ทรัพย์สิน ของ สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีทรัพย์สินในความดูแล เป็นที่ดินกว่า 54 ตารางกิโลเมตรในกรุงเทพมหานคร และ 160 ตารางกิโลเมตรในจังหวัดอื่น โดยทำสัญญาให้เช่าแก่หน่วยงานราชการ องค์กรธุรกิจ และบุคคลทั่วไป ปัจจุบันมีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในความดูแลประมาณ 37,000 สัญญา ในจำนวนนี้มีการจัดประโยชน์หลายรูปแบบ ทั้งเพื่ออยู่อาศัยหาประโยชน์พอยังชีพ ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และใช้เป็นที่ตั้งของหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและสมาคม องค์กรที่ไม่ได้แสวงหาประโยชน์ในเชิงธุรกิจ แยกเป็นที่ดินในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 25,000 สัญญา และในส่วนภูมิภาค อาทิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดพิจิตร จังหวัดลำปาง จังหวัดราชบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสงขลา จังหวัดนครปฐม จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดชลบุรี รวมประมาณ 12,000 สัญญา[15]

ในปลายปี พ.ศ. 2556 สำนักงานทรัพย์สินฯ ถือครองอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมพื้นที่ 41,000 ไร่ (65.6 ตร.กม. หรือ 16,210 เอเคอร์) ซึ่งเป็นที่ดิน 93% สำหรับหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ชุมชน ตลาด ผู้เช่าอาคาร ที่ดินรายย่อย และมีพื้นที่ดินเชิงพาณิชย์ใจกลางเมืองคิดเป็น 7%[16]

สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ริเริ่มการพัฒนาชุมชน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ต่อมาร่วมมือกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงปัจจุบัน[17]

อนึ่ง ก่อนพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 จะมีผลบังคับใช้ ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ได้รับการยกเว้นภาษีอากร เช่นเดียวกับทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามความในมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479[18] ในขณะที่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ในความดูแลของสำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีอากร

สฤณี อาชวานันทกุล เขียนโดยอ้างอิงหนังสือ King Bhumibol Adulyadej: A Life's Work ว่า ทรัพย์สินโดยเฉพาะหุ้นและที่ดินมีมูลค่ากว่า 990,000 ล้านบาทในปี 2548[19]

การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์

ในช่วงกลางปี พ.ศ. 2561 ได้มีการปฏิรูปการดำเนินงานของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โดยมีการออก พระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 ทางสำนักงานฯจึงได้ออกหนังสือชี้แจง โดยมีใจความสำคัญดังนี้[20]

  1. สำนักงานฯ มีภาระหน้าที่ถวายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ในความดูแลแต่เดิม คืนให้แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจะทรงมีพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับการดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย โดยทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ในรูปแบบหุ้นของบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ต้องเปลี่ยนเป็นพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ทั้งนี้ เป็นไปตามตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2560 ซึ่งได้รวมทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และทรัพย์สินส่วนพระองค์ เป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์แล้ว
  2. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้นตามข้อ 1. นั้น ให้มีการเสียภาษีอากรทุกประเภทเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป
  3. การที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการอันเกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์นั้น ก็เพื่อเป็นการสืบสานพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า
  4. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการมอบหมายข้าราชบริพารหรือผู้ถวายงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทดูแลกิจการต่าง ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์

ในพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 มีเนื้อหาสอดคล้องกับหนังสือชี้แจงดังกล่าว และมีข้อเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมดังนี้[2]

  1. เปลี่ยนชื่อ "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" เป็น "ทรัพย์สินในพระองค์" และรวม "ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน" และ "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ตามพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2491 เข้าเป็น "ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์"
  2. ในกรณีทั้งปวงเกี่ยวกับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ห้ามมิให้ระบุพระปรมาภิไธยหรือข้อความใด อันแสดงหรืออนุมานได้ว่าพระมหากษัตริย์เป็นคู่กรณีหรือคู่ความ ให้ระบุเพียงชื่อผู้ได้รับการมอบหมายให้ดูแลทรัพย์สินดังกล่าว และในกรณีที่ทรงมอบหมายให้บุคคลหรือหน่วยงานอื่นใดที่มิใช่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นผู้จัดการ ให้ต่อท้ายด้วยคำว่า "ผู้จัดการทรัพย์สินในพระองค์" หรือ "ผู้จัดการทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์" แล้วแต่กรณี สำหรับทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มีหน้าที่เป็นผู้จัดการ ให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นคู่กรณีหรือคู่ความ
  3. รายได้จากทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์นำไปจ่ายหรือลงทุนได้ ทั้งนี้ ตามที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว ส่วนที่เหลือจะจำหน่ายหรือใช้สอยได้ ก็แต่โดยพระมหากษัตริย์ตามพระราชอัธยาศัย

การลงทุนหลักทรัพย์

สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ลงทุนหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งต้องชำระภาษีอากรเช่นเดียวกับบริษัททั่วไป มีข้อมูลเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ดังต่อไปนี้

  • บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) - ทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
    • สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ - ถือหุ้นร้อยละ 98.54 จำนวน 49,272,239 หุ้น (ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2551)
  • บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SET:SCC) - ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 1,200 ล้านบาท ราคาตลาดหุ้นละ 474 บาท
    • สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ - ถือหุ้นร้อยละ 30 จำนวน 360 ล้านหุ้น
    • บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด - ถือหุ้นร้อยละ 1.6 จำนวน 19.22 ล้านหุ้น
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SET:SCB) - ทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 33,944.38877 ล้านบาท ราคาตลาดหุ้นละ 144 บาท
    • สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ - ถือหุ้นร้อยละ 21.3 จำนวน 722.941958 ล้านหุ้น
    • บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด - ถือหุ้นร้อยละ 2.43 จำนวน 82.3678 ล้านหุ้น

และยังมีการลงทุนในบริษัทดังต่อไปนี้

  • สยามพิวรรธน์
  • ดอยคำ
  • บริษัท สยามสินธร จำกัด [21]
  • บริษัท นวุติ จำกัด [22]
  • บริษัท เอเพ็กซ์เซล่า จำกัด [23]
  • บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด [24]
  • เครือโรงแรมเคมปินสกี้ (จากประเทศเยอรมนี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์) [25]
  • บริษัท หินอ่อน จำกัด [26]
  • บริษัท ฮอนด้าออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด [27]
  • บริษัท องค์การเภสัชกรรม - เมอร์ริเออร์ชีววัตถุ จำกัด [28]
  • บริษัท ปตท.จำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด [29]
  • บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด [30]
  • บริษัท นันทวัน จำกัด (ไทยโอบายาชิ) [31]
  • บริษัท พรีมัส (ประเทศไทย) จำกัด [32]
  • มหาวิทยาลัยเอเชียน [33]

บริษัทในเครือ

สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ดำเนินการจัดตั้งบริษัทในเครือขึ้น 2 แห่ง เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการสินทรัพย์ต่างๆ โดยชำระภาษีอากรเช่นเดียวกับบริษัททั่วไป ดังต่อไปนี้

ผลการดำเนินงาน

ภายหลังการมีสถานะเป็นนิติบุคคลในปี พ.ศ. 2491 สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีการบริหารงานเช่นเดียวกับองค์กรทั่วไป จนกระทั่งเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจใน พ.ศ. 2540 ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ถือหุ้นอยู่ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงมีการปรับปรุงการบริหารงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง และกิจการต่างๆ ที่ลงทุน เริ่มฟื้นตัวได้ในปี พ.ศ. 2546[ต้องการอ้างอิง] จึงทำให้สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีรายได้ในปีนั้นที่ประมาณ 3,800 ล้านบาท[ต้องการอ้างอิง]

จากการแถลงข่าวประจำปี พ.ศ. 2548 ของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ โดยจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานฯ แจ้งว่าในปี พ.ศ. 2547 สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีรายได้ประมาณ 5 พันล้านบาท โดยประมาณร้อยละ 90 เป็นรายได้จากเงินปันผลของหุ้นที่ลงทุนใน บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บมจ.เทเวศประกันภัย[ต้องการอ้างอิง] ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 8 หรือประมาณ 400 ล้านบาท เป็นรายได้จากค่าเช่าที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์[ต้องการอ้างอิง]

ใกล้เคียง

แหล่งที่มา

WikiPedia: สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ http://www.apexcela.com/index.php/about-us3/organi... http://www.bbc.com/thai/thailand-40654502 http://maps.google.com/maps?ll=13.767606,100.50715... http://www.kempinski.com/en/hotels/information/his... http://law.longdo.com/law/297/rev479 http://law.longdo.com/law/297/rev479# http://www.multimap.com/map/browse.cgi?lat=13.7676... http://prachatai.com/journal/2011/06/35539 http://www.siambioscience.com/index.php/our-scient... http://www.terraserver.com/imagery/image_gx.asp?cp...