สิงโตอินเดีย หรือ
สิงโตเอเชีย หรือ
สิงโตเปอร์เซีย (
อาหรับ: أسد آسيوي;
อังกฤษ: Indian lion, Asiatic lion, Persian lion;
ชื่อวิทยาศาสตร์: Panthera leo persica) เป็น
ชนิดย่อยของ
สิงโตที่ยังหลงเหลือในปัจจุบัน มีรูปร่างทั่วไปคล้ายสิงโตที่พบใน
ทวีปแอฟริกา แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยตัวผู้เมื่อโตเต็มมี
น้ำหนักประมาณ 160–190
กิโลกรัม ตัวเมียหนักประมาณ 110–120 กิโลกรัม ความยาวหัวถึงหางของตัวผู้ 2.92
เมตร ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของสิงโตอินเดีย คือ มีแผงคอทั้งตัวผู้และตัวเมีย และแผงคอของตัวผู้ไม่หนาและใหญ่เหมือนสิงโตในทวีปแอฟริกา มองเห็นใบหูเห็นชัดเจน ดังนั้นตัวผู้และตัวเมียจึงมีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันมาก นอกจากนี้แล้วยังมีหนังทอดยาวตลอดใต้ลำตัวซึ่งไม่พบในสิงโตในทวีปแอฟริกา ทั้งนี้เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ต่างกันเนื่องจากสิงโตอินเดียอาศัยอยู่ในป่าทึบไม่เหมือนกับสิงโตในแอฟริกาที่อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าโล่งกว้าง และทำให้สิงโตอินเดียเป็นสัตว์ที่แฝงตัวได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติรอบตัวใน
ศรีลังกามีสิงโตอีกสายพันธ์คือ
สิงโตศรีลังกา แต่สูญพันธ์เมื่อ32,000ปีก่อนไปพร้อมกับ
เสือศรีลังกา มีซาก
ฟอสซิลบางส่วนในพิพิธภัณฑ์ในศรีลังกา
[3]ในอดีต มีการกระจายพันธุ์ในภูมิภาค
ตะวันออกกลาง,
เปอร์เซีย,
อิรัก,
ซีเรีย,
อัฟกานิสถาน,
ปากีสถานไปจนถึง
มาซิโดเนียใน
กรีซ และ
ศรีลังกา ด้วยแต่ปัจจุบันพบเหลือเพียงแห่งเดียวในธรรมชาติ คือ
อุทยานแห่งชาติป่ากีร์ ใน
รัฐคุชราตทางตอนเหนือของอินเดียเท่านั้น และอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ แต่ได้เพิ่มจำนวนขึ้นจากเมื่อประมาณ 30 ปี ก่อนที่เหลือเพียงไม่กี่สิบตัวเท่านั้น เป็น 530 ตัวในปัจจุบัน และอยู่ในอัตราที่เพิ่มขึ้น
[3]พฤติกรรมการรวมฝูงของสิงโตอินเดีย แตกต่างไปจากสิงโตในทวีปแอฟริกา กล่าวคือ มีขนาดฝูงที่เล็กกว่า โดยมีจำนวนอย่างมากที่สุดเพียง 5 ตัวเท่านั้น และอาจมีตัวเมียเพียง 2 ตัว และอาจมีตัวผู้เป็นจ่าฝูง 2 ตัวก็เป็นได้ โดยเป็นลักษณะร่วมปกครอง ขณะที่ตัวผู้จะเข้าร่วมฝูงก็ต่อเนื่องจะล่าเหยื่อหรือในการ
ผสมพันธุ์เท่านั้นใน
วัฒนธรรมของอินเดีย มีสิงโตอยู่มากมาย เช่น
หัวเสาหินสลักในสมัย
พระเจ้าอโศกมหาราชที่เป็นรูปสิงโตอินเดีย รวมถึง
ปรัมปราใน
ศาสนาฮินดูที่เป็นศาสนาพื้นเมืองของอินเดีย ก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิงโตอยู่มากหรือแม้กระทั่งใน
ประวัติศาสตร์ยุโรปเอง ก็มีภาพ
โมเสกของ
อเล็กซานเดอร์มหาราชทรงร่วมล่าสิงโตกับพระสหาย ซึ่งเชื่อว่าเป็นแม่ทัพชื่อ
เฮฟฟาฮิสเตียน เชื่อว่าสิงโตชนิดนั้นก็คือ สิงโตอินเดีย นั่นเองทางวัฒนธรรมจีน มีการละเล่น
เชิดสิงโต ซึ่งใน
ประเทศจีนเองไม่มีสิงโตเป็นสัตว์พื้นเมือง เชื่อว่าเป็นการรับมาจากเปอร์เซีย ด้วยการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันผ่าน
เส้นทางสายไหม [4]สิงโตอินเดียตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 4 ปี ซึ่งมากกว่าสิงโตในทวีปแอฟริกา และจะออกลูกในช่วงเดือน
กุมภาพันธ์ถึงต้นเดือน
เมษายน และมีอายุขัยโดยเฉลี่ย 16–18 ปี ในตัวผู้ และตัวเมีย 17–18 ปี พบมากที่สุดคือ 21 ปี ถือว่ามากกว่าสิงโตทวีปแอฟริกา
[5]