ประวัติทางพฤกษศาสตร์ ของ หม้อข้าวหม้อแกงลิง

ภาพวาดของพลูคีเน็ต รูป N. distillatoria จาก
Almagestum Botanicum (สารานุกรมพฤกษศาสตร์ ) ปี ค.ศ. 1696

ก่อนที่ชื่อ นีเพนเธส จะถูกบันทึก ย้อนกลับไปในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในปี ค.ศ. 1658 ข้าหลวงชาวฝรั่งเศสที่ชื่อเบเตียน เดอ ฟรากูร์ (ฝรั่งเศส: Étienne de Flacourt) ได้พรรณนาเกี่ยวกับลักษณะของพืชชนิดนี้ในงานสัมมนา Histoire de la Grande Isle de Madagascar (ประวัติของเกาะมาดากัสการ์) ดังนี้:[4]

พืชชนิดนี้สูง 3 ฟุต ใบยาว 7 นิ้ว มีดอกและผลคล้ายแจกันขนาดเล็กที่มีฝาปิดเป็นภาพที่น่าประหลาดใจมาก มีสีแดงหนึ่งสีเหลืองหนึ่ง สีเหลืองมีขนาดใหญ่ที่สุด คนพื้นเมืองในประเทศนี้คัดค้านที่จะเด็ดดอกของมัน เพราะมีความเชื่อที่ว่าถ้าใครเด็ดมันแล้ว ฝนจะตกในวันนั้น ในเรื่องนั้น ฉันและชาวฝรั่งเศสคนอื่นๆ เก็บมันมา แต่ฝนก็ไม่ตก หลังฝนตกดอกของมันเต็มไปด้วยน้ำที่เกาะอยู่จนดูคล้ายลูกแก้วที่แวววาว [แปลจากภาษาฝรั่งเศสในหม้อข้าวหม้อแกงลิงจากบอร์เนียว][5]


ฟรากูรได้ตั้งชื่อพืชชนิดนี้ว่า Anramitaco สันนิษฐานว่าเป็นชื่อท้องถิ่น แล้วก็ล่วงเลยมามากกว่าศตวรรษ หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนี้จึงได้ถูกจัดจำแนกเป็น N. madagascariensis[6]

หม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดที่ 2 ที่ถูกพรรณนาถึงในปี ค.ศ. 1677 ได้แก่ N. distillatoria พืชถิ่นเดียวของศรีลังกา ถูกจัดจำแนกให้อยู่ภายใต้ชื่อ "Miranda herba" (สมุนไพรอันน่าพิศวง) [7] 3 ปีต่อมา พ่อค้าชาวดัตช์ที่ชื่อเจคอบ เบรนี (Jacob Breyne) อ้างว่าพืชชนิดนี้เป็น Bandura zingalensium ซึ่งเป็นชื่อเรียกในท้องถิ่น[8] ในภายหลัง Bandura ได้กลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกหม้อข้าวหม้อแกงลิงทั่วไปจนกระทั่งลินเนียสได้ตั้งชื่อ นีเพนเธส ขึ้นในปี ค.ศ. 1737[5]

N. distillatoria ถูกจัดจำแนกอีกครั้งในปี ค.ศ. 1683 ครั้งนี้โดยแพทย์ชาวสวีเดนชื่อ เอช.เอ็น. กริม (H.N. Grimm) [9] กริมได้เรียกมันว่า Planta mirabilis distillatoria หรือ "พืชกลั่นน้ำอันน่าอัศจรรย์" และเป็นครั้งแรกที่มีภาพประกอบอย่างละเอียดของพืชชนิดนี้[5] 3 ปีต่อมา ในปี ค.ศ. 1686 นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษชื่อ จอน เรย์ (อังกฤษ: John Ray) อ้างคำพูดของกริมมากล่าวดังนี้:[10]

รากดูดความชุ่มชื้นจากดินด้วยความช่วยเหลือของแสงอาทิตย์เข้าสู่ตัวมัน แล้วส่งผ่านไปยัง ลำต้น ก้าน ใบที่น่ากลัวของมัน ไปสู่ภาชนะตามธรรมชาติ แล้วเก็บกักไว้จนกว่ามนุษย์จะต้องการมัน [แปลจากภาษาละตินใน หม้อข้าวหม้อแกงลิงจากบอร์เนียว][5]


หนึ่งในภาพประกอบแรกๆของหม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ปรากฏใน Almagestum Botanicum (สารานุกรมพฤกษศาสตร์ ) ของเลียวนาร์ด พลูคีเน็ต (Leonard Plukenet) ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1696[11] พืชที่เรียกว่า Utricaria vegetabilis zeylanensium ก็คือ N. distillatoria นั่นเอง[5]

ภาพประกอบของ Cantharifera ใน Herbarium Amboinensis (พรรณไม้จากอองบง) ของรัมฟิออซ, เล่ม 5, ปี ค.ศ. 1747 ถึงแม้ว่าจะถูกวาดหลังศตวรรษที่ 17 แต่ไม้เถาทางขวาไม่ใช่หม้อข้าวหม้อแกงลิง แต่เป็น Flagellaria

ในเวลาเดียวกันเกออร์จ เบเบอร์ฮาร์ด รัมฟิออซ (เยอรมัน: Georg Eberhard Rumphius) นักพฤกษศาสตร์ชาวเยอรมัน ค้นพบหม้อข้าวหม้อแกงลิง 2 ชนิดใหม่ในหมู่เกาะมลายู รัมฟิออซได้วาดภาพชนิดแรกไว้ เมื่อได้นำมาพิจารณาดูแล้วมันก็คือ N. mirabilis นั่นเอง และได้ให้ชื่อว่า Cantharifera แปลว่า "คนถือเหยือก" ชนิดที่ 2 ที่ชื่อ Cantharifera alba คิดว่าน่าจะเป็นหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิด N. maxima รัมฟิออซได้พรรณนาไว้ในงานเขียนที่มีชื่อเสียงมากของเขา : Herbarium Amboinensis (พรรณไม้จากอองบง) บัญชีรายชื่อรุกขชาติแห่งเกาะอองบง ทั้ง 6 เล่ม อย่างไรก็ตามพืชชนิดนี้กลับไม่เป็นที่รู้จักจนกระทั่งเขาถึงแก่กรรมไปแล้วหลายปี[12]

หลังจากตาบอดลงในปี ค.ศ. 1670 เมื่อต้นฉบับเขียนด้วยมือสำเร็จเสร็จสิ้นเป็นบางส่วน รัมฟิออซก็ได้เขียน Herbarium Amboinensis ต่อด้วยความช่วยเหลือของเสมียนและจิตรกร ในปี ค.ศ. 1687 เมื่องานใกล้สำเร็จลุล่วง งานอย่างน้อยครึ่งหนึ่งกับเสียหายไปเพราะไฟไหม้ แต่ด้วยความอุตสาหะ รัมฟิออซและผู้ช่วยของเขาก็ทำหนังสือเล่มแรกแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1690 อย่างไรก็ตาม 2 ปีต่อมา เรือที่บรรทุกต้นฉบับไปสู่ประเทศเนเธอร์แลนด์กลับถูกโจมตีและจมลงโดยเรือรบของฝรั่งเศส เป็นการบังคับให้พวกเขาเริ่มใหม่อีกครั้ง แต่โชคยังดีที่ยังมีฉบับคัดลอกที่ถูกเก็บรักษาไว้โดย ข้าหลวง-นายพล โจฮันซ์ แคมฟุจซ์ (Johannes Camphuijs) ในที่สุดหนังสือ Herbarium Amboinensis ก็ไปถึงเนเธอร์แลนด์ในปี ค.ศ. 1696 แต่หนังสือเล่มแรกก็ยังไม่ถูกตีพิมพ์จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1741 เป็นเวลา 39 ปีหลังจากรัมฟิออซถึงแก่กรรม ในครั้งนี้ชื่อ นีเพนเธส ของลินเนียสได้กลายเป็นมาตรฐานที่มั่นคงแล้ว[5]

ภาพวาดของ Bandura zeylanica (N. distillatoria) จาก Thesaurus Zeylanicus (อรรถาภิธานจากศรีลังกา) ของเบอร์แมน ในปี ค.ศ. 1737

N. distillatoria ถูกวาดภาพและอธิบายอีกครั้งใน Thesaurus Zeylanicus (อรรถาภิธานจากศรีลังกา) ของโจฮันซ์ เบอร์แมน (Johannes Burmann) ในปี ค.ศ. 1737 ภาพวาดแสดงให้เห็นตั้งแต่ดอก ลำต้น และหม้อ เบอร์แมนเรียกพืชชนิดนี้ว่า Bandura zeylanica[13]

การอ้างถึงหม้อข้าวหม้อแกงลิงครั้งต่อมาเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1790 เมื่อพระชาวโปรตุเกสที่ชื่อโจเอา เดอ เลอรีโร (João de Loureiro) พรรณนาถึง Phyllamphora mirabilis หรือ "ใบรูปหม้ออันน่าพิศวง" จากเวียดนาม แม้เขาจะอยู่ในประเทศนี้มาถึง 35 ปี มันดูไม่เหมือนว่า เลอรีโรจะเฝ้าศึกษาพืชชนิดนี้อย่างจริงจังนัก เขาอ้างว่าฝาของหม้อเคลื่อนไหวได้ในรูปแบบเปิดและปิดฝาหม้อ ในงานที่มีชื่อเสียงของเขา : Flora Cochinchinensis (พืชจากเวียดนามใต้ ) เขาเขียนไว้ว่า:[14]

[...] สายดิ่งที่ยื่นยาวต่อจากปลายสุดของใบที่บิดขดเป็นวงอยู่ตรงกลาง ทำหน้ายึดหม้อนิ่มๆรูปไข่นั่นไว้ มันมีปากที่เรียบเป็นโครงยื่นตรงขอบและที่ด้านตรงข้ามเป็นฝาปิด ซึ่งเปิดอยู่โดยธรรมชาติ และจะปิดเมื่อต้องเก็บกักน้ำค้างไว้ เป็นผลงานของพระผู้เป็นเจ้าที่น่าพิศวงมาก! [แปลจากภาษาฝรั่งเศสในหม้อข้าวหม้อแกงลิงจากบอร์เนียว][5]


ในที่สุด Phyllamphora mirabilis ก็ถูกเปลี่ยนเข้าสู่สกุลของหม้อข้าวหม้อแกงลิงโดยเกออร์จ คลาริดก์ ดรูซ (George Claridge Druce) ในปี ค.ศ. 1916[15] ดังนั้น P. mirabilis จึงเป็น ชื่อเดิม (basionym) ของหม้อข้าวหม้อแกงลิงทั่วโลกหลายชนิด[16]

การเคลื่อนไหวของฝาหม้อที่ถูกกล่าวอ้างโดยเลอรีโรได้ถูกกล่าวซ้ำอีกครั้งโดยจีน ลุยซ์ มารี ปัวร์เรต (Jean Louis Marie Poiret) ในปี ค.ศ. 1797 ปัวร์เรตได้กล่าวถึง 2 ใน 4 ชนิดที่เป็นที่รู้จักในขณะนั้น : N. madagascariensis และ N. distillatoria เขาสร้างรูปแบบชื่อปัจจุบันและชื่อเรียกตามหลัง : Nepente de l'Inde หรือ "หม้อข้าวหม้อแกงลิงของประเทศอินเดีย" ถึงแม้ว่าหม้อข้าวหม้อแกงลิงชนิดนี้จะอยู่ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ก็ตาม

ใน Encyclopédie Méthodique Botanique (สารานุกรมพฤกษศาสตร์) ของจีน-บาปตีสต์ เดอ ลามาร์ก (ฝรั่งเศส: Jean-Baptiste de Lamarck) เขารวบรวมไว้ดังนี้ :[6]

มันเป็นหม้อที่น่าพิศวง ตามดังที่ฉันจะกล่าวต่อไปนี้ โดยปกติเมื่อหม้อเต็มไปด้วยน้ำสะอาดฝาหม้อก็จะปิดลง มันจะเปิดขึ้นในระหว่างตอนกลางวัน และน้ำส่วนมากจะหายไป แต่น้ำที่หายไปนี้ใช้ไปในการบำรุงต้นระหว่างกลางคืนก็เป็นได้ และเมื่อวันใหม่เมื่อหม้อเต็มอีกครั้ง ฝาก็จะปิดลงเช่นเดิม นี่เป็นอาหารของมัน และมากเพียงพอใน 1 วันเพราะน้ำนั้นจะเหลือครึ่งเดียวในตอนกลางคืน [แปลจากภาษาฝรั่งเศสในหม้อข้าวหม้อแกงลิงจากบอร์เนียว][5]


โรงเรือนปลูกหม้อข้าวหม้อแกงลิงของ สถานเพาะเลี้ยงวิตช์ ภาพใน The Gardener s' Chronicle (บันทึกของชาวสวน ) ปี ค.ศ. 1872

เมื่อมีการค้นพบชิดใหม่ๆ ความสนใจในการปลูกเลี้ยงหม้อข้าวหม้อแกงลิงจึงเกิดขึ้นตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของหม้อข้าวหม้อแกงลิงก็ว่าได้ โดยเริ่มนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1880[5] อย่างไรก็ตามความนิยมนี้กลับลดลงในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ก่อนจะหายไปเพราะสงครามโลกครั้งที่สอง นี่เป็นเครื่องแสดงข้อเท็จจริงที่ว่าไม่มีการค้นพบชนิดใหม่เลยในระหว่างปี ค.ศ. 1940 ถึง 1966 แต่ความสนใจในการปลูกเลี้ยงและการศึกษาในหม้อข้าวหม้อแกงลิงได้กลับมาอีกครั้ง ทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้แก่นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นที่ชื่อไซเกะโอะ คุระตะ (Shigeo Kurata) ผลงานของเขาในปี ค.ศ. 1960 และ 1970 ได้นำเข้าสู่ความนิยมในพืชชนิดนี้อีกครั้ง[17]

แหล่งที่มา

WikiPedia: หม้อข้าวหม้อแกงลิง http://www.cpphotofinder.com/Nepenthes.html http://delta-intkey.com/angio http://delta-intkey.com/angio/www/nepentha.htm http://www.omnisterra.com/botany/cp/pictures/nepen... http://www.sarracenia.com/faq/faq5400.html http://www.joachim-nerz.de/ http://www.botany.org/Carnivorous_Plants/Nepenthes... http://www.carnivorousplants.org/cp/EvolutionNepen... http://www.dnp.go.th/botany/ThaiPlantName/ http://www.dnp.go.th/botany/Web_Dict/detail.aspx?w...