ประวัติของสโมสร ของ สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส

ช่วงก่อตั้ง

ยูเวนตุสก่อตั้งขึ้นปี ค.ศ. 1897 ในชื่อ สปอร์ต คลับ ยูเวนตุส โดยมีนักเรียนที่ชื่อ มัสซิโม เด'อาเซกีโล ที่ศึกษาอยู่ที่เมืองตูรินเป็นผู้ก่อตั้ง,[2].และก็ต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเป็น สโมสรฟุตบอลยูเวนตุสในเวลาอีกสองปีถัดมา.[3] สโมสรได้เข้าร่วมการแข่งขัน อิตาเลียนฟุตบอลแชมเปียนส์ชิพ (ปัจจุบันคือเซเรียอา) ในช่วงปี ค.ศ. 1904 ซึ่งใช้ชุดแข่งสีดำและสีชมพูเป็นชุดเหย้าในการแข่งขันและใช้สนามเวโลโดรโมอัมเบรโต Iเป็นสนามเหย้าในการแข่งขัน ยูเวนตุสได้แชมป์ในรายการนี้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1905.แล้วในช่วงเดียวกันนั้นสโมสรได้เปลี่ยนสีประจำทีมจะเป็นสีขาวและสีดำลายทางและกางเกงสีดำ ซึ่งถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนสโมสรฟุตบอลในประเทศอังกฤษอย่าง สโมสรฟุตบอลนอตส์เคาน์ตี.[4]

ในปี ค.ศ. 1906 สโมสรได้มีการแยกทางกับพนักงานของสโมสรและนักเตะบางส่วนออกไปเนื่องจากต้องการออกไปจากเมืองตูริน.[3] เมื่อประธานสโมสรอัลเฟรโดทราบเหตุการณ์ท่านกังกวลใจและไม่มีความสุขเพราะขาดนักเตะหลักในการเล่นกับ สโมสรฟุตบอลโตริโน สโมสรร่วมเมืองเดียวกันในเกมส์ ดาร์บีเดลลาโมเลและหลังจากนั้นได้ไม่นานก็ได้เกิดสงครามโลกขึ้นอีกทำให้นักเตะต่างได้แยกย้ายออกจากทีมเพื่อหลบหนี้ภัยสงครามเป็นจำนวนมาก.[5] ยูเวนตุสใช้เวลานานในการสร้างทีมขึ้นมาใหม่อย่างต่อเนื่องหลังจากจบ สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

เจ้าแห่งวงการลูกหนังอิตาลี

หลังจากนั้นเจ้าขององค์กรธุรกิจรถยนต์(เฟียต)ในเมืองตูรินอย่าง เอโดอาร์โด อเกลลี ได้เข้ามาควบคุมกิจการของสโมสรในช่วงปีค.ศ. 1923และได้มีการสร้างสนามเหย้าใหม่ขึ้น (เนื่องจากสนามเดิมได้มีการพังทลายจากเหตุสงครามโลก)[3].พวกเขาได้ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ลีกได้อีกครั้งในปี ค.ศ. 1926 ด้วยการชนะ อัลบา โรมา ไปถึง 12-1, ด้วยการยิงของ อันโตนีโอ โวจาค ซึ่งเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของฤดูกาล 1925-26.[4]หลังจากนั้นสโมสรได้เป็นกำลังสำคัญในวงการฟุตบอลอิตาลีตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 เป็นต้นมาและได้กลายเป็นสโมสรมืออาชีพครั้งแรกของประเทศและเป็นสโมสรแรกที่มีแฟนคลับกระจายอยู่หลายประเทศ,[6][7].ในขณะนั้นสโมสรอยู่ภายใต้การคุมทีมของ การ์โล การ์ซาโน อดีตผู้จัดการทีมชาตอิตาลี ซึ่งเขาสามารถนำยูเวนตุสได้แชมป์ลีกในระดับประเทศได้ถึง 4 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ถึง ค.ศ. 1934 และในช่วงนั้นมีนักเตะระดับสตาร์ชื่อดังมากมายของสโมสรอาทิเช่น ไรมุนโด ออร์ซิ, ลูอิกี เบอร์โทลินี, จิโอวานนี เฟอร์รารี, ลุยส์ มอนตี และอื่นๆอีกมากมาย

ซีโบรี, คาร์เรส และ โบนีเปอร์ตี

สโมสรได้ย้ายไปใช้สนามเหย้าใหม่คือ สตาดีโอโอลิมปิกโกดิโทริโน เป็นสนามเหย้า ในช่วงปี ค.ศ. 1933.แต่หลังจากนั้นในช่วงทศวรรษที่ 1940 เป็นต้นมาสโมสรไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใหญ่มาได้เลย.หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง, กีอันนี อักเนลลี ได้เขามารับตำแหน่งประธานสโมสร.[3]ต่อมาสโมสรก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมาได้อีก 2 สมัยในช่วงฤดูกาล 1949-50 และ 1951-52 โดยในช่วงนั้นสโมสรได้อยู่ภายใต้การคุมทีมของ เจสเซ คาร์เวอร์ ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษ.ในฤดูกาล1957-58 สโมสรได้เซ็นสัญญากับสองกองหน้าชื่อดังอย่าง โอมาร์ ซีโบรี นักเตะลูกครึ่งอิตาลี-อาร์เจนตินา และ จอห์น คาร์เลส นักเตะชาวเวลส์ โดยพวกเขาได้เล่นรวมกับ กีอัมปีเอโร โบนีเปอร์ตี นักเตะชื่อดังของสโมสรในเวลานั้น โดยทั้งสามคนเป็นกำลังสำคัญของยูเวนตุสมาโดยตลอด.ต่อมานักเตะใหม่อย่างซีโบรีก็เป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป ในปี ค.ศ. 1961.ในปีเดียวกันนั้นพวกเขาชนะสโมสรฟุตบอลฟีออเรนตีนา ซึ่งสามารถคว้าแชมป์เซเรียอามาครองได้เป็นสมัยที่ 11 ได้สำเร็จและคว้าแชมป์โกปปาอีตาเลียได้ในฤดูกาลเดียวกันพร้อมสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์สองอย่างครั้งแรกพร้อมกันเป็นครั้งแรกของสโมสรและโบนีเปอร์ตีดาวยิงสูงสุดของสโมสร ณ เวลานั้นก็ได้ตัดสินใจเลิกเล่นอาชีพฟุตบอลไปพร้อมสร้างสถิติทำประตูสูงสุดอีกทั้งหมด 182 ประตู.[8]

ในช่วงทศวรรษต่อมาสโมสรก็ได้แชมป์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล1966-67,[4].ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1970 ยูเวนตุสได้เพิ่มความแข็งแกร็งในแต่ละตำแหน่งให้มากขึ้นด้วยการเซ็นสัญญากับ เซสเมียรฺ์ เวียฟซาปาเลก ผู้จัดการทีมชาวเช็กเข้ามาคุมทีมและนำยูเวนตุสคว้าแชมป์เซเรียอาได้ในฤดูกาล1971-72 และ 1972-73,[4]โดยมีนักเตะชื่อดังหลายคนอาทิเช่น โรแบร์โต เบตเตกา, ฟรานโก กาอูซีโอ และ โชเซ อัลตาฟีนี.ในช่วงที่เหลือของทศวรรษที่ 70 สโมสรได้แชมปฺ์ลีกมากขึ้นซึ่งได้มาถึง 5 สมัย โดยมีกองหลังตัวเก่งอย่าง เกเอตาโน ซีซ์เรีย โดยมีผู้จัดการทีม ณ ขณะนั้นคือจีโอวานนี ตราปัตโตนี เป็นคนที่ช่วยนำสโมสรใหก้าวสู่ความยิ่งใหญ่อย่างต่อเนื่องจนถึงทศวรรษที่ 80[9]

ความยิ่งใหญ่ในเวทียุโรป

มีแชล ปลาตีนี นักฟุตบอลคนแรกของสโมสรที่ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป 3 สมัยติดต่อกัน

ในยุคของตราปาตโตนีเป็นยุคที่สโมสรประสบความสำเร็จมากที่สุด ซึ่งอยู่ในช่วงยุค ค.ศ. 1980;สโมสรเริ่มต้นได้ดีในช่วงทศวรรษใหม่ด้วยการคว้าแชมป์ลีก 3 สมัย โดยในปี ค.ศ. 1984.[4] สโมสรสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 20 ของสโมสร.และทางสมาพันธ์ฟุตบอลอิตาลีได้รับการอนุญาตจากสโมสรด้วยการให้เพิ่มดาวสีทองดวงที่สองบนเสื้อชุดแข่งของสโมสร.[9]ต่อมานักเตะของสโมสรอย่าง เปาโล รอสซี ได้ถูกเป็นการดึงดูดและควาสนใจในการเสนอชื่อเขาในการแข่งขันชิง นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรป เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการนำฟุตบอลทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 1982 และเขายังเป็นทั้งดาวซัลโวและนักเตะยอดเยี่ยมประจำรายการนี้อีกด้วย.[10]

นักเตะชาวฝรั่งเศสของสโมสรอีกคนอย่าง มีแชล ปลาตีนี ก็ถูกเสนอชื่อเป็นนักเตะยอดเยี่ยมอีกคน.ซึ่งเขาก็สามารถคว้ารายการนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปได้ถึง 3 สมัยติดต่อกันในปี 1983, 1984 และ 1985.[11]โดยยูเวนตุสเป็นสโมสรเดียวที่มีนักเตะจากสโมสรคว้าแชมป์รายการนี้ในรอบ 4 ปีติดต่อกัน.[11]โดยนัดที่สำคัญของปลาตีนีและเป็นนัดที่สำคัญของสโมสรคือนัดที่ปลาตีนีทำประตูชัยในนัด ยูโรเปียนส์คัพ ฤดูกาล 1985 ช่วยให้สโมสรเอาชนะ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล สโมสรฟุตบอลชื่อดังจากอังกฤษไป 1-0 ซึ่งทำให้ยูเวนตุสสามารถคว้าแชมป์ ยูโรเปียนส์คัพ มาเป็นสมัยแรกของสโมสรได้สำเร็จ.แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ยังมีโศกนาฏกรรมที่แฟนบอลทุกคน ณ ขณะนั้นยังจำกันไม่ได้ลืม.[12]ในปีนี้เป็นปีที่ยูเวนตุสกลายเป็นสโมสรแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลยุโรปที่ได้รับรางวัลทั้งสามที่สำคัญการแข่งขันของยูฟ่า[13][14] และหลังจากที่ประสบความสำเร็จของพวกเขาในระดับทวีปถ้วยสโมสรก็กลายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลและยังคงเป็นสโมสรหนึ่งเดียวของโลกในปัจจุบันที่ได้รับรางวัลจากสมาพันธ์การแข่งขันทั้งหมด.[15]

สโมสรคว้าแชมป์ เซเรียอา ได้ในฤดูกาล1985-86 ซึ่งเป็นแชมป์สมัยที่ 22 ของสโมสรและเป็นแชมป์สุดท้ายในการคุมทีมของตราปาตโตนีพร้อมกับเป็นแชมป์สุดท้ายในช่วงทศวรรษที่ 80 ต่อมาในปี ค.ศ. 1990 ยูเวนตุสได้ย้ายสนามเหย้าไปใช้สนาม สตาดีโอเดลเลอัลปี ซึ่งเป็นหนึ่งในสนามที่จะใช้แข่งขัน ฟุตบอลโลก 1990

ลิปปีผู้นำความสำเร็จ

มาร์เชลโล ลิปปีได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมให้กับสโมสรโดยเริ่มคุมทีมตั้งแต่ฤดูกาล1994-95.[3].ฤดูกาลของเขากับยูเวนตุสก็สามารถนำทีมคว้าแชมป์เซเรียอาได้สำเร็จซึ่งครั้งล่าสุดที่สโมสรได้คือในช่วงกลางทศวรรษที่ 1980.[4]โดยมีผู้เล่นชื่อดังหลายคนอาทิเช่น ซีโร เฟอร์รารา, โรแบร์โต บักโจ้, จีอันลูกา วีอัลลี และนักเตะเยาวชนะชื่อดังอย่าง อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร.ลิปปีสามารถนำสโมสรเขาไปเล่นแชมเปียนส์ ในฤดกาล 1995-96ซึ่งเขานำยูเวนตุสไปถึงรอบชิงชนะเลิศกับสโมสรเอเอฟซีอาแจ็กซ์ผลออกมาเสมอกันไป 1-1 โดยยูเวนตุสได้จาก ฟาบรีซีโอ ราเวเนลลี ก่อนที่จะชนะด้วยการดวลลูกโทษไป 2-4 แล้วทำให้สโมสรคว้าแชมป์มาได้เป็นสมัยที่ 2.[16]

มาร์เชลโล ลิปปี นำยูเวนตุสคว้าแชมป์ได้ทั้งหมด 13 รายการ

มาร์เชลโล ลิปปีหลังจากคว้าแชมป์ยุโรปได้ไม่นานสโมสร[17]สโมสรได้เสริมทัพด้วยการซื้อผู้เล่นชื่อดังที่มีประสิทธิภาพหลายคนอาทิเช่น ฟีลิปโป อินซากี, ซีเนดีน ซีดาน, เอ็ดการ์ ดาวิดส์.ซึ่งผลจากการซื้อผู้เล่นใหม่มาทำให้สโมสรคว้าแชมป์เซเรียอาได้ใน 1996-97 และ 1997-98 และในช่วงเดียวกันนั้นสโมสรก็สามารถคว้าแชมป์ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรยุโรปและอเมริกาใต้ และ ยูฟ่าซูเปอร์คัพ ได้ในปี ค.ศ. 1996.ต่อมาในปี ค.ศ. 1997 และปี ค.ศ. 1998 สโมสรสามารถเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้ถึง 2 รอบ แต่ก็ได้แค่รองแชมป์ทั้งสองรอบด้วยการปราชัยให้แก่ โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ และ เรอัลมาดริด ตามลำดับ.[18][19]

หลังจากผ่านไปนาน ลิปปีก็ได้กลับมาคุมทีมอีกครั้งในปี ค.ศ. 2001.แล้วได้ซื้อผู้เล่นใหม่มามากมายอาทิเช่น จันลุยจี บุฟฟอน, ดาวิด เทรเซกูเอต, ปาเวล เนดเวด และ ลีเลียน ทูร์ราม มาช่วยให้สโมสรสามารถคว้าแชมป์เซเรียอาได้ในฤดูกาล 2001-02และ2002-03[4] ในปี ค.ศ. 2003 ยูเวนตุสในฐานะแชมลีกได้เข้าไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจนเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศโดยพบกับ เอซี มิลานสโมสรจากประเทศเดียวกันผลออกมาเสมอ 0-0 แต่ยูเวนตุสก็เป็นฝ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ.จากการแข่งขันนี้ทำให้ลิปปีได้ลาออกจากผู้จัดการทีมแล้วไปคุม ฟุตบอลทีมชาติอิตาลีแล้วทำให้ต้องหยุดสถิติการนำยูเวนตุสคว้าแชมป์รายการทั้งหมดไว้แค่ 13 รายการ แต่เขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จกับยูเวนตุสอยู่ในประวัติศาสตร์ของสโมสร.[9]

เรื่องอื้อฉาวในอิตาลี

ฟาบีโอ กาเปลโล ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมให้สโมสรในปี ค.ศ. 2004.คาเปลโลสามารถนำทีมได้อันดับที่ 3 ของลีก.ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปีค.ศ. 2006 ยูเวนตุสกลายเป็นหนึ่งในห้าสโมสรที่เชื่อมโยงกับเรื่องอื้อฉาวในการล้มบอลผลจากการลงโทษทำให้ยูเวนตุสได้ถูกลดชั้นลงไปเล่นเซเรียบีครั้งแรกเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร.นอกจากนั้นสโมสรก็ได้ปลดกาเปลโลที่สามารถนำทีมได้แชมป์ลีกในปี ค.ศ. 2005 และ ค.ศ. 2006 (โดนริบแชมป์) ออกจากเป็นผู้จัดการทีม.[20]

ผู้เล่นคนสำคัญหลายคนที่เหลือต่อไปได้ออกจากสโมสรหลังจากสโมสรได้ถูกปรับชั้นให้ลงไปเล่นในเซเรียบีอาทิเช่น ซลาตัน อีบราฮีมอวิช, ฟาบีโอ กันนาวาโรแต่ผู้เล่นคนอื่นคนอื่นก็ยังตัดสินใจอยู่ร่วมช่วยสโมสรเพื่อให้กับไปเล่นในเซเรียอาต่อเช่น อาเลสซันโดร เดล ปีเอโร, เนดเวด ขณะที่ผู้เล่นเยาวชนจากพรีมาเวรา เช่น เซบัสเตียน โจวินโก และ เคลาดีโอ มาร์คีซีโอ ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้เล่นตัวจริงของสโมสรมาช่วยในทีมชุดใหญ่.หลังจากนั้นพวกเขาก็สามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่เซเรียอาได้สำเร็จ โดยเป็นสโมสรแรกที่ตกชั้นจากเซเรียเอไปสู่เซเรียบีแล้วใช้เวลาแค่ 1 ฤดูกาลสามารถเลื่อนชั้นขึ้นมาได้ แล้วกัปตันทีมของสโมสรอย่างอาเลสซันโดร เดล ปีเอโรก็ยังเป็นดาวซัลโวสูงสุดของเซเรียบีในฤดูกาล 2006-07 ด้วยการทำไป 21 ประตูอีกด้วย

กลับสู่เซเรียอา

ภาพถ่ายทีมยูเวนตุสในการแข่งขันยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2012–13 ในนัดที่พบกับ ชัคตาร์โดเนตสค์.

ตั้งแต่กลับสู่ เซเรียอา ได้ในฤดูกาล2007-08 ด้วยการนำทีมของอดีตผู้จัดการทีมของสโมสรฟุตบอลเชลซีอย่าง เคลาดีโอ รานีเอรีซึ่งมาคุมทีมสองฤดูกาล.[21].สโมสรสามารถจบอันดับที่ 3 ได้หลังจากเลื่อนชั้นขึ้นมาในฤดูกาลแรก และในรอบคัดเลือก ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2008-09 โดยในรอบเพลย์ออฟถล่มทีมจากสโลวาเกียได้ถึง 5-1 แล้วในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาสามารถเอาชนะเรอัลมาดริดได้ในบ้านและเป็นแชมป์กลุ่มจึงสามารถทะลุเข้ารอบต่อไปได้แต่ก็ต้องปราชัยให้กับ สโมสรฟุตบอลเชลซี ไปด้วยสกอร์ 3-2.ก่อนจบฤดูกาลสองนัดสุดท้ายรานีเอรีก็โดนไล่ออกหลังจากไม่ประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์, และสโมสรได้แต่งตั้ง ซิโร เฟอร์รารา เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวในการคุมทีมสองเกมส์สุดท้ายของฤดูกาล[22] ก่อนที่จะถูกแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 2009-10.[23]

อย่างไรก็ตามเฟอร์ราราก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ไม่ประสบความสำเร็จกับสโมสร โดยนำยูเวนตุสตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในรอบแบ่งกลุ่มซึ่งได้แค่อันดับที่ 3 แล้วในโกปปาอีตาเลียก็แพ้ให้กับอินเตอร์มิลานในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แล้วยังนำยูเวนตุสได่แค่อันดับที่ 6 ในลีก.แล้วในเดือนมกราคม ค.ศ. 2010สโมสรได้ปลดเฟอร์ราราออก, แล้วแต่งตั้งอัลแบร์โต ซัคเคโรนีเป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวแต่ซัคเคโรนีก็ไม่ได้ช่วยให้ยูเวนตุสมีผลงานที่ดีขึ้นได้ซึ่งสโมสรจบอันดับ 7 ของเซเรียอา ในฤดูกาล 2010-11, อันเดรอา อักเนลลี ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานสโมสรแทน จีน-คลูเด บลันซ์.โดยอักเนลลีได้แต่งตั้งให้อเลสซีโอ เซกโกกับอดีตผู้จัดการทีมของอูนีโอเนกัลโชซัมป์โดเรียอย่าง ลูอีกี เดลเนรีเป็นผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรแทนซาดเชโรนี และเขาก็ได้แต่งตั้งให้ กีอูเซปเป มารอตตา เป็นผู้จัดการทีมของสโมสร .[24].แต่การคุมทีมของเดลเนรีก็ล้มเหลวเนื่องจากทำผลงานไม่ได้ดีอย่างที่คิดทางสโมสรจึงแต่งตั้งงให้อดีตผู้เล่นของสโมสรและเป็นผู้เล่นที่แฟนบอลทุกคนชื่นชอบและรู้จักกันดีอย่าง อันโตนีโอ คอนเต ซึ่งคอนเตทำผลงานได้ดีในการเป็นผู้จัดการทีมด้วยการนำทีม สโมสรฟุตบอลเซียนา เลื่อนชั้นจากเซเรียบีขึ้นมาสู่เซเรียอาได้สำเร็จ.

ด้วยแท็กติกและความฉลาดของคอนเตในฐานะผู้จัดการทีมทำให้เขาสามารถคุมทีมยูเวนตุสไปทั้งตลอดฤดูกาล 2011-12. ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลที่สโมสรต้องแข่งขันแย่งแชมป์เซเรียอากับคู่แข่งทางเหนืออย่างสโมสรเอซี มิลาน โดยสถานการที่ถือว่าตัดสินแชมป์ได้อย่างแท้จริงคือในนัดที่ 37 ของลีกซึ่งยูเวนตุสเอาชนะกายารีไป 2-0 และมิลานแพ้ให้กับคู้แข่งร่วมเมืองอย่างอินเตอร์ มิลานไป 4-2.หลังจากนั้นในนัดสุดท้ายยูเวนตุสเอาชนะสโมสรฟุตบอลอลันตานาไปได้ 3-1 ในนัดสุดท้าย.ซึ่งทำให้ยูเวนตุสเป็นทีมแรกของเซเรียอาที่ไม่แพ้ให้กับทีมใดตลอด 38 เกมที่ทำการแข่งขัน.[25]

ใกล้เคียง

สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี สโมสรฟุตบอลเชลซี สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิก สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี

แหล่งที่มา

WikiPedia: สโมสรฟุตบอลยูเวนตุส http://www.fifa.com/classicfootball/stories/classi... http://www.juventus.com/ http://www.juventus.com http://www.juventus.com/en/teams/first-team/all/in... http://www.juventus.com/juve/en/campo/giocatori-e-... http://www.juventus.com/juve/en/news/15may2012_dif... http://www.juventus.com/site/eng/CLUB_storia.asp http://www.juventus.com/site/ita/NEWS_newseventi_E... http://www.juvethailand.com/forum/ http://www.magicajuventus.com/storia_juventus.php