เมนูนำทาง
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ลักษณะทางกายวิภาคสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นสัตว์เลือดอุ่นที่มีลักษณะทางกายวิภาคแตกต่างกันตามแต่ละสปีชีส์ มีขนาดร่างกายแตกต่างกันออกไป เช่นค้างคาวกิตติ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่มีขนาดเล็กที่สุดในปัจจุบัน มีปีกสำหรับบินในอากาศ น้ำหนักตัวน้อยมากเฉลี่ยประมาณ 2 กรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 29 - 38 มิลลิเมตร แตกต่างจากช้างแอฟริกาซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลักษณะทางกายวิภาคที่แตกต่างจากค้างคาว เช่นเดียวกับวาฬที่เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่ดำรงชีวิตอยู่ในน้ำ ที่มีขนาดร่างกายใหญ่โต น้ำหนักตัวประมาณ 107,272 กิโลกรัม ความยาวของลำตัวประมาณ 32 เมตร โดยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมทุกชนิด ยังคงลักษณะเฉพาะตัว ที่สามารถอธิบายถึงพฤติกรรมการอยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมได้ โดยลักษณะทางโครงสร้างทางกายภาพของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม สามารถแบ่งออกได้ดังนี้[8]
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม มีผิวหนังและโครงสร้างที่ปรับเปลี่ยนจากเดิมมาก โดยเฉพาะผิวหนังจะเป็นสิ่งที่ใช้ในการจัดหมวดหมู่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ผิวหนังจะเป็นตัวกลางระหว่างตัวของสัตว์ในชนิดต่าง ๆ และสภาพสิ่งแวดล้อม ที่จะเป็นตัวบ่งบอกศักยภาพของสัตว์ เช่น ผิวหนังของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมทั่วไป จะมีลักษณะที่หนากว่าสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในกลุ่มอื่น ๆ เนื่องจากผิวหนังของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จะประกอบไปด้วยอิพิเดอร์มิสหรือหนังกำพร้า และเดอร์มิสหรือหนังแท้
โดยทั่วไปหนังแท้จะมีความหนามากกว่าหนังกำพร้า ซึ่งจะเป็นเพียงชั้นผิวหนังบาง ๆ ที่มีขนขึ้นปกคลุมเพียงเล็กน้อย ซึ่งจะช่วยในการป้องกันผิวหนังไม่ให้ได้รับอันตราย แต่สำหรับในบริเวณที่มีการใช้งานและมีการสัมผัสกับสิ่งของมาก เช่นบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ผิวหนังของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจะมีความหนาเพิ่มมากขึ้น และมีสารเคอราทิน (keratin) สะสมอยู่ภายใต้ชั้นของผิวหนัง
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ขนสัตว์
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จะมีลักษณะเด่นเฉพาะที่แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ คือมีขนขึ้นปกคลุมร่างกาย แม้ว่ามนุษย์ที่จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม แต่มีขนขึ้นปกคลุมตามร่างกายเพียงเล็กน้อย หรือแม้แต่ขนของวาฬที่มีจำนวนไม่มากนัก ส่วนมากจะเป็นขนที่มีลักษณะแข็ง ๆ (bristle) ใช้สำหรับรับรู้ความรู้สึกประมาณ 3 - 4 เส้นที่บริเวณปลายจมูก ซึ่งขนนั้นเป็นลักษณะเด่นชัดที่สุดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ขนที่ขึ้นปกคลุมร่างกายเกิดจากตุ่มขน (hair follicle) ภายใต้ชั้นของหนังกำพร้า แต่จะจมลึกลงไปอยู่ภายใต้ชั้นของผิวหนังที่เป็นชั้นหนังแท้ และเจริญอย่างต่อเนื่อง
เซลล์ในตุ่มขน จะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เซลล์ที่เกิดก่อนหน้านี้จะถูกดันให้โผล่ขึ้นมาด้านบน และตายเนื่องจากไม่มีสารอาหารหล่อเลี้ยง จึงเหลือเพียงแค่เคอราทินที่สะสมอยู่ภายใต้ชั้นของหนังกำพร้า และอัดแน่นเช่นเดียวกับเล็บมือและเล็บเท้า สำหรับขนที่ขึ้นปกคลุมผิวหนังของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม (pelage) มี 2 ชนิด คือ
เมื่อเซลล์ใต้ตุ่มขนเจริญเติบโตมาจนถึงระยะหนึ่ง ขนจะหยุดการเจริญเติบโตและติดแน่นอยู่กับตุ่มขนจนกว่าจะมีการผลัดเปลี่ยนขนใหม่ เซลล์ใต้ตุ่มขนนี้จึงจะหลุดร่วงไป แต่สำหรับมนุษย์นั้นจะมีความแตกต่างกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดอื่น ๆ เนื่องจากมีการทิ้งและสร้างขนใหม่ตลอดชีวิต สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมนั้นจะมีช่วงระยะเวลาในการผลัดขน เช่น สุนัขจิ้งจอกและแมวน้ำจะมีการผลัดขนในทุกช่วงฤดูร้อน ซึ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมส่วนใหญ่จะผลัดขนเพียงปีละ 2 ครั้งเท่านั้นคือในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ทำให้ขนที่ขึ้นปกคลุมร่างกายในช่วงฤดูร้อนจะมีความบางมากกว่าในช่วงฤดูหนาว
สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่จัดเป็นสัตว์กินเนื้อ ที่มีขนขึ้นปกคลุมร่างกายในลักษณะของขนเฟอร์ คือมีเส้นขนที่สั้น ละเอียดและมีปริมาณหนาแน่น ซึ่งมีมากมายหลากหลายชนิดในทางตอนเหนือของโลก เช่นเพียงพอนซึ่งจะมีขนสีขาวปกคลุมร่างกายในช่วงฤดูหนาว แต่จะเปลี่ยนแปลงสีขนเป็นสีดำในช่วงฤดูร้อน ซึ่งแต่เดิมนักสัตววิทยาเคยเชื่อว่าเส้นขนสีขาวนั้น บริเวณเส้นขนชั้นล่างจะช่วยให้สัตว์ที่อาศัยในแถบขั้วโลกช่วยรักษาความร้อนภายในร่างกายเอาไว้ โดยลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย
ปัจจุบันนักสัตววิทยาได้ทำการค้นคว้าพบว่า ไม่ว่าขนของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในแถบขั้วโลกจะมีสีขาวหรือสีดำ การถ่ายเทความร้อนจากร่างกายและการถ่ายเทอากาศ มีโอกาสเกิดขึ้นได้พอ ๆ กัน ในช่วงระยะเวลาฤดูหนาว ขนสีขาวของสัตว์ในแถบขั้วโลกจะช่วยอำพรางร่างกายให้กลมกลืนกับหิมะ เป็นการป้องกันอันตรายจากสัตว์นักล่า กระต่ายในแถบทวีปอเมริกาเหนือจะมีการผลัดขนด้วยกัน 3 ครั้งคือในช่วงฤดูร้อนจะมีขนสีเทาอมน้ำตาล ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะมีขนสีเทา และในเมื่อเข้าใกล้ช่วงฤดูหนาวจะสลัดขนสีเทาทิ้ง กลายเป็นขนสีขาวที่ซ่อนอยู่ภายใต้ขนสีเทา
แต่สำหรับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในแถบขั้วโลก จะมีสีขนที่ธรรมดา ไม่สดใส มีหน้าที่ในการปกป้องชั้นผิวหนังเพียงอย่างเดียว และมักมีการเปลี่ยนแปลงสีขนให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบ ๆ ตัว เช่น ลายของเสือดาว ลายของเสือโคร่ง และลายบนจุดของลูกกวาง กวางพรองฮอร์นแอนทีโลป จะมีหย่อมขนสีอยู่บริเวณสองข้างของตะโพก แถบขนสีนี้เกิดจากขนยาวสีขาวที่สามารถยกตั้งขึ้นได้ โดยมีกล้ามเนื้อบริเวณตะโพกยึดอยู่ เมื่อเวลาตกใจหรือพบเห็นภัยอันตราย หย่อมขนสีนี้จะเข้มขึ้นและเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัดเจน สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล เป็นสัญญาณเตือนภัยให้แก่กวางตัวอื่น ๆ ภายในฝูง หรือกวางหางขาว จะชูขนสีขาวที่บริเวณหางและโบกไปมาคล้ายธง เพื่อเป็นการเตือนภัยให้แก่กวางตัวอื่นในฝูงเช่นกัน
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมจะมีการเปลี่ยนแปรสภาพเส้นขน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานต่าง ๆ กัน เช่นบริสเทิล (bristle) ของหมู แผงขนบนคอม้าและสิงโต เส้นขนรับความรู้สึกหรือไวบริซี (vibrisae) ที่อยู่บริเวณปลายจมูกของสัตว์หลายชนิด จะมีเส้นประสาทสำหรับรับรู้ความรู้สึกขนาดใหญ่ร่วมอยู่ด้วย เวลาขนสำหรับรับรู้ความรู้สึกไหวตัว จะส่งกระแสความรู้สึกไปตามเส้นประสาทไปยังสมอง สำหรับกลุ่มสัตว์หากินในเวลากลางคืนและพวกที่อาศัยในดินหรือฝังตัวอยู่ภายใต้พื้นดิน จะมีเส้นขนที่รับรู้ความรู้สึกที่ยาว เพื่อใช้สำหรับรับรู้ความรู้สึกในระยะไกล
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จะมีต่อมอยู่ที่บริเวณผิวหนัง ซึ่งมีความหลากหลายของต่อมมากที่สุด ต่อมนั้นจัดแยกประเภท 4 ประเภทคือต่อมเหงื่อ ต่อมกลิ่ม ต่อมน้ำมันและต่อมน้ำนม ซึ่งต่อมทั้งหมดนี้เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพมาจากกลุ่มเซลล์บริเวณชั้นผิวหนังกำพร้า ซึ่งแยกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้
สำหรับม้า ลิงเอพหรือลิงไม่มีหางรวมทั้งมนุษย์ จะมีต่อมเอคไครน์กระจายอยู่ทั่วทั้งร่างกาย แต่สำหรับวาฬและสัตว์ฟันแทะเช่นกระต่าย กระรอก หนู จะมีต่อมเอคไครน์ในปริมาณที่น้อยมากหรือแทบไม่มีเลย ปัจจุบันนักสัตววิทยาได้ค้นคว้าและพบว่าสุนัขนั้นจะมีต่อมเหงื่อกระจายอยู่ทั่วทั้งตัวเช่นเดียวกับมนุษย์ และคนผิวดำจะมีปริมาณต่อมเหงื่อมากกว่าคนผิวขาว ทำให้สามารถทนความร้อนได้มากกว่าอีกด้วย สำหรับต่อมอโพไครน์นั้น จะมีขนาดที่ใหญ่โตกว่าต่อมเอคไครน์ มีลักษณะเป็นท่อยาวและขดซ้อนมากกว่า ท่อสำหรับสร้างเหงื่อมักจะซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นผิวหนังแท้และเปิดเข้าที่ตุ่มขนและจะเจริญเติบโตในระยะแรกรุ่น
ต่อมอโพไครน์มีมากในบริเวณอก ท่อรูหู และอวัยวะเพศ สารที่สร้างขึ้นในต่อมอโพไครน์จะมีลักษณะคล้ายกับน้ำนมสีขาว มีสีเหลืองเจือปนเล็กน้อย ซึ่งเมื่ออยู่ที่ชั้นผิวหนังจะแห้งและกลายเป็นแผ่นฟิล์มบาง ๆ ไม่มีหน้าที่ในการปรับและควบคุมอุณหภูมิของร่างกายเช่นเดียวกับต่อมเอคไครน์ แต่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับวัฎจักรในการสืบพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และมีหน้าอื่นอีกเล็กน้อยเท่านั้น
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมบางสปีชี่ส์ จะมีเขางอกจากบริเวณศีรษะเพื่อใช้สำหรับต่อสู้หรือดึงดูดเพศเมียในฤดูผสมพันธุ์ เขาเป็นโครงสร้างที่ยื่นออกมาจากบริเวณส่วนหัวของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม มีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่นเขาของกวางมูสหรือกวางเรนเดียร์ที่มีลักษณะเป็นชั้น ๆ หรือเขาของแพะ แกะที่มีลักษณะโค้งงอไปด้านหลัง หรือเขาของกระทิงที่มีลักษณะกางออกจากบริเวณหัวทั้งสองข้าง โดยทั่วไปลักษณะต่าง ๆ ของเขาในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม มีดังนี้
การสร้างเขาของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในแต่ละครั้ง จะต้องมีกระบวนการสะสมของเกลือแร่เอาไว้ กวางขนาดใหญ่ที่มีเขาสวยงามจะต้องสะสมเกลือแร่ของแคลเซียมที่ได้จากผักที่กินเป็นอาหาร เพื่อใช้สำหรับในการสร้างเขา แต่สำหรับนอแรด จะมีวิธีการปรับเปลี่ยนนอที่แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมชนิดอื่น ๆ คือปรับเปลี่ยนมาจากขน ไม่มีแกนกระดูกภายใน นอแรดนั้นเกิดจากการที่เยื่อบุผิวที่มีสารเคอราทินและเส้นใยเคอราทินสะสมรวมกันอยู่
เมนูนำทาง
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ลักษณะทางกายวิภาคใกล้เคียง
สัตว์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ปีก สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์มีแกนสันหลัง สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ (ภาพยนตร์) สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก สัตว์ขาปล้อง สัตว์เทพทั้งสี่ สัตว์หางแหล่งที่มา
WikiPedia: สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม http://search.sanook.com/knowledge/enc_preview.php... http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/sa... http://www.dlf.ac.th/dltv/dltv-uploads/libs/html/1... https://www.scientificamerican.com/article/strange...