปี 2557 สหภาพยุโรปมีจีดีพีรวมกัน 18.640 ล้านล้านดอลลาร์ระหว่างประเทศ (international dollar) คิดเป็นสัดส่วน 20% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั่วโลกเรียงตามความเท่าเทียมของอำนาจซื้อ (PPP) สหภาพยุโรปที่เป็นองค์การการเมืองมีผู้แทนในองค์การการค้าโลก รัฐสมาชิกสหภาพยุโรปมีความมั่งคั่งสุทธิประเมินมากที่สุดในโลก คิดเป็น 30% ของความมั่งคั่งทั่วโลก 223 ล้านล้านดอลลาร์ระหว่างประเทศ

รัฐสมาชิก 19 รัฐเข้าร่วมสหภาพการเงิน เรียก ยูโรโซน ซึ่งใช้เงินตราเดี่ยวคือ ยูโร สหภาพการเงินมีพลเมืองสหภาพยุโรป 338 ล้านคน ยูโรเป็นเงินตราสำรองใหญ่สุดอันดับสองตลอดจนเงินตราที่มีการซื้อขายมากที่สุดอันดับสองของโลกรองจากดอลลาร์สหรัฐ

ในบรรดา 500 บรรษัทใหญ่สุดในโลกวัดตามรายได้ในปี 2553 จำนวนนี้มี 161 บรรษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหภาพยุโรป ในปี 2559 อัตราการว่างงานในสหภาพยุโรปอยู่ที่ 8.9% ขณะที่เงินเฟ้ออยู่ที่ 2.2% และดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ที่ −0.9% ของจีดีพี ค่าจ้างสุทธิต่อปีเฉลี่ยในสหภาพยุโรปอยู่ที่ประมาณ $20,000 ในปี 2558 ซึ่งคิดเป็นประมาณกึ่งหนึ่งของค่าจ้างสุทธิต่อปีเฉลี่ยในสหรัฐอเมริกา

มีความผันแปรของจีดีพี (พีพีพี) ต่อหัวอย่างสำคัญภายในรัฐสหภาพยุโรปหนึ่ง ๆ ความแตกต่างระหว่างภูมิภาคที่รวยและจนที่สุด (ภูมิภาค NUTS-2 ตามการตั้งชื่อหน่วยดินแดนเพื่อสถิติจำนวน 276 ภูมิภาค) ในปี 2557 มีพิสัยระหว่าง 30% ของค่าเฉลี่ยสมาชิกสหภาพยุโรป 28 รัฐถึง 539% หรือตั้งแต่ 8,200 ถึง 148,000 ยูโร (ประมาณ 9,000 ถึง 162,000 ดอลลาร์สหรัฐ)

กองทุนโครงสร้างและกองทุนความเชื่อมแน่นกำลังสนับสนุนการพัฒนาภูมิภาคด้อยพัฒนาของสหภาพยุโรป ดินแดนดังกล่าวส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในรัฐยุโรปกลางและใต้ หลายกองทุนจัดหาการช่วยเหลือฉุกเฉิน การสนับสนุนสมาชิกผู้สมัครเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศของตนเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป (Phare, ISPA, และ SAPARD) และสนับสนุนเครือจักรภพรัฐเอกราช (TACIS) TACIS ปัจจบุนัเป็นส่วนหนึ่งของโครงการยุโรปเอดทั่วโลก โครงการกรอบการวิจัยและเทคโนโลยีสหภาพยุโรปสนับสนุนการวิจัยที่ดำเนินการโดยกลุ่มจากสมาชิกสหภาพยุโรปทุกประเทศเพื่อมุ่งสู่พื้นที่การวิจัยยุโรปเดียว

ตลาดภายใน

วัตถุประสงค์แกนกลางดั้งเดิมสองประการของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปคือการพัฒนาตลาดร่วม ซึ่งต่อมากลายเป็นตลาดเดียว และสหภาพศุลกากรระหว่างรัฐสมาชิก ตลาดเดียวเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีซึ่งสินค้า ทุน บุคคลและบริการภายในสหภาพยุโรป และสหภาพศุลกากรซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้บังคับอากรศุลกากรภายนอกร่วมต่อสินค้าทุกชนิดที่เข้าสู่ตลาดดังกล่าว เมื่อสินค้าถูกรับเข้าตลาดแล้วจะไม่มีการเก็บอากรศุลกากร ภาษีเลือกปฏิบัติหรือโควตานำเข้าอีกเมื่อมีการเคลื่อนย้ายภายใน รัฐสมาชิกที่มิใช่สหภาพยุโรป ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ ลิกเตนสไตน์และสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมในตลาดเดียวแต่ไม่เข้าร่วมสหภาพศุลกากร การค้ากึ่งหนึ่งในสหภาพยุโรปอยู่ภายใต้กฎหมายซึ่งสหภาพยุโรปปรับปรุงให้สอดคล้องกัน

การเคลื่อนย้ายทุนอย่างเสรีตั้งใจให้อนุญาตการเคลื่อนย้ายการลงทุน เช่น การซื้ออสังหาริมทรัพย์และการซื้อหลักทรัพย์ระหว่างประเทศ ก่อนหน้ามีแรงขับสู่สหภาพเศรษฐกิจและการเงิน การพัฒนาข้อกำหนดทุนเป็นไปอย่างเชื่องช้า หลังสนธิสัญญามาสทริชต์ มีหนังสือประชุมคำวินิจฉัยของศาลยุติธรรมแห่งสหภาพยุโรปซึ่งกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วในด้านเสรีภาพซึ่งถูกละเลยในทีแรกนี้ การเคลื่อนย้ายทุนอย่างเสรีเป็นเอกลักษณ์ถึงขนาดที่มีการให้แก่รัฐที่มิใช่สมาชิกโดยเสมอกัน

การเคลื่อนย้ายบุคคลอย่างเสรีหมายความว่าพลเมืองสหภาพยุโรปสามารถเคลื่อนย้ายอย่างเสรีระหว่างรัฐสมาชิกเพื่ออยู่อาศัย ทำงาน ศึกษาหรือเกษียณในประเทศอื่น การเคลื่อนย้ายดังกล่าวต้องการพิธีรีตรองทางการปกครองและการรับรองคุณสมบัติวิชาชีพจากรัฐอื่นลดลง

การเคลื่อนย้ายบริการและสถานที่ประกอบการอย่างเสรีทำให้บุคคลที่ประกอบอาชีพอิสระเคลื่อนย้ายระหว่างรัฐสมาชิกเพื่อจัดหาบริการเป็นการชั่วคราวหรือถาวรได้ แม้บริการจะคิดเป็น 60–70% ของจีดีพี แต่กฎหมายในขอบเขตดังกล่าวยังไม่มีการพัฒนาเท่ากับในขอบเขตอื่น ส่วนนี้มีการจัดการโดยมีการผ่านคำสั่งเรื่องบริการในตลาดภายในซึ่งมุ่งเปิดเสรีการจัดหาบริการให้ข้ามพรมแดน ตามสนธิสัญญาฯ การจัดหาบริการให้เป็นเสรีภาพตกค้างซึ่งใช้บังคับได้ต่อเมื่อไม่มีการใช้เสรีภาพอื่น

สหภาพการเงิน

การสถาปนาเงินตราเดียวยุโรปกลายเป็นวัตถุประสงค์อย่างเป็นทางการของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในปี 2512 ต่อมาในปี 2535 หลังได้เจรจาโครงสร้างและวิธีดำเนินการของสหภาพเงินตราแล้ว รัฐสมาชิกลงนามสนธิสัญญามาสทริชต์และถูกผูกพันตามกฎหมายให้บรรลุกฎที่มีการตกลงกันซึ่งรวมถึงเกณฑ์บรรจบหากต้องการเข้าร่วมสหภาพการเงิน รัฐที่ต้องการเข้าร่วมจะต้องเข้าร่วมกลไกอัตราแลกเปลี่ยนยุโรปเสียก่อน

ในปี 2542 สหภาพการเงินเริ่มต้น ทีแรกเป็นเงินตราบัญชีโดยมีรัฐสมาชิกสิบเอ็ดรัฐเข้าร่วม ในปี 2545 เงินตราดังกล่าวมีการใช้อย่างสมบูรณ์ เมื่อมีการออกธนบัตรและเหรียญยูโรและเงินตราประจำชาติเริ่มต้นหายไปในยูโรโซน ซึ่งขณะนั้นมีรัฐสมาชิก 12 รัฐ ยูโรโซน (ซึ่งประกอบด้วยรัฐสมาชิกสหภาพยุโรปที่ใช้เงินสกุลยูโร) ได้เติบโตเป็น 19 ประเทศนับแต่นั้น

ยูโรและนโยบายการเงินของรัฐที่ใช้ในความตกลงกับสหภาพยุโรปอยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดย ECB เป็นธนาคารกลางสำหรับยูโรโซน ฉะนั้นจึงควบคุมนโยบายการเงินในขอบเขตนั้นโดยมีวาระเพื่อธำรงเสถียรภาพราคา ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของระบบธนาคารกลางยุโรป ซึ่งรวบรวมธนาคารกลางแห่งชาติทั่วทั้งสหภาพยุโรปและมีคณะมนตรีใหญ่ (General Council) เป็นผู้ควบคุม ซึ่งคณะมนตรีใหญ่นี้ประกอบด้วยประธานธนาคารกลางยุโรปที่มาจากการแต่งตั้งของที่ประชุมยุโรป รองประธานธนาคารกลางยุโรปและผู้ว่าการธนาคารกลางประจำชาติของรัฐสมาชิกสหภาพยุโรปทั้ง 28 รัฐ

ระบบการควบคุมดูแลการเงินยุโรปเป็นสถาปัตยกรรมโครงสร้างของโครงการควบคุมดูแลการเงินของสหภาพยุโรป ประกอบด้วยสามหน่วยงาน ได้แก่ การธนาคารยุโรป การประกันภัยและบำนาญอาชีพยุโรป และการหลักทรัพย์และตลาดยุโรป ในการเติมเต็มกรอบนี้ ยังมีคณะกรรมการความเสี่ยงเป็นระบบยุโรป (European Systemic Risk Board) ภายใต้ความรับผิดชอบของธนาคารกลางยุโรป จุดมุ่งหมายของระบบควบคุมการเงินนี้คือเพื่อประกันเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป

เพื่อป้องกันรัฐที่เข้าร่วมมิให้เผชิญปัญหาหรือวิกฤตการเงินหลังเข้าร่วมสหภาพการเงิน รัฐถูกผูกพันในสนธิสัญญามาสทริชต์ในบรรลุข้อผูกพันการเงินและวิธีดำเนินการที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อแสดงวินัยงบประมาณและการบรรจบทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนระดับสูง ตลอดจนการหลีกเลี่ยงการขาดดุลภาครัฐมากเกินและจำกัดหนี้สาธารณะที่ระดับยั่งยืน

พลังงาน

ในปี 2549 รัฐสมาชิกสหภาพยุโรป 27 รัฐมีการบริโภคพลังงานในแผ่นดินทั้งสิ้น 1,825 ล้านตันเทียบเท่าน้ำมัน (toe) ประมาณ 46% ของพลังงานที่บริโภคมีการผลิตภายในรัฐสมาชิก ขณะที่อีก 54% มาจากการนำเข้า ในสถิติเหล่านี้ พลังงานนิวเคลียร์ถือเป็นพลังงานหลักที่ผลิตในสหภาพยุโรป โดยไม่คำนึงถึงแหล่งยูเรเนียม ซึ่งมีการผลิตในสหภาพยุโรปน้อยกว่า 3%

สหภาพยุโรปมีอำนาจนิติบัญญัติในขอบเขตนโยบายพลังงานเป็นส่วนใหญ่ของประวัติศาสตร์ นโยบายดังกล่าวมีเหง้าในประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้าแห่งยุโรป การริเริ่มนโยบายพลังงานยุโรปแบบบังคับและครอบคุลมมีการอนุมัติในการประชุมที่ประชุมยุโรปในเดือนตุลาคม 2548 และมีการพิมพ์เผยแพร่นโยบายฉบับร่างนโยบายแรกในเดือนมกราคม 2550

สหภาพยุโรปมีห้าจุดหลักในนโยบายพลังงาน ได้แก่ เพิ่มการแข่งขันในตลาดภายใน ส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นความเชื่อมโยงระหว่างสายไฟฟ้า ทำให้หลากหลายซึ่งทรัพยากรพลังงานโดยมีระบบสนองวิกฤตที่ดีขึ้น สถาปนาโครงสนธิสัญญาใหม่สำหรับความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศรัสเซียขณะที่พัฒนาความสัมพันธ์กับรัฐที่อุดมไปด้วยพลังงานในเอเชียกลางและแอฟริกาเหนือ ใช้อุปสงค์พลังงานที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นขณะที่เพิ่มการพาณิชย์พลังงานหมุนเวียน และสุดท้ายเพิ่มเงินทุนสำหรับเทคโนโลยีพลังงานใหม่

ในปี 2550 ประเทศสหภาพยุโรปทั้งหมดนำเข้า 82% ของอุปทานน้ำมัน 57% ของอุปทานแก๊สธรรมชาติ และ 97.48% ของอุปทานยูเรเนียม มีการพึ่งพาพลังงานรัสเซียอย่างมากซึ่งสหภาพยุโรปกำลังพยายามลด