ประวัติศาสตร์ ของ สหรัฐ

ดูบทความหลักที่: ประวัติศาสตร์สหรัฐ

ชนพื้นเมืองและประวัติศาสตร์ยุคก่อนโคลัมบัส

การสร้างใหม่ของศิลปินซึ่งแหล่งคินเคดจากวัฒนธรรมมิสซิสซิปปีก่อนประวัติศาสตร์ ตามที่อาจปรากฏ[37]

ผู้อยู่อาศัยในทวีปอเมริกาเหนือคนแรก ๆ ย้ายถิ่นจากไซบีเรียโดยทางสะพานบกเบริงและมาถึงอย่างน้อย 15,000 ปีมาแล้ว แม้มีหลักฐานเพิ่มขึ้นที่เสนอว่าอาจมาถึงก่อนหน้านั้นอีก[38] หลังข้ามสะพานบกแล้ว ชาวอเมริกันกลุ่มแรกย้ายลงใต้ โดยอาจตามชายฝั่งแปซิฟิก[39][40] หรือผ่านหิ้งปลอดน้ำแข็งในแผ่นดินระหว่างหิ้งน้ำแข็งคอร์ดิลเลอร์แรน (Cordilleran) และลอเรนไทด์ (Laurentide)[41] วัฒนธรรมโคลวิสปรากฏประมาณ 11,000 ปีก่อน ค.ศ. และถือว่าเป็นบรรพบุรุษของวัฒนธรรมพื้นเมืองสมัยหลังของทวีปอเมริกาส่วนใหญ่[42] แม้คิดกันตลอดปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ว่าวัฒนธรรมโคลวิสเป็นตัวแทนของการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งแรกในทวีปอเมริกา[43] แต่ในช่วงปีหลัง ๆ ได้เปลี่ยนมาตระหนักถึงวัฒนธรรมก่อนโคลวิส[44]

ต่อมา วัฒนธรรมพื้นเมืองในทวีปอเมริกาเหนือเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น และบางวัฒนธรรมเช่น วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีสมัยก่อนโคลัมบัสในทางตะวันออกเฉียงใต้ พัฒนาการกสิกรรมก้าวหน้า สถาปัตยกรรมใหญ่ และสังคมระดับรัฐ[45] ตั้งแต่ประมาณปี 800 ถึง 1600[46] วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีเฟื่องฟู และนครใหญ่สุด คะโฮเคีย (Cahokia) ถือเป็นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนโคลัมบัสที่ใหญ่และซับซ้อนที่สุดในสหรัฐปัจจุบัน[47] ในภูมิภาคเกรตเลกส์ทางใต้ มีการก่อตั้งสมาพันธรัฐอิระควอยในบางช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 12[48] ถึง 15[49] และอยู่มาจนสิ้นสงครามปฏิวัติ[50]

การตั้งถิ่นฐานหมู่เกาะฮาวายครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อใดนั้นยังเป็นหัวข้อการถกเถียงที่ยังดำเนินอยู่[51] หลักฐานโบราณคดีดูเหมือนบ่งชี้ว่ามีนิคมตั้งแต่ปี 124[52] ระหว่างการเดินเรือครั้งที่สามและครั้งสุดท้าย กัปตันเจมส์ คุกเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เริ่มการติดต่อกับฮาวายอยางเป็นทางการ[53] หลังการขึ้นฝั่งครั้งแรกในเดือนมกราคม 1778 ที่ท่าไวเมีย เกาะคาไว คุกตั้งชื่อกลุ่มเกาะนี้วา "หมู่เกาะแซนด์วิช" ตามเอิร์ลที่ 4 แห่งแซนด์วิช รักษาราชการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารเรือของราชนาวีบริติช[54]

นิคมยุโรป

นักสำรวจชาวอิตาลี คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส มาถึงทวีปอเมริกาและเข้าควบคุมกัวนาฮานิ

หลังสเปนส่งโคลัมบัสในการล่องเรือเที่ยวแรกของเขาสู่โลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1492 ก็มีนักสำรวจอื่นตามมา ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาถึงดินแดนของสหรัฐสมัยใหม่เป็นกองกิสตาดอร์สเปนอย่างควน ปอนเซ เด เลออน ซึ่งเดินทางถึงฟลอริดาครั้งแรกในปี ค.ศ. 1513 ทว่า หากคิดดินแดนที่ไม่รวมเข้าด้วยกันของสหรัฐด้วยแล้ว ความชอบจะเป็นของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสซึ่งขึ้นฝั่งที่ปวยร์โตรีโกในการเดินทางปี ค.ศ. 1493 ชาวสเปนตั้งนิคมแห่งแรกในฟลอริดาและนิวเม็กซิโกอย่างเซนต์ออกัสตีน[55] และแซนตาเฟ ชาวฝรั่งเศสตั้งอาณานิคมของตนเช่นกันตามแม่น้ำมิสซิสซิปปี การตั้งถิ่นฐานของชาวอังกฤษที่สำเร็จตามชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือเริ่มด้วยอาณานิคมเวอร์จิเนียในปี ค.ศ. 1607 ที่เจมส์ทาวน์ และอาณานิคมพลีมัทของพิลกริมในปี ค.ศ. 1620 ผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากเป็นกลุ่มคริสต์ศาสนิกชนขัดแย้งที่มาแสวงเสรีภาพทางศาสนา มีการสร้างสภาเบอร์จัสซิส (House of Burgesses) แห่งเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งแห่งแรกของทวีป ในปี ค.ศ. 1619 และข้อตกลงร่วมกันเมย์ฟลาวเออร์ (Mayflower Compact) ซึ่งพิลกริมลงนามก่อนขึ้นฝั่ง และภาคีมูลฐานแห่งคอนเนกติคัด สถาปนาแบบอย่างสำหรับรูปแบบการปกครองตนเองแบบมีผู้แทนและระบอบรัฐธรรมนูญซึ่งจะพัฒนาทั่วอาณานิคมอเมริกา[56][57]

ผู้ตั้งถิ่นฐานส่วนมากในทุกอาณานิคมเป็นเกษตรกรรายย่อย แต่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นในไม่กี่ทศวรรษแตกต่างกันตามนิคม พืชเศรษฐกิจมียาสูบ ข้าวเจ้าและข้าวสาลี อุตสาหกรรมการสกัดเติบโตขึ้นในหนังสัตว์ การประมงและการทำไม้ ผู้ผลิตผลิตรัมและเรือ และเมื่อถึงสมัยอาณานิคมตอนปลาย ชาวอเมริกันก็ผลิตหนึ่งในเจ็ดของอุปสงค์เหล็กโลก[58] สุดท้ายนครต่าง ๆ ผุดขึ้นตามชายฝั่งเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นและใช้เป็นศูนย์กลางการค้า ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษมีระลอกชาวสกอต-ไอริชและกลุ่มอื่นเข้ามาเสริม เมื่อที่ดินชายฝั่งมีราคาแพงขึ้นทำให้แรงงานสัญญา (indentured servant) ที่เป็นอิสระถูกผลักไปทางทิศตะวันตก[59]

การค้าทาสขนานใหญ่กับไพรวะเทียร์อังกฤษเริ่มต้น[60] การคาดหมายคงชีพของทาสในทวีปอเมริกาเหนือสูงกว่าทางใต้มาก เนื่องจากมีโรคน้อยกว่าและมีอาหารและการปฏิบัติที่ดีกว่า นำให้มีการเพิ่มจำนวนของทาสอย่างรวดเร็ว[61][62] สังคมอาณานิคมส่วนใหญ่แบ่งแยกกันระหว่างการส่อความทางศาสนาและศีลธรรมของความเป็นทาส และอาณานิคมผ่านรัฐบัญญัติทั้งสนับสนุนและคัดค้านทาส[63][64] แต่เมื่อย่างเข้าคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทาสแอฟริกาก็เป็นแรงงานพืชเศรษฐกิจแทนที่แรงงานสัญญา โดยเฉพาะในภาคใต้[65]

ด้วยการทำให้จอร์เจียเป็นอาณานิคมของบริติชในปี ค.ศ. 1732 จึงมีการสถาปนาสิบสามอาณานิคมที่จะกลายเป็นสหรัฐในเวลาต่อมา[66] ทุกอาณานิคมมีรัฐบาลท้องถิ่นและการเลือกตั้งที่เปิดแก่ชายไททุกคน โดยมีการฝักใฝ่สิทธิชนอังกฤษโบราณและสำนึกการปกครองตนเองที่กระตุ้นการสนับสนุนสาธารณรัฐนิยม[67] ด้วยอัตราการเกิดที่สูงมาก อัตราการตายที่ต่ำมากและการตั้งถิ่นฐานอย่างต่อเนื่อง ประชากรอาณานิคมจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ประชากรอเมริกันพื้นเมืองค่อนข้างน้อยถูกบดบัง[68] ขบวนการฟื้นฟูคริสต์ศาสนิกชน (Christian revivalist) คริสต์ทศวรรษ 1730 และ 1740 ที่เรียก การตื่นใหญ่ (Great Awakening) ช่วยเร่งความสนใจทั้งศาสนาและเสรีภาพในการนับถือศาสนา[69]

ระหว่างสงครามเจ็ดปี (หรือเรียก สงครามฝรั่งเศสและอินเดียน) กำลังบริติชยึดแคนาดาจากฝรั่งเศส แต่ประชากรที่พูดภาษาฝรั่งเศสยังโดดเดี่ยวทางการเมืองจากอาณานิคมทางใต้ 13 อาณานิคมเหล่านี้มีประชากรกว่า 2.1 ล้านคนหรือประมาณหนึ่งในสามของบริเตนในปี ค.ศ. 1770 หากไม่นับอเมริกันพื้นเมืองซึ่งถูกพิชิตและขับไล่ แม้มีการเข้ามาใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่อัตราการเพิ่มตามธรรมชาติสูงจนเมื่อถึงคริสต์ทศวรรษ 1770 มีชาวอเมริกันน้อยมากที่เกิดโพ้นทะเล[70] ระยะห่างของอาณานิคมจากบริเตนทำให้มีการพัฒนาการปกครองตนเอง แต่ความสำเร็จของพวกเขาบันดาลให้พระมหากษัตริย์มุ่งย้ำพระราชอำนาจอยู่เป็นระยะ[71]

ในปี ค.ศ. 1774 เรือกองทัพเรือสเปน ซานเตียโก ภายใต้ควน เปเรซเข้าและทอดสมอในทางเข้าที่นูตคาซาวน์ (Nootka Sound) แม้ชาวสเปนมิได้ขึ้นฝั่ง แต่ชนพื้นเมืองพายเรือมายังเรือสเปนเพื่อค้าหนังสัตว์แลกกับเปลือกแอบะโลนีจากแคลิฟอร์เนีย[72] ในเวลานั้น สเปนสามารถผูกขาดการค้าระหว่างทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือได้โดยให้ใบอนุญาตจำกัดแก่โปรตุเกส เมื่อชาวรัสเซียเริ่มสถาปนาระบบการค้าหนังสัตว์ที่เติบโตขึ้นในอะแลสกา ชาวสเปนเริ่มคัดค้านรัสเซีย โดยการเดินเรือของเปเรซเป็นครั้งแรก ๆ ที่ไปแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ[73][fn 5]

หลังมาถึงหมู่เกาะฮาวายในปี 1778 กัปตันคุกแล่นเรือขึ้นเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อสำรวจฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือซึ่งอยู่เหนือกว่านิคมสเปนในอัลตาแคลิฟอร์เนีย เขาขึ้นบกที่ฝั่งออริกอนที่ประมาณละติจูด 44°30′ เหนือ โดยตั้งชื่อจุดขึ้นบกนั้นว่า เคปเฟาล์เวเทอร์ ลมฟ้าอากาศเลวบังคับให้เรือของเขาลงใต้ไปประมาณ 43° เหนือก่อนสามารถเริ่มการสำรวจชายฝั่งไปทางเหนือ[75] ในเดือนมีนาคม 1778 คุกขึ้นบกที่เกาะไบล และตั้งชื่อทางเข้าว่า "คิงจอจส์ซาวด์" เขาบันทึกว่าชื่อชนพื้นเมือง คือ นุตคาหรือนูตคา[76]

ผลต่อและอันตรกิริยากับประชากรพื้นเมือง

ด้วยความคืบหน้าของการทำให้เป็นอาณานิคมของยุโรปในดินแดนสหรัฐร่วมสมัย อเมริกันพื้นเมืองมักถูกพิชิตและย้ายถิ่น[77] ประชากรพื้นเมืองของอเมริกาเสื่อมลงหลังชาวยุโรปมาถึง และด้วยหลายสาเหตุ จากโรคอย่างโรคฝีดาษและโรคหัดเป็นหลัก ความรุนแรงมิใช่ปัจจัยสำคัญในการเสื่อมลงโดยรวมในหมู่อเมริกันพื้นเมือง แม้มีความขัดแย้งระหว่างกันเองและกับชาวยุโรปมีผลต่อบางเผ่าและนิคมอาณานิคมต่าง ๆ[78][79][80][81][82][83]

ในช่วงแรกของการทำให้เป็นอาณานิคม ผู้ตั้งถิ่นฐานยุโรปจำนวนมากประสบปัญหาขาดแคลนอาหาร โรคและการโจมตีจากอเมริกันพื้นเมือง อเมริกันพื้นเมืองยังมักก่อสงครามกับเผ่าใกล้เคียงและเป็นพันธมิตรกับชาวยุโรปในสงครามอาณานิคมของตนเอง ทว่า ในเวลาเดียวกัน ชนพื้นเมืองและผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากพึ่งพาอาศัยกัน ผู้ตั้งถิ่นฐานแลกเปลี่ยนเอาอาหารและหนังสัตว์ ส่วนชนพื้นเมืองแลกเอาปืน เครื่องกระสุนและสินค้ายุโรปอื่น[84] ชนพื้นเมืองสอนผู้ตั้งถิ่นฐานจำนวนมากว่าจะเพาะปลูกข้าวโพด ถั่วและน้ำเต้าที่ไหน เมื่อใดและอย่างไร มิชชันนารียุโรปและอื่น ๆ รู้สึกว่าเป็นสิ่งสำคัญจะ "ทำให้เจริญ" ซึ่งอเมริกันพื้นเมืองและกระตุ้นให้พวกเขารับเทคนิคเกษตรกรรมและวิถีชีวิตของยุโรป[85][86]

การเดินเรือเที่ยวสุดท้ายของกัปตันเจมส์ คุกรวมถึงการแล่นตามชายฝั่งทวีปอเมริกาเหนือและอะแลสกาเพื่อแสวงช่องทางตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเวลาประมาณเก้าเดือน เขากลับฮาวายเพื่อเติมกำลังบำรุง เดิมสำรวจชายฝั่งเมาวีและเกาะใหญ่ ค้าขายกับคนท้องถิ่นแล้วทอดสมอที่อ่าวเกียลาเคกัวในเดือนมกราคม ค.ศ. 1779 เมื่อเรือและพวกของเขาออกจากเกาะ เสาเรือหักในลมฟ้าอากาศเลว บังคับให้พวกเขาหวนคืนในกลางเดือนกุมภาพันธ์ คุกถูกฆ่าในอีกหลายวันต่อมา[87]

เอกราชและการขยายอาณาเขต

คำประกาศอิสรภาพ โดย จอห์น ทรัมบูล

สงครามปฏิวัติอเมริกาเป็นสงครามประกาศอิสรภาพอาณานิคมที่สำเร็จครั้งแรกต่อชาติยุโรป ชาวอเมริกันพัฒนาอุดมการณ์ "สาธารณรัฐนิยม" โดยยืนยันว่ารัฐบาลจะต้องมาจากเจตจำนงของประชาชนโดยแสดงออกผ่านสภานิติบัญญัติท้องถิ่น พวกเขาเรียกร้องสิทธิเป็นชาวอังกฤษและ "ห้ามจัดเก็บภาษีหากไม่มีผู้แทน" ฝ่ายบริติชยืนยันการบริหารจักรวรรดิผ่านรัฐสภา และความขัดแย้งบานปลายเป็นสงคราม[88]

หลังการผ่านข้อมติลีเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ซึ่งเป็นการออกเสียงลงมติเอกราชที่แท้จริง สภาทวีปที่สองลงมติรับคำประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งประกาศในคำปรารภยาวว่า มนุษยชาติถูกสร้างขึ้นมาเท่าเทียมกันในสิทธิที่ไม่อาจโอนกันได้และบริเตนใหญ่ไม่คุ้มครองสิทธิเหล่านี้ และประกาศในคำของข้อมติว่าสิบสามอาณานิคมเป็นรัฐเอกราชและไม่สวามิภักดิ์กับพระมหากษัตริย์บริติชในสหรัฐ มีการเฉลิมฉลองวันที่ 4 กรกฎาคมทุกปีเป็นวันประกาศอิสรภาพ[89] ในปี ค.ศ. 1777 บทบัญญัติสมาพันธรัฐ (Articles of Confederation) สถาปนารัฐบาลอ่อนที่ดำเนินการจนปี ค.ศ. 1789[89]

บริเตนรับรองเอกราชของสหรัฐหลังปราชัยที่ยอร์กทาวน์ในปี ค.ศ. 1781[90] ในสนธิสัญญาสันติภาพปี ค.ศ. 1783 เอกราชของสหรัฐได้รับการรับรองจากชายฝั่งแอตแลนติกไปทางตะวันตกถึงแม่น้ำมิสซิสซิปปี นักชาตินิยมนำการประชุมฟิลาเดลเฟียปี ค.ศ. 1787 ในการเขียนรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐ ให้สัตยาบันในการประชุมรัฐในปี ค.ศ. 1788 มีการจัดระเบียบรัฐบาลกลางใหม่เป็นสามอำนาจ โดยหลักการสร้างการตรวจสอบและถ่วงดุลที่มีประโยชน์ ในปี ค.ศ. 1789 จอร์จ วอชิงตันซึ่งนำกองทัพปฏิวัติคว้าชัย เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ ในปี ค.ศ. 1791 มีการลงมติรับบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมืองซึ่งห้ามการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลของรัฐบาลกลางและรับประกันการคุ้มครองทางกฎหมายต่าง ๆ[91]

แม้รัฐบาลกลางทำให้การค้าทาสระหว่างประเทศเป็นความผิดในปี ค.ศ. 1808 แต่หลังปี ค.ศ. 1820 การใช้ทาสเพาะปลูกผลผลิตฝ้ายที่ได้กำไรสูงปะทุในดีปเซาท์ พร้อมกับจำนวนประชากรทาสด้วย[92][93][94] การตื่นใหญ่ที่สอง (Second Great Awakening) โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 1800–1840 เข้ารีตคนหลายล้านคนสู่โปรเตสแตนท์อีแวนเจลิคัล (evangelical) ในทิศเหนือ เหตุนี้ทำให้เกิดขบวนการปฏิรูปสังคมหลายขบวนการซึ่งรวมการเลิกทาส[95] ในภาคใต้ มีการชวนเข้ารีตเมทอดิสต์ (Methodist) และแบปทิสต์ในหมู่ประชากรทาส[96]

ดินแดนซึ่งสหรัฐเข้าถือสิทธิ์แบ่งตามเวลา

ความกระตือรือร้นของสหรัฐในการขยายดินแดนไปทางทิศตะวันตกทำให้เกิดสงครามอเมริกันอินเดียนยืดเยื้อ[97] การซื้อลุยเซียนาซึ่งดินแดนที่ฝรั่งเศสอ้างในปี ค.ศ. 1803 ทำให้ประเทศมีพื้นที่เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว[98] สงครามปี 1812 ซึ่งประกาศต่อบริเตน กับความเดือดร้อนต่าง ๆ และการต่อสู้เพื่อดึงดูดและเสริมชาตินิยมสหรัฐ[99] ชุดการบุกเข้าทางทหารสู่ฟลอริดานำให้สเปนยกดินแดนดังกล่าวและดินแดนฝั่งอ่าว (Gulf Coast) ในปี 1819[100] การขยายดินแดนได้รับการช่วยเหลือจากเครื่องจักรไอน้ำ เมื่อเรือจักรไอน้ำเริ่มล่องตามระบบธารน้ำขนาดใหญ่ของอเมริกาซึ่งเชื่อมด้วยคลองสร้างใหม่ เช่น อีรีและไอแอนด์เอ็ม แล้วกระทั่งรางรถไฟที่เร็วกว่าเริ่มลากข้ามดินแดนของประเทศ[101]

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1820 ถึง 1850 ประชาธิปไตยแบบแจ็กสันเริ่มชุดการปฏิรูปซึ่งรวมสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของชายผิวขาวในวงกว้างขึ้น นำสู่ความเจริญของระบบพรรคที่สองประชาธิปไตยและวิกเป็นพรรคการเมืองหลังตั้งแต่ปี 1828 ถึง 1854 เส้นทางธารน้ำตาในคริสต์ทศวรรษ 1830 เป็นตัวอย่างของนโยบายกำจัดอินเดียนซึ่งตั้งถิ่นฐานอินเดียนใหม่ทางตะวันตกในเขตสงวนอินเดียน สหรัฐผนวกสาธารณรัฐเท็กซัสในปี ค.ศ. 1845 ระหว่างสมัยเทพลิขิตซึ่งมีลักษณะขยายดินแดน[102] สนธิสัญญาออริกอนปี 1846 กับบริเตนนำให้สหรัฐควบคุมภาคตะวันตกเฉียงเหนือปัจจุบัน[103] ชัยในสงครามเม็กซิโก–อเมริกาลงเอยด้วยการยกแคลิฟอร์เนียของเม็กซิโกและพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคตะวันตกเฉียงใต้ปัจจุบัน[104]

การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนียปี ค.ศ. 1848–1849 กระตุ้นการย้ายถิ่นไปทางตะวันตกและการสถาปนารัฐทางตะวันตกเพิ่ม[105] หลังสงครามกลางเมืองอเมริกา ระบบรางข้ามทวีปใหม่ทำให้การย้ายถิ่นง่ายขึ้นสำหรับผู้ตั้งถิ่นฐาน การค้าภายในขยายตัวและความขัดแย้งกับอเมริกันพื้นเมืองเพิ่มขึ้น[106] กว่าครึ่งศตวรรษ การสูญเสียอเมริกันไบซันมีผลกระทบต่อการดำรงอยู่ต่อวัฒนธรรมอินเดียนที่ราบหลายวัฒนธรรม[107] ในปี ค.ศ. 1869 นโยบายสันติภาพใหม่มุ่งคุ้มครองอเมริกันพื้นเมืองจากการละเมิด เลี่ยงสงครามเพิ่ม และประกันความเป็นพลเมืองสหรัฐในที่สุด แม้ความขัดแย้งซึ่งรวมสงครามอินเดียนครั้งใหญ่สุดหลายครั้งยังดำเนินต่อไปทั่วตะวันตกจนล่วงเข้าคริสต์ทศวรรษ 1900[108]

สงครามกลางเมืองและสมัยบูรณะ

ยุทธการที่เกตตีสเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนียระหว่างสงครามกลางเมือง โดย Thure de Thulstrup

ข้อแตกต่างของความเห็นและระเบียบสังคมระหว่างรัฐภาคเหนือและภาคใต้ในสังคมสหรัฐช่วงแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวข้องกับทาสผิวดำ จนสุดท้ายนำสู่สงครามกลางเมืองอเมริกา[109] เดิมทีรัฐเข้าสู่สหภาพสลับกันระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีเพื่อรักษาสมดุลภาคในวุฒิสภา ขณะที่รัฐเสรีมีประชากรมากกว่ารัฐทาสและมีผู้แทนในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า แต่ด้วยมีดินแดนตะวันตกและรัฐเสรีเพิ่มขึ้น ความตึงเครียดระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีสูงขึ้นด้วยการถกเถียงเกี่ยวกับระบอบสหพันธรัฐ การโอนการครอบครองดินแดน ควรขยายหรือจำกัดความเป็นทาสหรือไม่และอย่างไร[110]

อับราฮัม ลินคอล์น ผู้ชนะการเลือกตั้ง ในปี ค.ศ. 1860 ประธานาธิบดีคนแรกจากพรรครีพับลิกันซึ่งส่วนใหญ่ต่อต้านความเป็นทาส สุดท้ายการประชุมในสิบสามรัฐทาสประกาศแยกตัวออกและตั้งสมาพันธรัฐอเมริกา ขณะที่รัฐบาลกลางยืนยันว่าการแยกตัวออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย[110] สงครามที่เกิดขึ้นให้หลังนั้นทีแรกเป็นสงครามเพื่อรักษาสหภาพ และหลังจากปี ค.ศ. 1863 เมื่อกำลังพลสูญเสียเพิ่มขึ้นและลินคอล์นออกประกาศปลดปล่อยให้เป็นอิสระ (Emancipation Proclamation) เป้าหมายสงครามที่สองกลายเป็นการเลิกทาส สงครามนี้เป็นความขัดแย้งทางทหารที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ทำให้มีทหารเสียชีวิตประมาณ 618,000 คนและพลเรือนอีกเป็นอันมาก[111]

หลังฝ่ายสหภาพมีชัยในปี 1865 มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสหรัฐสามครั้ง การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 13 ห้ามความเป็นทาส การแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 14 มอบความเป็นพลเมืองแก่แอฟริกันอเมริกันที่เคยเป็นทาสเกือบสี่ล้านคน[112] และการแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 15 รับประกันว่าพวกเขามีสิทธิออกเสียงลงคะแนน สงครามและผลลัพธ์นำสู่การเพิ่มอำนาจของรัฐบาลกลางอย่างมากโดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการและสร้างใหม่ซึ่งรัฐภาคใต้ขณะที่รับประกันสิทธิของทาสที่เพิ่งเป็นไท สงครามและผลนำสู่การเพิ่มอำนาจรัฐบาลกลางอย่างสำคัญ[113] โดยมีเป้าหมายเพื่อบูรณาการใหม่และสร้างใหม่ซึ่งรัฐภาคใต้พร้อมกับรับประกันสิทธิของทาสที่เพิ่งเป็นไท

นักอนุรักษนิยมผิวขาวภาคใต้ซึ่งเรียกตนว่า "ผู้ไถ่" (Redeemer) เข้าควบคุมหลังสิ้นสุดการบูรณะ เมื่อถึงช่วงปี 1890–1910 กฎหมายจิม โครว์พรากสิทธิออกเสียงลงคะแนนคนผิวดำส่วนใหญ่และคนขาวยากจนบางส่วน คนดำเผชิญการแบ่งแยกทางเชื้อชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้[114] ชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติบางครั้งเผชิญการลงประชาทัณฑ์[115]

การปรับให้เป็นอุตสาหกรรม

เกาะเอลลิสในนครนิวยอร์กเป็นประตูสำคัญสำหรับการเข้าเมืองของชาวยุโรป[116]

ในภาคเหนือ การขยายตัวของเมืองและการหลั่งไหลของคนเข้าเมืองจากยุโรปใต้และยุโรปตะวันออกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้มีแรงงานเหลือเฟือสำหรับการปรับประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรม[117] โครงสร้างพื้นฐานของประเทศซึ่งมีโทรเลขและทางรถไฟข้ามทวีปกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและการตั้งถิ่นฐานยิ่งใหญ่ขึ้นและการพัฒนาโอลด์เวสต์อเมริกา การประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าและโทรศัพท์ ต่อมายังมีผลต่อการคมนาคมและชีวิตคนเมือง[118]

การสิ้นสุดของสงครามอินเดียนยิ่งขยายพื้นที่ภายใต้การเพาะปลูกโดยใช้เครื่องจักร เพิ่มส่วนเกินสำหรับตลาดระหว่างประเทศ[119] การขยายดินแดนแผ่นดินใหญ่สำเร็จด้วยการซื้ออะแลสกาจากจักรวรรดิรัสเซียในปี 1867[120] ในปี 1893 ส่วนนิยมอเมริกาในฮาวายล้มราชาธิปไตยและตั้งสาธารณรัฐฮาวาย ซึ่งสหรัฐผนวกในปี 1898 สเปนยกปวยร์โตรีโก กวมและฟิลิปปินส์ให้สหรัฐในปีเดียวกันหลังสงครามสเปน–อเมริกา[121]

การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ช่วยให้นักอุตสาหกรรมโดดเด่นจำนวนมากเฟื่องฟูขึ้น นักธุรกิจใหญ่อย่างคอร์เนเลียส แวนเดอร์บิลท์, จอห์น ดี. ร็อกเกอะเฟลเลอร์และแอนดรูว์ คาร์เนกีนำความก้าวหน้าของชาติในอุตสาหกรรมรางรถไฟ ปิโตรเลียมและเหล็กกล้า การธนาคารกลายเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ โดยเจ. พี. มอร์แกนมีบทบาทเด่น ทอมัส เอดิสันและนิโคลา เทสลาทำให้ไฟฟ้ากระจายแพร่หลายสู่อุตสาหกรรม บ้านเรือนและสำหรับการให้แสงสว่างตามถนน เฮนรี ฟอร์ดปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ เศรษฐกิจอเมริกาเฟื่องฟูและกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่สุดของโลก และสหรัฐได้สถานภาพมหาอำนาจ[122] การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วนี้กอปรกับความไม่สงบทางสังคมและความเจริญของขบวนการประชานิยม สังคมนิยมและอนาธิปไตย[123] สุดท้ายสมัยนี้สิ้นสุดลงด้วยการมาของสมัยก้าวหน้า (Progressive Era) ซึ่งมีการปฏิรูปสำคัญในสังคมหลายด้าน ซึ่งรวมทั้งสิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี การห้ามแอลกอฮอล์ การกำกับสินค้าบริโภค มาตรการป้องกันการผูกขาดที่มากขึ้นเพื่อประกันการแข่งขันและความใส่ใจความเป็นอยู่ของแรงงาน[124][125][126]

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และสงครามโลกครั้งที่สอง

ฝูงชนชุมนุมกันที่วอลล์สตรีทหลังเหตุหลักทรัพย์ตกปี 1929

สหรัฐวางตนเป็นกลางตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุในปี ค.ศ. 1914 จนถึงปี ค.ศ. 1917 เมื่อเข้าร่วมสงครามเป็น "ชาติสมทบ" ร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งอย่างเป็นทางการ โดยช่วยเปลี่ยนทิศทางของสงครามต่อฝ่ายมหาอำนาจกลาง ในปี 1919 ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันรับบทบาทการทูตนำ ณ การประชุมสันติภาพปารีสและสนับสนุนอย่างแข็งขันให้สหรัฐเข้าร่วมสันนิบาตชาติ ทว่า วุฒิสภาปฏิเสธไม่อนุมัติและไม่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาแวร์ซายซึ่งสถาปนาสันนิบาตชาติ[127]

ในปี ค.ศ. 1920 ขบวนการสิทธิสตรีชนะการผ่านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี[128] คริสต์ทศวรรษ 1920 และ 1930 มีความเจริญเติบโตของสื่อสารมวลชนประเภทวิทยุและมีการประดิษฐ์โทรทัศน์ขึ้นในยุคแรก[129] ความเฟื่องฟูของทเวนตีร้องคำราม (Roaring Twenties) สิ้นสุดด้วยเหตุการณ์วอลล์สตรีทตกปี 1929 และการเริ่มต้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หลังแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี 1932 เขาสนองด้วยข้อตกลงใหม่ (New Deal) ซึ่งรวมการสถาปนาระบบหลักประกันสังคม[130] การย้ายถิ่นใหญ่ของแอฟริกันอเมริกันหลายล้านคนจากภาคใต้ของสหรัฐเริ่มก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและกินเวลาจนถึงคริสต์ทศวรรษ 1960[131] ขณะที่ชามฝุ่น (Dust Bowl) กลางคริสต์ทศวรรษ 1930 ทำให้ชุมชนกสิกรรมจำนวนมากยากจนและทำให้เกิดการย้ายถิ่นทางตะวันตกระลอกใหม่[132]

ทีแรกสหรัฐวางตนเป็นกลางระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างที่เยอรมนีพิชิตทวีปยุโรปส่วนใหญ่ สหรัฐเริ่มจัดหาปัจจัยแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1941 ผ่านโครงการให้ยืม-เช่า วันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 จักรวรรดิญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีอย่างจู่โจมต่อเพิร์ลฮาร์เบอร์ ทำให้สหรัฐเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรสู้รบกับฝ่ายอักษะ[133] ระหว่างสงคราม สหรัฐถูกเรียกว่าเป็นหนึ่งใน "สี่ตำรวจ"[134] แห่งฝ่ายสัมพันธมิตรผู้ประชุมกันวางแผนโลกหลังสงคราม ร่วมกับบริเตน สหภาพโซเวียตและจีน[135] แม้สหรัฐเสียทหารกว่า 400,000 นาย[136] แต่แทบไม่ได้รับความเสียหายจากสงครามและยิ่งมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจและทางทหารมากยิ่งขึ้นอีก[137]

สหรัฐมีบทบาทนำในการประชุมเบรตตันวูดส์และยัลตากับสหราชอาณาจักร สหภาพโซเวียตและฝ่ายสัมพันธมิตรอื่นซึ่งลงนามความตกลงว่าด้วยสถาบันการเงินระหว่างประเทศใหม่และการจัดระเบียบใหม่หลังสงครามของทวีปยุโรป เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรชนะในทวีปยุโรปแล้ว การประชุมระหว่างประเทศในซานฟรานซิสโกในปี 1945 ได้ออกกฎบัตรสหประชาชาติซึ่งมีผลใช้บังคับหลังสงคราม[138] สหรัฐพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกและใช้มันกับญี่ปุ่นในนครฮิโระชิมะและนะงะซะกิ ญี่ปุ่นยอมจำนนในวันที่ 2 กันยายน ยุติสงครามโลกครั้งที่สอง[139][140]

สงครามเย็นและยุคสิทธิมนุษยชน

ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ของสหรัฐอเมริกา (ซ้าย) และเลขาธิการมีฮาอิล กอร์บาชอฟแห่งสหภาพโซเวียต ในการประชุมที่เจนีวาในปี 1985

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐและสหภาพโซเวียตประชันชิงอำนาจระหว่างสมัยสงครามเย็น ขับเคลื่อนด้วยการแบ่งแยกอุดมการณ์ระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ ทั้งสองครอบงำกิจการทหารของทวีปยุโรป โดยมีสหรัฐและพันธมิตรนาโต้ฝ่ายหนึ่งและสหภาพโซเวียตและพันธมิตรสนธิสัญญาวอร์ซออีกฝ่ายหนึ่ง สหรัฐพัฒนานโยบายการจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนาต่อการขยายอิทธิพลตอมมิวนิสต์ ขณะที่สหรัฐและสหภาพโซเวียตต่อสู้ในสงครามตัวแทนและพัฒนาคลังอาวุธนิวเคลียร์ทรงพลัง และสองประเทศเลี่ยงความขัดแย้งทางทหารโดยตรง

สหรัฐมักคัดค้านขบวนการโลกที่สามซึ่งมองว่าโซเวียตสนับสนุน ทหารอเมริกันต่อสู้กำลังคอมมิวนิสต์จีนและเกาหลีเหนือในสงครามเกาหลีปี ค.ศ. 1950–1953 การปล่อยดาวเทียมดวงแรกของสหภาพโซเวียตปี ค.ศ. 1957 และการปล่อยเที่ยวบินอวกาศที่มีมนุษย์โดยสารครั้งแรกในปี ค.ศ. 1961 เริ่ม "การแข่งขันอวกาศ" ซึ่งสหรัฐเป็นชาติแรกที่นำมนุษย์ลงจอดดวงจันทร์ในปี ค.ศ. 1969[141] สงครามตัวแทนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สุดท้ายกลายเป็นการเข้าไปมีส่วนพัวพันเต็มตัวของอเมริกา เช่น สงครามเวียดนาม

ในประเทศ สหรัฐมีการขยายทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องและการเติบโตของประชากรและชนชั้นกลางอย่างรวดเร็ว การก่อสร้างระบบทางหลวงระหว่างรัฐแปรสภาพโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในเวลาหลายทศวรรษถัดมา คนหลายล้านคนผละไร่นาและนครชั้นใน (inner city) สู่การพัฒนาเคหะชานเมืองขนาดใหญ่[142][143] ในปี ค.ศ. 1959 ฮาวายกลายเป็นรัฐที่ 50 และรัฐล่าสุดของสหรัฐที่เพิ่มเข้าประเทศ[144] ขบวนการสิทธิพลเมืองที่เติบโตขึ้นใช้สันติวิธีเผชิญกับการแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติ โดยมีมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์เป็นผู้นำคนสำคัญและหัวโขน คำวินิจฉัยของศาลและกฎหมายประกอบกันลงเอยด้วยรัฐบัญญัติสิทธิพลเมืองปี ค.ศ. 1968 ซึ่งมุ่งยุติการเลือกปฏิบัติทางเพศ[145][146][147] ขณะเดียวกัน ขบวนการวัฒนธรรมต่อต้านเติบโตขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากการค้านสงครามเวียดนาม ชาตินิยมผิวดำและการปฏิวัติทางเพศ

การเปิดฉาก "สงครามต่อความยากจน" ขยายการให้สิทธิ์และการใช้จ่ายด้านสวัสดิการ ซึ่งรวมการสร้างเมดิแคร์และเมดิเคด สองโครงการซึ่งให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพต่อผู้สูงอายุและผู้ยากไร้ตามลำดับ และโครงการสแตมป์อาหาร (Food Stamp Program) และช่วยเหลือครอบครัวที่มีเด็กพึ่งพิง (Aid to Families with Dependent Children)[148]

คริสต์ทศวรรษ 1970 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1980 เริ่มมีการชะงักทางเศรษฐกิจ หลังประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1980 เขาตอบโต้ด้วยการปฏิรูปเน้นตลาดเสรี หลังการล่มสลายของการผ่อนคลายความตึงเครียด เขาเลิก "การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา" และริเริ่มยุทธศาสตร์ "ม้วนกลับ" ที่ก้าวร้าวขึ้นต่อสหภาพโซเวียต[149][150][151][152][153] หลังมีการเพิ่มขึ้นของแรงงานสตรีในทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ในปี ค.ศ. 1985 สตรีที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปส่วนใหญ่มีงานทำ[154]

ปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 มีการ "ผ่อนคลาย" ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต และการล่มลายในปี ค.ศ. 1991 ยุติสงครามเย็นในที่สุด เหตุนี้นำมาซึ่งภาวะขั้วเดียว[155] โดยสหรัฐเป็นอภิมหาอำนาจครอบงำของโลกโดยไร้ผู้ต่อกร มโนทัศน์สันติภาพอเมริกา (Pax Americana) ซึ่งปรากฏในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นคำเรียกระเบียบโลกใหม่ยุคหลังสงครามเย็นที่ได้รับความนิยมกว้างขวาง

ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย

เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในโลวเออร์แมนฮัตตันระหว่างวินาศกรรม 11 กันยายน ปี 2001
วันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่ถูกสร้างแทนที่

หลังสงครามเย็น ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจุดชนวนวิกฤตการณ์ในปี ค.ศ. 1990 เมื่อประเทศอิรักภายใต้ซัดดัม ฮุสเซนบุกครองและพยายามผนวกประเทศคูเวต กับพันธมิตรของสหรัฐ ด้วยเกรงว่าความไร้เสถียรภาพจากลามไปภูมิภาคอื่น ประธานาธิบดีจอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุชจึงเปิดฉากปฏิบัติการโล่ทะเลทราย การส่งกำลังป้องกันในประเทศซาอุดีอาระเบีย และปฏิบัติการพายุทะเลทรายในขั้นที่เรียก สงครามอ่าว โดยมีกำลังผสมจาก 34 ประเทศนำโดยสหรัฐต่อประเทศอิรัก ยุติด้วยการขับกำลังอิรักออกจากประเทศคูเวตได้สำเร็จ ฟื้นฟูราชาธิปไตยคูเวต[156]

อินเทอร์เน็ตซึ่งกำเนิดในเครือข่ายกลาโหมสหรัฐลามไปเครือข่ายวิชาการระหว่างประเทศ และสู่สาธารณะในปี 1990 มีผลใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมโลก[157]

เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ดอตคอม นโยบายการเงินแบบเสถียรภาพภายใต้แอลัน กรีนสแพนและการลดรายจ่ายสวัสดิการสังคม คริสต์ทศวรรษ 1990 มีการขยายทางเศรษฐกิจใหญ่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐสมัยใหม่ซึ่งสิ้นสุดในปี ค.ศ. 2001[158] เริ่มตั้งแต่ปี 1994 สหรัฐเข้าสู่ความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) เชื่อมประชากร 450 ล้านคนซึ่งผลิตสินค้าและบริการมูลค่า 17 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป้าหมายของความตกลงคือเพื่อกำจัดอุปสรรคการค้าและการลงทุนในสหรัฐ ประเทศแคนาดาและเม็กซิโกในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2008 การค้าในหมู่ไตรภาคีเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่ NAFTA มีผลใช้บังคับ[159]

วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะฮ์โจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ในนครนิวยอร์กและอาคารเพนตากอนใกล้กับกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 คน[160] สหรัฐตอบโต้ด้วยการเปิดฉากสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งรวมสงครามในอัฟกานิสถานและสงครามอิรักปี ค.ศ. 2003–2011[161][162] ในปี ค.ศ. 2007 รัฐบาลบุชสั่งเพิ่มกำลังทหารครั้งใหญ่ในสงครามอิรัก[163] ซึ่งลดความรุนแรงและนำสู่เสถียรภาพเพิ่มขึ้นในภูมิภาคอย่างเป็นผล[164][165]

นโยบายของรัฐบาลซึ่งออกแบบเพื่อส่งเสริมการเคหะที่มีราคาไม่แพง[166] ความล้มเหลวกว้างขวางของบรรษัทภิบาลและธรรมาภิบาลในการกำกับดูแล (regulatory governance)[167] และอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของระบบธนาคารกลาง[168] นำสู่ฟองสบู่การเคหะกลางคริสต์ทศวรรษ 2000 จนลงเอยด้วยวิกฤตการณ์การเงินปี 2008 เป็นการหดตัวทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนับแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่[169] บารัก โอบามา ประธานาธิบดีแอฟริกันอเมริกันและหลายเชื้อชาติคนแรก ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2008 ท่ามกลางวิกฤต[170] และต่อมาผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและรัฐบัญญัติการปฏิรูปวอลล์สตรีตและคุ้มครองผู้บริโภคด็อดด์-แฟรงก์เพื่อพยายามบรรเทาผลร้าย มาตรการกระตุ้นดังกล่าวอำนวยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน[171] และการว่างงานลดลงโดยสัมพัทธ์[172] ด็อดด์-แฟรงก์พัฒนาเสถียรภาพทางการเงินและการคุ้มครองผู้บริโภค[173] แต่มีผลลบต่อการลงทุนธุรกิจและธนาคารขนาดเล็ก[174]

ในปี ค.ศ. 2010 รัฐบาลโอบามาผ่านรัฐบัญญัติการบริบาลที่เสียได้ ซึ่งเป็นการปฏิรูปครั้งที่ครอบคลุมที่สุดต่อระบบสาธารณสุขของประเทศในเกือบห้าทศวรรษ ซึ่งรวมการมอบอำนาจ เงินอุดหนุนและการแลกเปลี่ยนประกัน กฎหมายนี้ทำให้ลดจำนวนและร้อยละของผู้ไม่มีประกันสุขภาพลงอย่างสำคัญ โดยมี 24 ล้านคนครอบคลุมระหว่างปี ค.ศ. 2016[175] กระนั้น กฎหมายนี้เป็นที่โต้เถียงเนื่องจากผลกระทบต่อราคาสาธารณสุข เบี้ยประกันภัยและสมรรถภาพทางเศรษฐกิจ[176] แม้ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึงจุดต่ำสุดในเดือนมิถุนายน 2009 แต่ผู้ออกเสียงลงคะแนนยังคับข้องใจกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ล่าช้า พรรครีพับลิกันซึ่งคัดค้านนโยบายของโอบามา ได้ควบคุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างถล่มทลายในปี 2010 และควบคุมวุฒิสภาในปี 2014[177]

มีการถอนกำลังอเมริกันในประเทศอิรักในปี ค.ศ. 2009 และ ปี ค.ศ. 2010 และมีการประกาศให้สงครามในภูมิภาคยุติลงอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2011[178] การถอนกำลังดังกล่าวทำให้การก่อการกำเริบนิกายนิยมบานปลาย[179] นำสู่ความเจริญของรัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์ ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของอัลกออิดะฮ์ในภูมิภาค[180] ในปี 2014 โอบามาประกาศฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางทูตสมบูรณ์กับประเทศคิวบาเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 1961[181] ปีต่อมา สหรัฐซึ่งเป็นสมาชิกประเทศพี5+1 ลงนามแผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม ซึ่งเป็นความตกลงที่มุ่งชะลอการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์ของประเทศอิหร่าน[182]

ดอนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีผู้มั่งมีที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐและประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและการทหารก่อนเข้าดำรงตำแหน่ง ได้รับเลือกตั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016

ใกล้เคียง

สหรัฐ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐต์ หิรัญญ์ธนภูวดล สหรัฐไทยเดิม สหรัฐในโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 สหรัฐในโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว 2020 สหรัฐในโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 สหรัฐในโอลิมปิกฤดูร้อน 2012 สหรัฐในโอลิมปิก สหรัฐในโอลิมปิกฤดูร้อน 1904

แหล่งที่มา

WikiPedia: สหรัฐ http://www.aci.aero/News/Releases/Most-Recent/2014... http://koeppen-geiger.vu-wien.ac.at/pdf/kottek_et_... http://www.g8.utoronto.ca/what_is_g8.html http://www.afi.com/100years/movies10.aspx http://www.airforce-magazine.com/MagazineArchive/M... http://www.alexa.com/topsites/countries/US http://www.amjmed.com/article/S0002-9343(15)01030-... http://www.amtrak.com/servlet/BlobServer?blobcol=u... http://www.bbc.com/news/technology-31901493 http://works.bepress.com/don_fullerton/15/