เนื้อหาโดยย่อ ของ หนังสือปฐมกาล

กำเนิดโลก

ในหนังสือปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างสรรพสิ่ง[5] โดยทรงใช้เวลาในการสร้างโลกทั้งสิ้น 6 วัน และทรงใช้เวลาอีก 1 วันเพื่อพักผ่อน จึงเป็นที่มาของการกำหนดให้ 1 สัปดาห์ มี 7 วัน และกำหนดให้มี 1 วันเป็นวันพักผ่อน ที่มักพบในพระคัมภีร์ว่า "วันสะบาโต" ชาวยิวเคร่งครัดในวันสะบาโตมาก ไม่ทำอะไรในวันนั้น กิจกรรมที่อนุญาตให้ทำในวันนั้นมีจำนวนจำกัดมาก การไม่เคารพวันสะบาโต เสมือนการไม่ยำเกรงพระเจ้าเลยทีเดียว

ลำดับการทรงเนรมิตสร้างโลกของพระเจ้าเป็นดังนี้[6]

  • วันที่ 1 ทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน แผ่น‍ดิน​ก็​ร้าง​และ​ว่าง‍เปล่า[7] ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้า[8]
  • วันที่ 2 พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้น ออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น พระเจ้าจึงทรงเรียกภาคพื้นนั้นว่า ฟ้า[9]
  • วันที่ 3 พระเจ้าทรงแยกแผ่นดินออกจากแผ่นน้ำ และทรงเรียกแผ่นน้ำนั้นว่า ทะเล ทรงเนรมิตให้เกิดพืช ทั้งผัก หญ้า และต้นไม้นานาชนิด
  • วันที่ 4 พระเจ้าทรงสร้างดวงสว่างต่าง ๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี[10] และทรงสร้างดาวต่าง ๆ
  • วันที่ 5 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเล และนกในอากาศ และทรงอวยพระพรแก่สัตว์เหล่านั้นว่า "จง​มี​ลูก‍ดก​ทวี​มาก‍ขึ้น​จน​เต็ม​น้ำ​ใน​ทะเล และ​ให้​นก​ทวี​มาก​ขึ้น​บน​แผ่น‍ดิน‍โลก"[11]
  • วันที่ 6 พระเจ้าทรงสร้างสัตว์บนแผ่นดิน ได้แก่ สัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่า และทรงสร้างมนุษย์ โดยตรัสว่า "ให้​เรา​สร้าง​มนุษย์​ตาม​ฉายา​ของ​เรา ตาม​อย่าง​ของ​เรา ให้​ครอบ‍ครอง​ฝูง‍ปลา​ใน​ทะเล ฝูง‍นก​ใน​ท้อง‍ฟ้า​และ​ฝูง‍สัตว์‍ใช้‍งาน ให้​ปก‍ครอง​แผ่น‍ดิน‍โลก​ทั้ง‍หมด และ​สัตว์‍เลื้อย‍คลาน​ทุก​ชนิด​บน​แผ่น‍ดิน​ทั้ง‍หมด"[12]
  • วันที่ 7 ในวันที่เจ็ดก็ทรงพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ พระเจ้าจึงทรงอวยพระพรแก่วันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ (Sabbath) เพราะ​ใน​วัน‍นั้น​พระ‍องค์​ทรง​หยุด‍พัก​จาก​การ‍งาน​ทั้ง‍ปวง​ที่​พระ‍เจ้า​ทรง​เนร‌มิต‍สร้าง​และ​ทรง​กระ‌ทำ[13]

กำเนิดมนุษย์

การกำเนิดมนุษย์

ในหนังสือปฐมกาล บทที่ 2[14] กล่าวถึงไว้ว่า พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน แต่สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ บนโลกใบนี้ เนื่องจากพระเจ้าทรงระบายลมปราณให้แก่มนุษย์ด้วย เรามักรู้จักลมปราณที่ว่าในนามของวิญญาณ และนั่นจึงไม่มีความแตกต่างกัน ที่เมื่อร่างกายของมนุษย์สูญสลาย ก็กลับกลายไปเป็นดินเช่นเดิมนั่นเอง เช่นเดียวกับสัตว์ทั้งโลก เมื่อตายไปก็เป็นดินทั้งนั้น

พระเจ้าทรงสร้างสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน ซึ่งคาดว่าอาจอยู่ในพื้นที่ของประเทศอิรักในปัจจุบัน ทั้งนี้เนื่องจากปฐมกาลได้กล่าวถึงแม่น้ำไทกริส และยูเฟรติสไว้ ซึ่งในสวนแห่งเอเดนนี้พระเจ้าทรงบัญชาไว้แก่มนุษย์ว่า "ผล‍ไม้​ทุก‍อย่าง​ใน​สวน​นี้ เจ้า​กิน​ได้​ตาม‍ใจ‍ชอบ แต่​ผล​ของ​ต้น‍ไม้​แห่ง​การ​รู้​ถึง​ความ​ดี​และ​ความ​ชั่ว​นั้น ห้าม​เจ้า​กิน เพราะ​ใน​วัน​ใด​ที่​เจ้า​กิน เจ้า​จะ​ต้อง​ตาย​แน่"[15]

ในครั้งแรก พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ผู้ชาย ชื่อ อาดัม ต่อมาทรงเห็นว่าไม่ควรให้มนุษย์อยู่คนเดียว จึงทรงสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมให้ โดยทรงชักกระดูกซี่โครงอันหนึ่งออกมาขณะอาดัมกำลังหลับ และนำกระดูกซี่โครงนั้นมาสร้างเป็นมนุษย์ผู้หญิง ชื่อ เอวา

ความบาป

ปฐมบาป เข้ามาในโลกครั้งแรก จากการไม่เชื่อฟังพระเจ้า ของมนุษย์เอวา ถูกล่อลวงโดยมารในรูปของงู ให้สงสัยในคำสั่งของพระเจ้า และไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ พระเจ้าจึงมอบความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ให้ผู้หญิง นั่นคือการอุ้มท้อง และการคลอดลูก เพื่อเตือนให้มนุษย์ระลึกถึงความเจ็บปวดจากการมีบาป ดังพระดำรัสของพระเจ้า ว่า "เรา​จะ​เพิ่ม​ความ​ทุกข์​ลำ‌บาก​มาก​ขึ้น​แก่​เจ้าและ​เมื่อ​เจ้า​มี‍ครรภ์ เจ้า​จะ​คลอด‍บุตร​ด้วย​ความ​เจ็บ‍ปวด ถึง‍กระ‌นั้น เจ้า​จะ​ยัง​ปรารถ‌นา​ใน​สามี​ของ​เจ้าและ​เขา​จะ​ปก‍ครอง​ตัว​เจ้า"[16]

อาดัม ไม่เชื่อฟังพระเจ้าเพราะเชื่อเอวา ดังนั้น ผู้ชายจึงถูกลงโทษให้ต้องทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ดังที่พระเจ้าทรงตร้สไว้ว่า "เจ้า​จะ​ต้อง​หา‍กิน​ด้วย​เหงื่อ​อาบ‍หน้าจน​เจ้า​กลับ​ไป​เป็น​ดิน เพราะ​เจ้า​ถูก​นำ​มา​จาก​ดิน และ​เพราะ​เจ้า​เป็น​ผง‍คลี​ดิน และ​เจ้า​จะ​กลับ​เป็น​ผง‍คลี​ดิน​ดัง‍เดิม"[17]การไม่เชื่อฟังพระเจ้าของอาดัม และเอวา ทำให้ทั้งสองคนถูกขับออกจากสวนเอเดน ต้องทำมาหาเลี้ยงตนเอง และสืบเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อมาอีกมากมาย

กาลเวลาต่อมาคาอิน (บุตรชายคนโตของอดัมและอีฟ) ได้ทำการสังหารอาเบล (บุตรชายคนเล็กของอดัมและอีฟและน้องชายของตน) จึงถือว่าเป็นการฆาตกรรมครั้งแรกของมนุษย์ พระเจ้าได้ทราบความในภายหลังจึงได้ลงโทษสาปให้คาอินทำไร่การเกษตรไม่ได้และกลายเป็นคนพเนจรร่อนเร่ไปมาในโลก คาอินได้ทูลอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่า "โทษที่ได้รับนั้นหนักหนากว่าจะรับได้และเมื่อร่อนเร่ไปในโลกแล้วอาจจะโดนคนอื่นฆ่าตายได้" แต่พระเจ้าได้ทำสัญลักษณ์ไว้ในตัวคาอินว่า "ผู้ใดได้สังหารนายคาอิน ผู้นั้นจะได้รับโทษทัณฑ์ถึงเจ็ดเท่า" หลังจากนั้นคาอินได้เดินทางไปยังเมืองโนดทางด้านทิศตะวันออกของเอเดน สร้างเมืองและให้กำเนิดทายาทเป็นเวลาต่อมา

ในปฐมกาลช่วงถัดมา ลำดับถึงพงศ์พันธุ์ของอาดัมและเอวาต่อเรื่อยมา น่าสังเกตว่า ยิ่งมนุษย์ห่างไกลพระเจ้ามากขึ้น อายุขัยของมนุษย์ก็ยิ่งสั้นลงไปด้วยเช่นกัน ตามหลักพระคัมภีร์แล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลก ล้วนแล้วแต่เป็นญาติพี่น้องกัน เพราะเราต่างสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันทั้งสิ้น

เรือโนอาห์

โนอาห์ต่อนาวา วาดโดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส ประมาณ ค.ศ. 1675 ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ Magyar Szépművészeti Múzeum บูดาเปสต์

เมื่อมนุษย์ห่างจากพระเจ้า ความบาปต่าง ๆ ก็ครอบงำมนุษย์มากขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายเสมอไป จึงทรงดำริว่า จะกวาดล้างมนุษย์ไปเสียจากแผ่นดินโลก ทั้งมนุษย์ สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศด้วย[18]

แต่ด้วยทรงเห็นว่าโนอาห์เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมในสมัยของเขา และดำเนินกับพระเจ้า พระองค์จึงทรงบอกเหตุการณ์น้ำท่วมโลกให้โนอาห์ทราบ พร้อมทั้งทรงมอบแผนผังรูปแบบเรือที่ใช้ในการช่วยชีวิตของโนอาห์ให้รอดพ้นจากการถูกล้างโลกในครั้งนั้น เป็นที่มาของ เรือโนอาห์ นั่นเอง เนื่องจากตามพระประสงค์ของพระเจ้า ต้องการให้โนอาห์นำสิ่งมีชีวิตบนโลกขึ้นไปบนเรือด้วยอย่างละคู่ พระเจ้าทรงบัญชาอย่างไร โนอาห์ก็ทำตามนั้นทุกประการ[19]

เมื่อถึงกำหนดของพระเจ้า พระองค์ทรงบอกให้โนอาห์ขึ้นไปอยู่บนเรือ และทรงบันดาลให้ฝนตก 40 วัน 40 คืนติดต่อกัน และทรงปิดตาน้ำทั้งหมด จนน้ำท่วมโลก ผู้คน สัตว์ และพืชทุกชนิดที่อาศัยบนโลกก็เสียชีวิตไปทั้งสิ้น และทรงให้น้ำท่วมโลกอยู่เป็นเวลาถึง 150 วัน[20]

ภายหลัง เมื่อพระเจ้าทรงระลึกถึงโนอาห์ จึงทรงทำให้น้ำลดลง โดยใช้เวลาประมาณ 150 ว้น เมื่อน้ำลดลงแล้วโนอาห์ และครอบครัวจึงกลับมาอาศัยอยู่บนแผ่นดินตามปกติ พระเจ้าทรงอวยพระพรให้แก่โนอาห์ และมอบบัญญัติบางประการ เช่น "ห้าม​กิน​เนื้อ​พร้อม​กับ​ชีวิต​ของ​มัน คือ​เลือด​ของ​มัน"[21] ซึ่งเป็นเหตุผลที่ชาวยุโรปไม่รับประทานเลือด นอกจากนี้พระเจ้ายังทรงมีพันธสัญญาแก่โนอาห์ว่า "เรา​จะ​ตั้ง​พันธ‌สัญญา​ของ​เรา​ไว้​กับ​พวก‍เจ้า​ว่า​จะ​ไม่​ทำ‍ลาย​มนุษย์​และ​สัตว์​ทั้ง‍ปวง​โดย​ให้​น้ำ‍ท่วม​อีก และ​จะ​ไม่‍ให้​มี​น้ำ​มา​ท่วม​ทำ‍ลาย​โลก​อีก‍ต่อ‍ไป...เรา​ตั้ง​รุ้ง​ของ​เรา​ไว้​ที่เมฆ และรุ้ง​นั้น​จะ​เป็น​เครื่อง‍หมาย​แห่ง​พันธ‌สัญญา​ระหว่าง​เรา​กับ​โลก"[22] ฉะนั้นตราบใดที่ยังเห็นรุ้งกินน้ำ ก็เป็นเหมือนคำสัญญาของพระเจ้าว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลก (ทั้งใบ) อีก[23]

หอบาเบล

ภาพวาดหอบาเบล โดย ปีเตอร์ บรูเค็ล

หอบาเบล เกิดจากความสามัคคีของมนุษย์ ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จากลูกหลานของโนอาห์ ได้ขยายพงศ์พันธุ์แผ่ไพศาลออกไป แต่ทั่วทั้งโลกต่างพูดภาษาเดียวกัน และมีศัพท์สำเนียงเดียวกัน[24] ผู้คนในยุคนั้นจึงได้ร่วมกันสร้างหอบาเบล โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสร้างเป็นหอเทียมฟ้า สร้างชื่อเสียงไว้ และเป็นแหล่งรวมอารยธรรมของมนุษย์ไว้ด้วยกัน[25]

การสร้างหอบาเบล เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับมนุษยชาติ ซึ่งความภาคภูมิใจนี้ ก็นำมาซึ่งความหยิ่งผยอง คิดท้าทายพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้เกิดภาษาที่แตกต่างกัน ทำให้มนุษย์สื่อสารกันไม่เข้าใจ การก่อสร้างหอบาเบลจึงหยุดชะงักลงเพียงนั้น[26]

คำว่า "บาเบล" ที่ใช้ตั้งชื่อหอคอยนี้ มาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรู ที่แปลว่า วุ่นวาย นั่นเอง[27] และจากการสร้างหอบาเบล ทำให้มีพระธรรมข้อที่น่าประทับใจที่คริสตชนมักใช้ให้กำลังใจกัน กล่าวไว้ว่า แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ดู‍สิ คน​เหล่า‍นี้​เป็น​ชน‍ชาติ​เดียว​หมด มี​ภาษา​เดียว นี่​เป็น​เพียง​เบื้อง‍ต้น​ของ​สิ่ง​ที่​พวก‍เขา​จะ​ทำ และ​บัด‍นี้​ไม่‍มี​อะไร​ยับ‍ยั้ง​ทุก‍สิ่ง​ที่​พวก‍เขา​คิด​จะ​ทำ"[28]

กำเนิดอิสราเอล

ภายหลังจากยุคของโนอาห์อีกหลายลำดับ ทายาทชื่อ อับราฮัม ซึ่งยำเกรงพระเจ้า และอธิษฐานต่อพระองค์เป็นประจำ พระเจ้าตรัสกับอับราฮัม ให้อพยพครอบครัวไปยังดินแดนที่พระเจ้าประทานให้ เป็นที่ซึ่งน้ำดินดี อุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งอวยพรให้พงษ์พันธุ์ของอับราฮัมเป็นพงษ์พันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในขณะนั้นภรรยาของอับราฮัมเป็นหมัน

อับราฮัมได้ย้ายออกจากเมือง เดินทางไปตามที่พระเจ้าทรงนำ และผ่านไปยังเมืองโสโดม และเมืองโกโมรา โดยโลทหลานชายของอับราฮัมที่เดินทางมาด้วย ได้ตั้งหลักแหล่งที่เมืองโสโดมนี้ แต่ต่อมาเมืองนั้นก็ถูกพระเจ้าลงโทษโดยให้กลายเป็นเกลือทั้งเมือง (รวมทั้งผู้คน สัตว์ สิ่งของ) ซึ่งนักประวัติศาสตร์บางส่วนเชื่อว่าปัจจุบันทะเลสาบเดดซี หรือ ทะเลตาย คือที่ตั้งของเมืองโสโดม และเมืองโกโมรา ในอดีตนั่นเอง

ภรรยาของอับราฮัมชื่อ นางซาราห์ ซึ่งเดิมทีนางเป็นหมัน เมื่ออับราฮัมอายุได้ 99 ปี พระเจ้าทรงให้พันธสัญญาว่า อับราฮัมจะเป็นบิดาของชนชาติใหญ่ นางซาราห์จึงยกนางฮาร์กา สาวใช้ ให้เป็นภรรยาของอับราฮัม นางฮาร์กาตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายชื่อ อิชมาเอล เมื่ออิชมาเอลอายุได้ 13 ปี นางซาราห์ก็ตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายชื่อ อิสอัค ในระหว่างนั้นมีเหตุให้อับราฮัมต้องขับไล่นางฮาการ์และอิชมาเอลออกจากครอบครัวไป ส่วนอิสอัคได้รับการเลี้ยงดูจากบิดา จนเติบใหญ่และมีบุตรชาย ชื่อยาโคบ ซึ่งภายหลังได้รับฉายาใหม่ว่า อิสราเอล และเป็นที่มาของชื่อประเทศอิสราเอลในทุกวันนี้ เพราะเชื่อว่าชาวยิวทุกเผ่าล้วนเป็นลูกหลานของยาโคบ

ยาโคบ หรือ อิสราเอล มีบุตรชายทั้งสิ้น 12 คน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการแบ่งเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลออกเป็น 12 เผ่า และ โยเซฟ บุตรชายคนสุดท้องของ ยาโคบ เป็นบุคคลที่ช่วยให้ชาวอิสราเอลสามารถหนีภัยแล้งไปพำนักอยู่ในประเทศอียิปต์ และก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ในภายหลัง ซึ่งได้บันทึกไว้ในหนังสืออพยพ

ใกล้เคียง

หนังสือเดินทางไทย หนังสือปฐมกาล หนังสืออิสยาห์ หนังสืออพยพ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หนังสือกันดารวิถี หนังสือโยบ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ หนังสือเลวีนิติ หนังสือเดินทางชนิดอ่านด้วยเครื่องได้