ประวัติของสโมสร ของ สโมสรฟุตบอลเชลซี

ก่อตั้ง (1905 - 1951)

สโมสรฟุตบอลเชลซี ก่อตั้งในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ.1905 โดย กุส เมียร์ส และได้เปลี่ยนสนามสแตมฟอร์ดบริดจ์จากสนามกรีฑาเป็นสนามฟุตบอล โดยในตอนแรกจะใช้ชื่อว่า ฟูแลมเอฟซี แต่ไปซ้ำกันกับสโมสรฟุตบอลฟูแลม เลยต้องเปลี่ยนชื่อ โดยตอนแรกใช้ชื่อว่า เคนชิงตันเอฟซี,สแตมฟอร์ดบริดจ์เอฟซี แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น ลอนดอน เอฟซี และเปลี่ยนเป็นเชลซีเอฟซี และได้ก่อตั้ง ณ ผับไรซิ่งซัน (ณ ปัจจุบันชื่อ เดอะบุชเชอร์สฮุก)

สโมสรเชลซีได้เลื่อนชั้นมาเล่นดิวิชั่น1ครั้งแรกในซีซั่นที่2หลังการก่อตั้งสโมสร (ฤดูกาล 1906-07) แต่พวกเขาก็ลงไปขึ้นมาระหว่างดิวิชั่น1และดิวิชั่น2เรื่อยๆ พวกเขาเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพ ในปี 1915 แต่ก็แพ้สโมสรฟุตบอลเชฟฟีลด์เวนส์เดย์ที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ดไป 0 ประตูต่อ 3 และจบอันดับที่3ในดิวิชั่น1ฤดูกาล 1919-20 และพวกเขาก็เริ่มซื้อสตาร์ดังเข้าทีมมากขึ้น

แชมป์แรก (1952 - 1961)

อดีตกองหน้าอาร์เซนอลและทีมชาติอังกฤษอย่าง เท็ด เดร็ก ได้เข้ามาคุมเชลซีใน ค.ศ.1952 และปรับสโมสรให้ทันสมัยด้วยการโละกลุ่มทหารหลวงวัยเกษียณ และได้ปรับทีมเยาวชนและการซ้อมให้เข้มข้นมากขึ้น และซื้อสตาร์จากลีกสมัครเล่นมากมาย จนกระทั่งพวกเขาได้ถ้วยแรกในประวัติศาสตร์ในฤดูกาล 1954-55 เมื่อพวกเขาได้แชมป์ดิวิชั่น 1 และอันที่จริงเชลซีจะเป็นทีมแรกจากอังกฤษที่ได้ไปฟุตบอลระดับสโมสรยุโรปด้วยซ้ำ แต่ถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษห้ามไว้ไม่ให้ไปแข่งขัน เดรกถูกปลดจากตำแหน่งในปี 1961 และแทนที่ด้วยทอมมี่ โดเชอร์ตี้ที่เข้ามาในฐานะผู้เล่น-ผู้จัดการทีม

ทีมใหม่ (1962 - 1970)

รูปปั้นปีเตอร์ ออสกู๊ด ตำนานเชลซีหน้าสแตมฟอร์ดบริดจ์

โดเชอร์ตี้ได้ทำการปรับปรุงระบบทีมใหม่ค่อนข้างเยอะ เขาได้โละแข้งเก่าหลายคนออกจากทีม และได้ซื้อนักเตะใหม่มากมายเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือปีเตอร์ ออสกู๊ด ตำนานสโมสร และพวกเขาก็คว้าแชมป์ลีกคัพได้ในฤดูกาล 1964-65 ในการเอาชนะเลสเตอร์ซิตีที่มีกอร์ดอนแบงส์ นายทวารจอมหนึบด้วยสกอร์ 3-2 (ในสมัยนั้นนัดชิงลีกคัพแข่งกันสองนัด) และในสามซีซั่นหลังพวกเขาก็สามารถเข้าชิงทุกถ้วยที่ลงเล่นได้ แต่เป็นรองแชมป์ทั้งหมด และเดฟ เซ็กตันเข้ามาแทนที่โดเชอร์ตี้ เชลซีคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้ในปี 1970 โดยการเอาชนะสโมสรฟุตบอลลีดส์ยูไนเต็ดไป 2-1 ในนัดรีเพลย์ และในปีต่อมาพวกเขาก็สามารถคว้าโทรฟี่ระดับทวีปยุโรปด้วยการเข้าชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพกับสโมสรฟุตบอลเรอัลมาดริดได้ 2-1 ในนัดรีเพลย์ที่เอเธนส์

ตกต่ำ (1970 - 1992)

เชลซีถึงยุคตกต่ำในยุคปลาย 1970 ถึงต้น 1990 เมื่อพวกเขาขายสตาร์ดังไปมากมาย และตกชั้นจนแถมยังไม่สามารถขึ้นมาลีกสูงสุดได้ แต่แล้วในปี 1982 เคน เบตส์ ได้เข้ามาซื้อสโมสรด้วยราคา 1 ล้านปอนด์ และเขาก็ปรับปรุงสนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ให้ดีขึ้น แต่มันไม่ได้ช่วยอะไร แถมพวกเขาเกือบจะตกชั้นไปดิวิชั่น 3 ในปีเดียวกัน แต่ในปี 1984 จอห์น นีล ได้ดึงทีมขึ้นชั้นมาจากดิวิชั่น 2 ด้วยการคว้าแชมป์ในปี 1983-84 และตกชั้นอีกครั้งในปี 1987-88 ก่อนที่จะเลื่อนชั้นอีกครั้งในปี 1988-89 ด้วยแต้มที่ห่างกับสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตีไปถึง 17 คะแนน

กลับมารุ่งเรืองและฉายา "สิงห์บอลถ้วย" (1992 - 2004)

ในปี 1992 ก็เริ่มมีการซื้อสตาร์ดังมากมาย และเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลเอฟเอคัพ ฤดูกาล 1993-94 โดยฝีมือของ เกล็นน์ ฮ็อดเดิ้ล แต่พวกเขาก็แพ้สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปอย่างราบคาบ 0-4 จนกระทั่งรุด กุลลิต เข้ามาทำทีมในฐานะ ผู้เล่น-ผู้จัดการทีม ในปี 1996 และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศในปี 1997 และเอาชนะสโมสรฟุตบอลมิดเดิลส์เบรอไปได้ 2-0 จากการยิงของโรแบร์โต ดี มัตเตโอในช่วงเวลาเพียงแค่ 42 วินาทีเท่านั้น และเอ็ดดี นิวตันในนาทีที่ 83 กุลลิทถูกแทนที่โดยจิอันลูก้า วิอัลลี่ โดยพาทีมเข้าชิงลีกคัพปี 1998 และชนะมิดเดิลสเบรอด้วยสกอร์เดิม ในช่วงต่อเวลาพิเศษ และเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าคัพวินเนอร์สคัพปี 1998 และได้แชมป์สมัยที่สองด้วยการเอาชนะเฟาเอฟเบชตุทท์การ์ทไป 1-0 จากประตูของจันฟรังโก โซลาซึ่งยังลงมาเล่นไม่ถึงครึ่งนาทีด้วยซ้ำ และชนะเลิศยูฟ่าซูเปอร์คัพในปีเดียวกันด้วยการเอาชนะเรอัลมาดริดไป 1-0 และชนะเลิศเอฟเอคัพในปี 2000 โดยการเอาชนะสโมสรฟุตบอลแอสตันวิลลาไป 1-0 จากประตูของโรแบร์โต ดี มัตเตโอคนเดิม รวมถึงได้สัมผัสยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกแต่ก็ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือของสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาด้วยสกอร์รวม 6-4 วิอัลลี่ถูกปลดจากตำแหน่งและถูกแทนที่ด้วยเกลาดีโอ รานีเอรีและเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี2001-02 แต่สุดท้ายก็พ่ายสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอลไป 0-2สำหรับในประเทศไทยเชลซียุคนี้ถือว่าเป็น "สิงห์บอลถ้วย" เลยทีเดียว

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (2004 - 2011)

โรมัน อับราโมวิช ผู้เปลี่ยนแปลงสโมสรฟุตบอลเชลซีตลอดกาล (ในภาพ ปี 2008)

เคนเบตส์ได้ขายสโมสรราคา 140 ล้านปอนด์ ให้กับนักการเมืองมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย โรมัน อับราโมวิช และได้ทุ่มซื้อสตาร์ดังมามากมาย และได้ทำเรื่องงงงวยให้กับแฟนบอลด้วยการปลดรานีเอรี่ออกจากตำแหน่ง และแทนที่ด้วยโชเซ มูรีนโย ซึ่งก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดเพราะมูรินโยได้เข้ามาเป็นตำนานกุนซือที่นำพาความสำเร็จมาให้สโมสรมากมายทั้งการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2004-05 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรด้วยคะแนนประวัติศาสตร์ถึง 95 คะแนน และยังเอาชนะสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลในนัดชิงฟุตบอลลีกคัพได้ 3 ประตูต่อ 2 คว้าแชมป์ไปแบบยิ่งใหญ่ แต่ก็ถูกคู่ปรับรายเดียวกันถีบตกรอบยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกจาก "ประตูผี" ของหลุยส์การ์เซีย ในปีต่อมาพวกเขายังได้แชมป์อีกด้วยคะแนน 92 คะแนนและยังชนะเลิศเอฟเอคัพด้วยการเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไป 1-0 ในปี 2007 และยังคว้าแชมป์ลีกคัพได้จากการเอาชนะอาร์เซนอลไป 2-1 จากสองลูกของดีดีเย ดรอกบาตำนานกองหน้าของสโมสรเชลซี เขาถูกปลดในปี 2007 และถูกแทนที่ด้วย อัฟราม แกรนท์ กุนซือผู้พาทีมเข้าชิงยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกก่อนจะไปพ่ายแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอย่างน่าเจ็บปวดในการดวลจุดโทษ 5-6 โดยจอห์น เทอร์รี่และนีกอลา อาแนลกายิงจุดโทษไม่เข้า ในปีต่อพวกเขาดึง หลุยส์ ฟิลิปเป สโคลารี เข้ามาคุมทีม แต่ก็ฟอร์มแย่จนโดนปลดออกไป นอกจากจะพลาดแชมป์ลีกและบอลถ้วยแล้ว พวกเขายังตกรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปี 2008-09 ในยุคของกุส ฮิดดิงค์จากการพ่ายให้กับบาร์เซโลนาด้วยกฏประตูทีมเยือนของอันเดรส อีเนียสตา และเป็นแมตช์ที่ผู้ตัดสินถูกครหาเกี่ยวกับการตัดสินในวันนั้นที่ดีดีเย ดรอกบา ถึงกับสาดน้ำลายด่าผู้ตัดสินออกการถ่ายทอดสดอย่างสนุกปาก ทำให้ยูฟ่าแบนเขาสามนัดด้วยกัน แต่ก็ยังได้แชมป์เอฟเอคัพด้วยการเอาชนะสโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตันไป 2-1 จากประตูของดีดีเย ดรอกบาและแฟรงค์ แลมพาร์ดในปีต่อมา คาร์โล อันเชล็อตติได้มาคุมเชลซีแทนและได้แชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการยิงประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 103 ประตูใน1ซีซั่น และยังป้องกันแชมป์เอฟเอคัพได้จากประตูสุดสวยของดีดีเย ดรอกบาจากการยิงฟรีคิกใส่สโมสรฟุตบอลพอร์ตสมัทและชนะไป 1-0 ซีซั่น 2010-11 เป็นซีซั่นที่ดีในช่วงแรก แต่หลังจากเรย์ วิลกิ้นส์ ออกจากเชลซี รวมถึงการเป็นโรคไข้มาลาเรียของดิดิเย่ร์ ดรอกบา ทำให้พวกเขาไม่ชนะถึงหกนัดติด ซึ่งรวมถึงการพ่ายสโมสรฟุตบอลซันเดอร์แลนด์น้องใหม่ในปีนั้นด้วยสกอร์อัปยศ 0-3 อีกด้วย แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็เก็บชัยชนะจนคว้าโควตาไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในปีต่อมา

แชมป์ยุโรป 2 ถ้วย 2 ปีซ้อนและแชมป์เก่าที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ (2011 - ปัจจุบัน)

นักเตะเชลซีกำลังฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2014-15แชมป์ยูโรปาลีกสมัยที่สองของเชลซี ฤดูกาล 2018-19

ซีซั่น 2011-12 เป็นซีซั่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อพวกเขาเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกและเอาชนะสโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิกในการดวลจุดโทษ โดยพวกเขาเกือบจะแพ้เมื่อโทมัส มึลเลอร์โหม่งผ่านปีเตอร์ เช็กเข้าไป แต่ในนาทีที่ 88 ดีดีเย ดรอกบาก็โหม่งผ่านมานูเอล นอยเออร์ตีเสมอเป็น 1-1 และดวลจุดโทษเอาชนะ 4-3 และเป็นแชมป์ไปในที่สุด อีกทั้งยังคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกสมัยด้วยการเอาชนะลิเวอร์พูลในรอบชิงชนะเลิศ แม้ในลีกจะจบเพียงที่6ก็ตาม ปีต่อมา ราฟาเอล เบนิเตซได้เข้ามาคุมทีมและคว้าแชมป์ยูฟ่ายูโรปาลีกไปได้จากการเอาชนะสโมสรฟุตบอลไบฟีกา 2 ประตูต่อ 1 จากประตูชัยของ เฟร์นานโด ตอร์เรส และ บรานิสลาฟ อีวานอวิช ในปีต่อมาพวกเขาได้ดึงโชเซ มูรีนโยกลับมาคุมทีมอีกครั้ง แต่ไม่ได้แชมป์อะไรเลยในปีแรก แต่ในปีต่อมาพวกเขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2014–15 ได้สำเร็จ และคว้าแชมป์แคปิตอลวันคัพด้วยการเอาชนะสโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ไป 2-0 จากจอห์น เทอร์รี่และ เดียโก โกสตา

ในฤดูกาล 2015-16 พวกเขามาพร้อมกับความคาดหวังที่สูงมาก แต่พวกเขาไม่สามารถเอาชนะได้เลยในปรีซีซั่น และแพ้ศึกเอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ต่ออาร์เซนอลไป 0-1 และเป็นครั้งแรกด้วยที่โชเซ มูรีนโยแพ้ให้กับอาร์แซน แวงแกร์ด้วย และพวกเขาแพ้ได้ทุกทีมไม่เว้นแม้กระทั่งน้องใหม่จากการพ่ายสโมสรฟุตบอลบอร์นมัทไป 0-1 และหลังจากการพ่ายแพ้เลสเตอร์ซิตี 1-2 ทำให้อบราโมวิชต้องตัดสินใจปลดโชเซ มูรีนโยออก และดึงกุส ฮิดดิ้งค์เข้ามาแทน ถึงแม้จะดีขึ้นบ้าง แต่ก็เสมอบ่อยมาก และตกรอบทุกถ้วยที่ลงเล่น ทำให้จบฤดูกาลด้วยอันดับ10ไม่ได้ไปฟุตบอลระดับทวีป ในปีต่อมาอันโตนีโอ กอนเตได้เข้ามาคุมทีมหลังจบศึกยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศสและทำทีมชนะสามนัดแรก ก่อนที่จะเสมอให้กับสโมสรฟุตบอลสวอนซีไป 2-2 หลังจากนั้นก็แพ้ลิเวอร์พูล 1-2 และแพ้อาร์เซนอล 0-3 แต่หลังจากได้เปลี่ยนแผนเป็น 3-4-3 พวกเขาก็ชนะ 13 นัดรวดเป็นสถิติสโมสร ก่อนที่จะพ่ายท็อตแนมฮ็อทสเปอร์สไป 0-2 ที่ไวต์ฮาร์ทเลน และยังไม่แพ้ใครหลังจากแพ้ท็อตแน่มอีกเลยจนกระทั่งพ่ายให้กับคริสตัลพาเลซ 1-2 คาสแตมฟอร์ดบริดจ์ แต่ก็สามารถคว้าแชมป์ได้หลังจากการเอาชนะเวสบรอมมิชอัลเบี้ยนไป 1-0 ที่เดอะฮอว์ธอร์นส์ ก่อนจะทำสถิติแชมป์ที่ชนะ 30 นัดรวดในเวลาต่อมา ต่อมาในฤดูกาล 2017-18 เชลซีพลาดท่าพ่ายเบิร์นลีย์ 2-3 ในนัดแรก แต่ในนัดต่อ ๆ มา ก็สามารถรักษามาตรฐานของตัวเองไว้ได้ จนกระทั่งท้ายฤดูกาลกลับฟอร์มหลุดดื้อๆ จากที่เคยการันตีพื้นที่ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กลายเป็นหลุดและไป ยูฟ่ายูโรปาลีก แทน เชลซีได้ปลดกอนเตและให้ เมาริซิโอ ซาร์รี่ เข้ามาคุมทีมแทน เขาได้สร้างสถิติชนะหลายนัดร่วมกับลิเวอร์พูลและแมนซิตี้ แต่เล่นไปเล่นมาผลงานกลับสะดุดดื้อๆ และแพ้บอร์นมัธไปถึง 0-4 ทำให้อนาคตของซาร์รี่ในช่วงนั้นไม่ค่อยดีนัก รวมถึงถูกแมนเชสเตอร์ซิตีถล่มแบบหมดสภาพไปถึง 0-6 แพ้เละที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกของสโมสรเชลซี แถมยังตกรอบเอฟเอคัพด้วยการพ่ายแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 0-2 คาเดอะบริดจ์ รวมไปถึงการพ่ายจุดโทษแมนฯ ซิตี้ในศึกลีกคัพในการดวลจุดโทษ 3-4 แต่นั่นเป็นลางดีเพราะการรับมือแมนฯ ซิตี้ในเวลา 120 นาทีได้สำเร็จ แต่ก็มีปัญหาเมื่อเกปา อาร์ริซาบาลากาดันขัดคำสั่งให้เปลี่ยนตัวของเมาริซิโอ ซาร์รีทำให้หลายคนกังวลถึงสปิริตของทีม ซึ่งทั้งคู่ก็ออกมาขอโทษเสร็จสรรพ พร้อมการดร็อปเกปาในนัดที่เอาชนะท็อตแน่มฮ็อทสเปอร์สไป 2-0 และนัดต่อมาก็เอาชนะฟูแลมไป 2-1 ถึงคราเวนคอตเทจโดยที่เกปาได้ลงสนาม นับเป็นสัญญาณที่ดีของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ หลังจากนั้นเชลซีแม้จะสะดุดบ้าง แต่ด้วยความที่อีกสามทีมที่ชิงสามอันดับแรกสะดุดทั้งหมด ทำให้เชลซีสามารถคว้าสามอันดับแรกได้สำเร็จ ส่วนในฟุตบอลสโมสรยุโรปอย่างยูฟ่า ยูโรปาลีก พวกเขาชนะทุกนัดตั้งแต่รอบ 32 ทีมถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย จนกระทั่งสะดุดในรอบรองชนะเลิศกับไอน์ทรัคค์ แฟรงค์เฟิร์ต ด้วยการเสมอ 1-1 ทั้งสองนัด แต่ก็สามารถชนะจุดโทษได้ด้วยสองเซฟของเกปา เข้าชิงชนะเลิศกับอาร์เซนอลที่กรุงบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน และเอาชนะไปได้อย่างท่วมท้น 4-1 ด้วยประตูของ ชิรูด์,อาซาร์,และเปโดร คว้าแชมป์ยูโรปาลีกสมัยที่สอง และยังเป็นแชมป์แรกในชีวิตของ เมาริซิโอ ซาร์รี ตั้งแต่ทำงานกุนซือมาด้วย

แต่หลังจากนั้นเชลซีก็ต้องเสียทั้งเอแด็ง อาซาร์, ดาวิด ลุยส์ รวมไปถึงกุนซืออย่างเมาริซิโอ ซาร์รี และยังไม่สามารถซื้อนักเตะทั้งฤดูกาล 2019-20 ได้จากการผิดกฏผู้เล่นเยาวชนถึง 31 คน แต่แฟนเชลซีก็ได้ยินดีอีกครั้งเมื่อได้แฟรงค์ แลมพาร์ด มาคุมทีม และยังได้เปลี่ยนถ่ายผู้เล่นหลายคน ด้วยนักเตะที่มีไม่เยอะทำให้ช่วงแรกเชลซีฟอร์มไม่นิ่งอย่างมาก โดยเฉพาะนัดแรกที่ถูกแมนฯ ยูถล่มถง 4-0 แต่เมื่อปรับตัวได้แล้ว เชลซีก็มีฟอร์มที่ร้อนแรงในลีก ชนะ 6 นัดรวด

ใกล้เคียง

สโมสรฟุตบอลทอตนัมฮอตสเปอร์ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี สโมสรฟุตบอลเชลซี สโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล สโมสรฟุตบอลไบเอิร์นมิวนิก สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด สโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนา สโมสรฟุตบอลเลสเตอร์ซิตี

แหล่งที่มา

WikiPedia: สโมสรฟุตบอลเชลซี http://pulse-static-files.s3.amazonaws.com/premier... http://www.carling.com/football/chelsea-fc.html http://www.chelseafc.com/ http://www.chelseafc.com http://www.chelseafc.com/page/TeamHistory/0,,10268... http://www.football-lineups.com/team/Chelsea/FA_Pr... http://www.premierleague.com/page/chelsea-fc http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsi... http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsI... http://www.siamsport.co.th/football/premierleague/...